xs
xsm
sm
md
lg

3 หอแห่งแดนกังหนำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online



นสมัยโบราณ ชาวจีนเห็นว่าตึกหรือหอสูงเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นหอโบราณของจีนโดยมากจึงสร้างขึ้นโดยเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางชั้นสูง เพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป อาทิ เพื่อประโยชน์ทางการทหาร ระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญ หรือเพื่อประกาศคุณงามความดี หรือแม้แต่เพื่อใช้เป็นการปราบอาถรรพณ์ ปีศาจชั่วร้าย บ้างก็สร้างอุทิศให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพนับถือแห่งตน แต่ในชีวิตประจำวันโดยมากกลายเป็นจุดชมทิวทัศน์ธรรมชาติไป

สถาปัตยกรรมลักษณะนี้โดยมากเป็นที่นิยมและแพร่หลายในแดนกังหนำ หรือเจียงหนันของจีน (ดินแดนทางตอนล่างของแม่น้ำแยงซีเกียง) หอโบราณซึ่งเป็นที่รู้จักเลื่องลือกันในแดนกังหนำ ได้แก่ หอเถิงหวัง (มณฑลเจียงซี) หอกระเรียนเหลือง (มณฑลหูเป่ย) และหอเยี่ยว์หยัง(มณฑลหูหนัน) จนได้ชื่อว่าเป็น 3 หอแห่งแดนกังหนำ (江南三大名楼)

หอเถิงหวัง(滕王阁)
แรกสร้างสมัยต้นราชวงศ์ถัง ปี ค.ศ. 653 ในรัชกาลถังเกาจงหลี่ยวน โดยเถิงหวังหลี่หยวนอิง (น้องชายของหลี่ซื่อหมิน) ได้สร้างหอเถิงหวังขึ้นระหว่างที่มาดำรงตำแหน่งแม่ทัพรักษาเมือง ด้วยจุดประสงค์ให้เป็นหอระวังไฟ และเป็นสถานที่พักผ่อนชมทิวทัศน์ในฤดูกาลต่างๆ ต่อมาในปี ค.ศ. 675 หวังป๋อ (ค.ศ. 650–675) หนึ่งในสี่กวีอัจฉริยะแห่งราชวงศ์ถังตอนต้น ได้เดินทางมาเยือนหอเถิงหวัง และได้ประพันธ์บทกวีชื่นชมความงามเอาไว้ เนื่องจากบทกวีดังกล่าวเป็นที่แพร่หลายในเวลาต่อมา จึงทำให้ชื่อเสียงความงามของหอเถิงหวังเป็นที่รู้จักทั่วไปในแผ่นดิน ปราชญ์กวีเลื่องชื่ออีกจำนวนไม่น้อยต่างเคยเดินทางมาเยี่ยมเยือนสถานที่นี้

หอเถิงหวังผ่านศึกสงครามทำลายล้างและสร้างใหม่ถึง 29 ครั้ง ซึ่งไม่เพียงรักษาต้นแบบอย่างโบราณเอาไว้ การซ่อมสร้างแต่ละครั้งยังมีขนาดขยายใหญ่ขึ้น โดยครั้งสุดท้ายถูกเผาทำลายระหว่างสงครามปฏิวัติในปี 1926 จวบถึงปี 1983 เริ่มงานซ่อมสร้างครั้งใหญ่ แล้วเสร็จในปี 1989 หอเถิงหวังใหม่มีอาณาบริเวณกว่า 47,000 ตารางเมตร สูง 57.5 เมตร 9 ชั้น โดยเลียนแบบสถาปัตยกรรมสมัยซ่ง มีขนาดและความสูงที่สุดในสามหอแห่งแดนกังหนำ

ที่ตั้ง ริมฝั่งแม่น้ำกั้นเจียง เมืองหนันชาง มณฑลเจียงซี

หอกระเรียนเหลือง (黄鹤楼)
หอกระเรียนเหลืองแรกสร้างสมัยสามก๊ก ใน ค.ศ. 223 ภายหลังก๊กอู๋ยึดได้เมืองจิงโจวหรือเกงจิ๋ว โดยก๊กอู๋สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นหอสังเกตการณ์ ป้องกันการโจมตีจากก๊กสูของเล่าปี่

แต่เรื่องเล่าขานเกี่ยวกับที่มาของหอกระเรียนเหลืองซึ่งเป็นที่แพร่หลาย กล่าวกันว่าสถานที่ตั้งเดิมของหอกระเรียนเหลืองเป็นร้านเหล้าเล็กๆ ที่เปิดเป็นที่พักคนแรมทาง ครั้งหนึ่งเจ้าของร้านได้ให้อาหารและที่พักแก่นักพรตที่แต่งกายซ่อมซ่อท่านหนึ่งโดยไม่คิดเงิน นักพรตนั้นจึงใช้เปลือกส้มวาดเป็นรูปกระเรียนสีเหลืองที่ผนังร้าน เมื่อปรบมือขึ้นครั้งหนึ่ง ภาพกระเรียนบนฝาผนังก็จะออกมาร่ายรำอย่างงดงาม นักพรตได้มอบกระเรียนเหลืองนี้ไว้เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจเจ้าของร้าน นับแต่นั้นก็มีลูกค้าเข้ามาอุดหนุนทางร้านกันคับคั่ง เพื่อมาดูการแสดงของกระเรียนเหลือง กิจการของร้านเฟื่องฟูร่ำรวยขึ้น สิบปีต่อมานักพรตนั้นกลับมาอีกครั้ง และเมื่อกระเรียนเหลืองออกมาจากผนัง นักพรตก็ขึ้นขี่กระเรียนบินจากไป เจ้าของร้านจึงสร้างหอกระเรียนเหลืองขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงบุญคุณของนักพรตนั้น

หอกระเรียนเหลืองเป็นแหล่งรวมของบรรดาปราชญ์กวีและปัญญาชนจากทั่วทุกสารทิศ ซึ่งก็ได้ฝากผลงานบทกวีที่มีชื่อไว้ไม่น้อย ในจำนวนนี้มีผลงานของชุยเฮ่า(崔颢)ปราชญ์สมัยถัง ได้แต่งบทกวีเกี่ยวกับความงามสง่าของหอแห่งนี้ รวมทั้งคำเล่าขานของหอกระเรียนเหลืองนี้เอาไว้อย่างละเอียด จนกลายเป็นต้นแบบให้กวีในรุ่นหลังได้ศึกษาต่อมา จวบจนปี 1884 รัชสมัยจักรพรรดิกวงสูแห่งราชวงศ์ชิง เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ หอกระเรียนเหลืองถูกเผาทำลายลง

ในปี 1957 เนื่องจากได้มีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแยงซีที่ผากระเรียนเหลือง ณ ที่ตั้งเดิมของหอกระเรียนเหลืองไปแล้ว ดังนั้น ในปี 1984 เมื่อรัฐบาลจีนใหม่ประจำอู่ฮั่น มีโครงการสร้างหอกระเรียนเหลืองขึ้นใหม่ เนื่องในโอกาสครบรอบร้อยปีที่หอกระเรียนเหลืองถูกเผาทำลายไป เมื่อครั้งสมัยจักรพรรดิกวงสูแห่งราชวงศ์ชิง จึงต้องย้ายหอกระเรียนเหลืองไปปลูกสร้างยังที่ตั้งใหม่บนยอดเขาเสอซัน

หอกระเรียนเหลืองในปัจจุบัน สร้างขึ้นด้วยปูนและเหล็กเลียนแบบโครงสร้างแบบไม้ที่เป็นของเดิม เป็นหอห้าชั้น สูง 51 เมตร ระหว่างชั้นยังมีชั้นแทรก รวมทั้งสิ้นเป็นสิบชั้น ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองอู่ฮั่น

ที่ตั้ง (เดิม) ผากระเรียนเหลือง (ใหม่) เขาเสอซัน เขตอู่ชางเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย

หอเยี่ยว์หยัง (岳阳楼)
แรกสร้างในสมัยสามก๊ก (ค.ศ. 215) ในดินแดนของก๊กอู๋ ภายใต้การนำของซุนกวน ได้สร้างหอนี้ขึ้นเพื่อใช้เป็นหอสังเกตการณ์ป้องกันการโจมตีของกวนอูจากเมืองจิงโจว (เมืองเกงจิ๋ว) ก๊กสู มีชื่อว่า “หอส่องทัพ” สมัยจิ้นตะวันตกได้ชื่อว่าเป็น “หอเมืองปาหลิง” เมื่อถึงสมัยถัง ภายหลังงานประพันธ์ของหลี่ไป๋เป็นที่แพร่หลายก็รู้จักกันในนาม “หอเยี่ยว์หยัง” จัดเป็นหอโบราณที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในสามหอแห่งแดนกังหนำ

หอเยี่ยว์หยังเป็นสถานที่ชมธรรมชาติยอดนิยมของบรรดาปราชญ์กวีมีชื่อในสมัยถัง อาทิ ตู้ผู่ หานอี้ว์ ไป๋จีว์อี้ หลี่ซังอิ่น เป็นต้น เมื่อถึงปี 1045 ขุนนางเถิงจื่อจิงแห่งราชวงศ์ซ่งเหนือได้ทำการซ่อมสร้างครั้งใหญ่ และขอให้ฟ่านจงเยียนที่เป็นปราชญ์และนักปกครองแห่งยุคได้เขียน “บันทึกหอเยี่ยว์หยัง” เอาไว้ ชื่อเสียงของหอเยี่ยว์หยังจึงขจรขจายเป็นที่รู้จักกันทั่วไป

เมื่อกล่าวถึง “บันทึกหอเยี่ยว์หยัง” ที่ชั้นที่หนึ่งและสองของหอเยี่ยว์หยัง ยังประดับด้วยบทกวีดังกล่าวที่สลักบนไม้จันทน์ ด้วยข้อความและลายมือที่เหมือนกันราวฝาแฝด แต่ชิ้นหนึ่งจัดทำขึ้นในราวศตวรรษที่ 18 อีกชิ้นหนึ่งจัดทำขึ้นในศตวรรษที่ 19 กล่าวกันว่าชิ้นหนึ่งเป็นลายมือของจางเจ้า ปราชญ์ราชเลขาฯ สมัยจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง ภายหลังมีขุนนางท้องถิ่นคนหนึ่งต้องการแสดงความสามารถเชิงอักษรของตน จึงเลียนแบบลายมือของจางเจ้า จัดทำ “บันทึกหอเยี่ยว์หยัง” ขึ้น แต่นายช่างที่แกะสลักงานชิ้นนี้ไม่พอใจการกระทำของขุนนางนั้น จึงแกะสลักอักษรตัวหนึ่งให้ผอมบางเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถแยกจากต้นฉบับได้ ขุนนางนั้นได้ปลดผลงานของจางเจ้าลงมา เปลี่ยนเป็นผลงานของตนเอง จากนั้นนำใส่เรือเพื่อขนย้ายไปที่อื่น แต่เรือก็มาล่มจมลงเสียก่อน ขุนนางที่ไปกับเรือจมน้ำเสียชีวิต ผลงานของจางเจ้าถูกงมขึ้นมาจากก้นทะเลสาบต้งถิง และถูกนำกลับมาประดับไว้ที่หอเยี่ยว์หยังอีกครั้ง ดังนั้นหอแห่งนี้จึงประดับด้วยผลงานแกะสลักที่เหมือนกันสองชิ้น

ปัจจุบัน หอเยี่ยว์หยังถือเป็นสถาปัตยกรรมเพียงหนึ่งเดียวในสามหอแดนกังหนำที่ยังมีโครงสร้างเป็นไม้ตามแบบสถาปัตยกรรมแบบเก่า (หลังการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยชิงแล้วร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ผ่านศึกสงครามหลายครั้งแต่ไม่เสียหาย) บูรณะครั้งหลังสุดในปี 1984 แม้ว่าหอมีความสูงเพียงสามชั้น มีขนาดเล็กกว่าหอเถิงหวังและหอกระเรียนเหลือง แต่ถือได้ว่าเป็นหอที่ยังคงรักษาสภาพบรรยากาศแบบเก่าเอาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด

ที่ตั้ง ริมฝั่งทะเลสาบต้งถิง* เมืองเยี่ยว์หยัง มณฑลหูหนัน

*ทะเลสาบต้งถิงหู เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่เป็นที่สองในประเทศจีน (เดิมมีขนาด 6,000 ตร.กม. เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุด ภายหลังเนื่องจากนโยบายขยายพื้นที่เพาะปลูกของภาครัฐ อีกทั้งการสะสมของตะกอนดิน เมื่อถึงปี 1986 พื้นที่ทะเลสาบหดเล็กลงเหลือเพียง 2,625 ตร.กม. เป็นรองจากทะเลสาบพานหยังในมณฑลเจียงซีซึ่งมีขนาด 3,914 ตร.กม.)

เรียบเรียงจาก
www.qianlong.com
www.china.org.cn
www.sohu.com
www.people.com
กำลังโหลดความคิดเห็น