xs
xsm
sm
md
lg

ตามหารอยยิ้มและหยาดน้ำตาจาก ‘เทศกาลหนังตะวันออก’

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศตวรรษภาพยนตร์จีน (15) / คุณประทีป โลจนาทร หรือพี่ย่ง เป็นบุคคลที่คนในวงการโรงเรียนสอนภาษาจีนกลางรู้จักกันดี เพราะเป็นคนหนุ่มไฟแรงผู้บริหารโรงเรียนภาษาและภูมิปัญญาตะวันออก (OKLS) ที่มีสาขาและแฟรนไชส์อยู่หลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โรงเรียนโอเคแอลเอสเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนภาษาจีนกลาง ขณะเดียวกันยังส่งเสริมกิจกรรมด้านดนตรีและศิลปวัฒนธรรมจีนด้วย เคยจัดกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะจีนหลายครั้ง อาทิ การแสดงภาพเขียนจีนฝีมือนักเรียนของโรงเรียน การแสดงดนตรีกู่เจิง โดย อ.หลี่หยางและนักเรียนของเธอ และการแสดงกู่ฉิน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีจีนโบราณที่น้อยคนนักจะรู้จัก รวมไปถึงกิจกรรมฉายหนังจีนดีๆ ที่จัดไปแล้ว 2 ครั้ง ในชื่อ ‘เทศกาลหนังตะวันออก’ เรื่องน่าสนใจที่เราจะไปคุยกับพี่ย่งเป็นเรื่องที่มาที่ไปของการจัดเทศกาลหนังจีนนี่หละค่ะ

พี่ย่งเริ่มเล่าให้ฟังถึงไอเดียล่าสุดที่อยากจะจัดกิจกรรมฉายหนังจีนเรื่องเด่นของโลก 4 เรื่อง ที่ได้รับยกย่องจากนิตยสารไทม์ ให้เป็นหนึ่งในหนังร้อยเรื่อง ได้แก่ ‘A Touch of Zen’ ‘Farewell to my Concubine’ ‘Chungking Express’ และ ‘ไอ้หนุ่มหมัดเมา’ (นำแสดงโดยเฉิงหลง) ที่มีแผนจะจัดฉายในปีนี้ โดยเฉพาะภาพยนตร์เรื่อง A Touch of Zen หรือ เสียหนี่ว์ 侠女 เป็นภาพยนตร์ที่หาดูได้ยากมาก คงต้องไปติดตามกิจกรรมนี้กัน

เมื่อกล่าวถึง “เทศกาลหนังตะวันออก” แฟนเว็บมุมจีนบางท่านที่เป็นแฟนหนังจีนอยู่แล้วคงเคยไปร่วมงานนี้มาบ้าง แต่สำหรับแฟนเรื่องจีนรุ่นใหม่อาจไม่รู้ว่ามีกิจกรรมทำนองนี้ด้วยเหรอ เราขออนุญาตแนะนำคร่าวๆ ตลอดจนมาคุยกันถึงหนังจีนน่าสนใจที่นำมาฉายในเทศกาลนี้

คงต้องย้อนไปเมื่อ 4 ปีก่อน (พ.ศ.2544) ที่เทศกาลหนังตะวันออกเปิดตัวขึ้นครั้งแรกโดยความร่วมมือของศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ หนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ สถานีโทรทัศน์ไอทีวี 104.5 Fat Radio สำนักพิมพ์สุขภาพใจ OMNI SYSTEM และโรงเรียนโอเคแอลเอส กิจกรรมดังกล่าวไม่ใหญ่โตอลังการเหมือนเทศกาลฟิล์มบางกอก ที่มีคนเข้าชมเป็นเรือนหมื่น แต่เป็นกิจกรรมเล็กๆ ของกลุ่มคนรักหนังจีนในวงจำกัด ที่จัดให้ชมกันฟรีๆ แบบประทับใจยากจะลืมเลือน  พี่ย่งย้อนให้ฟังถึงแนวคิดเริ่มต้นของการจัดเทศกาลหนังดังกล่าวว่า

ความคิดอย่างแรกมาจากเราทำโรงเรียนสอนภาษาจีน ก็มาคิดว่าจะมีอะไรบ้างจะเอื้อต่อการสอนภาษาจีน จริงๆ การจะเรียนภาษาให้ได้ผลมันต้องเรียนรู้ด้านวัฒนธรรมด้วย ทีนี้ตัวภาพยนตร์ก็เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องวัฒนธรรม ก็เลยคิดจะจัดขึ้นมา ก็ได้ไปพูดคุยกับผู้รู้ในเรื่องภาพยนตร์หลายๆ คน อย่างพี่เรืองรอง (เรืองรอง รุ่งรัศมี) ก็เป็นคนหนึ่งที่ได้มาร่วมปรึกษากัน อีกอย่างหนึ่งโดยส่วนตัวเรียนจบมาทางด้านภาพยนตร์ แล้วก็สนใจหนังอยู่ ไม่เฉพาะหนังจีน

เทศกาลหนังตะวันออกจัดมาแล้ว 2 ครั้ง โดยในครั้งแรกจัดขึ้นปี พ.ศ.2544 และ 2546 ตามลำดับ ครั้งแรกจัดที่ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์เก็บค่าเข้าชม ครั้งที่ 2 จัดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไม่เก็บค่าเข้าชม โดยมีการนำภาพยนตร์แนวศิลปะที่เคยฉายในเทศกาลหนังนานาชาติ หรือที่เรียกว่า ‘หนังอาร์ต’ มาฉาย รวมไปถึงหนังตลาดที่ฉายในประเทศจีนและคนไทยไม่เคยดู หรือเรียกง่ายๆ หนังจีนที่ไม่เข้าโรงในบ้านเรานั่นเอง ซึ่งพี่ย่งเล่าให้ฟังว่าหนังที่ได้รับความสนใจจากคนมาร่วมงานกลับไม่ใช่หนังอาร์ต

พี่ย่ง ปรากฏว่าหนังที่โดนใจคนดูจริงๆ กลับเป็นหนังตลาด มันเหมือนกับหนังตลาดที่เมืองจีนเองถูกนำมาฉายให้คนทั่วๆ ไปดู คนที่ไม่ได้สนใจเฉพาะหนังอาร์ตหรือไม่ได้สนใจหนังในแง่ศิลปะโดยตรง ทีนี้หนังที่ฉายเพื่อคนหมู่มากได้ฉายให้คนหมู่มากที่นี่ได้ดู ปรากฏว่ามันได้รับความประทับใจ

ตัวอย่างหนังในเทศกาลที่จัดครั้งแรก ในจำนวนหนังทั้งหมดมีหนังของผู้กำกับที่มีชื่อเสียงของจีน เช่น เฉินข่ายเกอ จางหยาง ซุนโจว จางหยวน เฝิงเสี่ยวกัง ฯลฯ โดยพี่ย่งเปิดเผยว่า หนังที่เรียกน้ำตาสุดๆ คือหนังเรื่อง 《漂亮妈妈》(เพี่ยวเลี่ยงมามา–Breaking the Silence) ซึ่งเขากล่าวถึงหนังเรื่องนี้ว่า คนดูแล้วร้องห่มร้องไห้ทั้งโรง ซึ่งอาจจะมีคนพูดถึงมันน้อยมากในแง่ศิลปะ หรือหนังของเฝิงเสี่ยวกังคนก็ชอบมาก หนังที่เลือกมาเป็นหนังตลก 《不见不散》( ปู๋เจี้ยนปู๋ซ่าน–Be There or Be Square ) คนก็ฮากันมากเลยทั้งโรง หนังพวกนี้จริงๆ ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นหนังอาร์ตที่ถูกฉายตามเทศกาล แต่ว่าพอถูกเลือกเข้ามาคนดูก็สนใจมาก

พี่ย่งบอกว่าหลักเกณฑ์ในการเลือกหนังมาฉายไม่มีอะไรพิเศษ มาจากไอเดียของหลายๆ คนที่ร่วมกันจัดงาน เพียงแต่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าควรเป็นหนังที่คนส่วนใหญ่น่าจะได้ดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นหนังที่ฮิตในกลุ่มผู้ชมชาวจีน ซึ่งมันจะสะท้อนชีวิตความเป็นจริงของคนจีนชัดเจนที่สุด ซึ่งพี่โย่งเปรียบเทียบกับหนังไทยอย่าง “แฟนฉัน” หรือ “หลวงพี่เท่ง” ที่ติดอกติดใจชาวบ้านชาวเมืองเป็นหนังที่น่าดูสำหรับชาวต่างประเทศที่อยากจะรู้นิสัยใจคอคนไทยจริงๆ

หนังตลาดที่สะท้อนความเป็นจริงในสังคมจีนที่เขากล่าวถึง เช่น เรื่อง 《我的兄弟姐妹》( หว่อเตอะซงตี้เจี่ยเม่ย-Roots and Branches ) ที่ฉายในเทศกาลฯ ครั้งที่ 2 เป็นหนังตลาดของจีนซึ่งเรียกน้ำตาอย่างมากจากผู้ชมชาวไทยเช่นกัน เป็นเรื่องราวของพี่น้องสี่คนที่ยากจนมาก หลังจากพ่อแม่ตายพี่น้องก็แยกย้ายกันไป ในจำนวนนี้คนหนึ่งได้ไปเรียนเป็นวาทยากรที่เมืองนอก พอกลับมาเมืองจีนก็ได้มาตามหาพี่น้องแต่ละคน หนังนำเสนอชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องที่แตกต่างกัน เช่นบางคนไปขับแท็กซี่ ซึ่งพี่โย่งชี้ว่าเมื่อมองมุมกลับจะเห็นว่าหนังสะท้อนถึงชีวิตของชาวจีนที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคที่เศรษฐกิจเจริญขึ้น หลายสิ่งหลายอย่างดึงดูดนักเรียนนอกชาวจีนกลับบ้านมาทำงานในประเทศมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นเรื่องราวที่ถูกใจคนจีน แม้แต่คนไทยดูแล้วยังประทับใจไปด้วย

หนังที่พี่ย่งชอบโดยส่วนตัวก็ได้รับเลือกมาฉายในเทศกาลด้วย นอกจากเรื่อง “เพี่ยวเลี่ยงมามา” แล้ว ก็ยังมีการ์ตูนที่ฉายในเทศกาลฯ ครั้งล่าสุดเรื่อง กู่ฉิน (古琴) เป็นการ์ตูนที่วาดคล้ายภาพพู่กันจีนของสตูดิโอที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งคนดูท่านอื่นๆ ชมแล้วก็ชอบ เพราะความน่าตื่นตาตื่นใจของภาพ โดยเขากล่าวถึงหนังในดวงใจนี้ว่า

การ์ตูนชุดนี้ทำมาได้ 30 กว่าปีแล้วนะฮะ มีซีรี่ย์อยู่หลายสิบเรื่อง เผอิญเรื่องนี้เป็นเรื่องที่วาดสวย และโดยตัวเรื่องกึ่งๆ ปรัชญา ไม่มีคำพูดเลย เดินเรื่องไปด้วยดนตรี ตอนนั้นกำลังสนใจเครื่องดนตรีจีน กู่ฉิน ในเรื่องนี้ก็ใช้กู่ฉินเป็นตัวนำเรื่อง

หนังที่นำมาจัดฉายในเทศกาลฯ เป็นหนังจากจีนแผ่นดินใหญ่ หนังจีนไต้หวันและฮ่องกง นอกจากนี้ ในงานครั้งแรกยังมีหนังที่น่าสนใจจากตะวันตกที่กล่าวถึงจีน คือภาพยนตร์แนวสารคดีเรื่อง “ From Mao to Mozart ” ของผู้กำกับ Allan Miller (หนังปี ค.ศ.1979 ได้รับรางวัล Academy Aword สาขาภาพยนตร์สารคดีปี 1980) เป็นเรื่องราวของนักไวโอลินที่มีชื่อเสียงของโลก ไอเซค สเติน ที่เดินทางมาเมืองจีนเพื่อสอนไวโอลิน โดยสาเหตุที่เลือกหนังเรื่องนี้ไปฉาย พี่ย่งบอกว่าความน่าสนใจอยู่ที่เป็นมุมมองของฝรั่งที่มองประเทศจีน ณ ตอนนั้น

เมื่อถามถึงความสำเร็จจากการจัดงานเทศกาลหนังเฉพาะประเภทอย่างนี้ พี่ย่งตอบว่า ครั้งแรกเราจัดที่ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ เฉลี่ยรอบหนึ่งคนดูซัก 50-60 คน ซึ่งก็แฮปปี้มาก แล้วก็ครั้งที่ 2 เราจัดที่ธรรมศาสตร์ ร่วมกับอาศรมสยามจีนวิทยา ห้องนั้นจุคนได้ 70-80 คน เฉลี่ยก็เกือบเต็มทั้ง 4 รอบ แต่ที่น่าสนใจมากๆ คือ กลุ่มคนที่มาดูไม่เหมือนคนที่มาดูตามเทศกาล กลับเป็นคนทั่วไป และจะมีคนกลุ่มหนึ่งอายุค่อนข้างมาก 40-50 ปี เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขารู้ได้อย่างไรว่ามีเทศกาลหนังจัด แล้วเขาก็มีมุมมองที่ซาบซึ้งไปกับหนังไปอีกแบบ

จริงๆ พอกลุ่มคนที่เราไม่คิดว่าจะเข้ามาดู เขามีปฏิกิริยาบางอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด เราก็อยากจะจัดอีกเพื่อเป็นการต่อเนื่อง แต่ยังติดเรื่องสถานที่ แต่ที่หนึ่งที่ผมชอบจริงๆ ที่ธรรมศาสตร์ เพราะก็มีเด็กที่เรียนทางฟิล์มด้วย เด็กที่เรียนภาษาจีนด้วย แล้วบุคคลทั่วไปก็เข้าถึงได้ง่ายด้วย คุณย่งกล่าว

เมื่อย้อนไปถามถึงกลุ่มเป้าหมายหลักคือนักเรียนที่เรียนภาษาจีนกลางของโรงเรียน ว่าได้เข้ามาชมหนังจีนที่จัดในเทศกาลฯนี่หรือไม่ เขาตอบว่า น่าแปลกก็คือว่าคนที่เรียนภาษาจีนกับคนที่ชอบหนังจีนนี่คนละกลุ่มกันเลยนะฮะ เหมือนกับคนที่ชอบภาพยนตร์ก็ดูหมด ไม่ว่าเป็นภาษาไหน ในขณะที่คนที่ชอบภาษาก็อาจจะไม่ใช่คนที่ชอบหนัง โดยเฉพาะหนังจีนที่ไม่ใช่หนังตลาดก็ยิ่งไกลตัวเขามากขึ้น ก็ต้องค่อยๆ สอดแทรก ก็มีอาจารย์บางท่านอาจจะเลือกบางตอนเข้าไปฉายให้เด็กดู ให้เขาเรียนรู้เรื่องภาษานะฮะ เด็กที่เรียนระดับสูงแล้วก็มีการเอาหนังกลับไปดูที่บ้านเหมือนกัน เราก็มีช่วงหนึ่งให้ยืมหนังกลับบ้านก็มี

แม้ว่าหนังบางเรื่องที่พี่ย่งบอกว่าอยากจะเผยแพร่แก่สาธารณชนมาก แต่ติดปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ หรือบางเรื่องที่มีข่าวว่าจะฉายชนโรงหนังบ้าง แต่ในที่สุดก็ไม่เข้ามาฉายจริงอย่างที่ได้ข่าวมา เขาจึงหลีกเลี่ยงไม่นำมาฉาย ซึ่งเป็นอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ความยุ่งยากอยู่ที่การใส่คำแปลภาษาไทย หรือการซ้อนซับไตเติลภาษาไทยให้กับหนังบางเรื่องมากกว่า เนื่องจากเป็นหนังที่ซื้อเป็นแผ่นดีวีดี หรือวีซีดี บ้างเป็นวีดิโอมาจากเมืองจีน ซึ่งไม่มีบทแปลภาษาอังกฤษ ทางโรงเรียนก็ต้องนำมาทำบทแปลไทยเอง

ในฐานะเป็นคนชอบหนังและยังมีโอกาสได้จัดเทศกาลหนังเอาใจเฉพาะแฟนหนังจีนอย่างนี้ คุณย่งมีมุมมองเกี่ยวกับพฤติกรรมการดูหนังจีนของคนไทยอย่างไร เขาตอบว่าคนไทยรู้จักหนังจีนประเภทหนังสายประกวด แต่หนังที่คนจีนดูกันจริงๆ คนไทยจะรู้จักค่อนข้างน้อย ละครโทรทัศน์จีนยังพอเริ่มมีเข้ามาในเมืองไทย แต่ในส่วนหนังยังหลุดเข้ามาน้อย ก็แปลกใจว่าทำไม

หนังจีนมีจุดเด่นผมว่าอย่างหนึ่งเป็นเรื่องของความใกล้ตัว คนไทยก็มีเชื้อสายจีน ฉะนั้นก็มีความใกล้ตัวกับเรื่องจีนค่อยข้างเยอะ และผมว่าจริงๆ หนังจีนดีๆ ปัจจุบันก็มีอยู่เยอะ อย่างน้องสาวอยู่ที่เมืองจีนนี่เขาพูดเกี่ยวกับหนังจีนละครจีนให้ฟังเยอะ แล้วก็ดังมากๆ เพียงแต่ว่ายังไม่มีนายทุนที่เข้าใจมันและเอาเข้ามา มันเป็นเรื่องที่คนมองไม่เห็นแล้วไม่กล้าเสี่ยง

พี่ย่งได้กล่าวปิดท้ายถึงการดูหนังในบ้านเราไว้อย่างน่าคิดว่า พอถึงที่สุดหนังฮอลลีวูดมันมีอิทธิพลมาก คือไม่ต้องลงทุนเขาก็เอาหนังเข้ามา มาตั้งแล้วก็ฉาย แทบไม่ต้องโปรโมตอะไรมาก รายการทีวีก็พูดถึงเขาเยอะแยะเลย หรือว่าคนไทยเอง ก็ต้องแหม ในชาร์ตบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่องไหนกำลังขึ้นที่ 1 ที่ 2 ไทยรัฐ-เดลินิวส์ยังลงเลย หนังสือหลายๆ เล่มยังลง เราโปรโมตให้เขาอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งมันแตกต่าง ไม่เห็นมีชาร์ตที่เมืองจีนแผ่นดินใหญ่ หรือชาร์ตที่ฮ่องกงเลย ว่าหนังจีนหนังฮ่องกงเป็นยังไง แม้แต่ญี่ปุ่นก็ไม่เห็นมี

เราก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมการเดินทางของหนังจีนแผ่นดินใหญ่ดีๆ สักเรื่องจะต้องอ้อมไปไกลถึงตะวันตกแล้วค่อยวกกลับมาฉายในเมืองไทยทีหลัง..?...เราอยากไปรู้จักงานของผู้กำกับจีนแผ่นดินใหญ่ที่ไม่ได้เป็นมือล่ารางวัลกันหรือไม่..?...คนไทยส่วนใหญ่ไม่ดูหนังจีนแผ่นดินใหญ่จริงหรือ..?... ถ้าอย่างนี้คนที่อยากดูหนังดีๆคงต้องหาดูได้เฉพาะในงานเทศกาลฯ แบบนี้เท่านั้นหละค่ะ !

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

หนังตลาดของจีนที่ไม่เคยเข้าฉายในโรงหนังบ้านเรา แต่ได้รับความสนใจจากผู้ชมในงานเทศกาลหนังตะวันออก....คุณอยากดูไหม ?

อ่านต่อหน้า 2






1 《漂亮妈妈》(เพี่ยวเลี่ยงมามา– Breaking the Silence ค.ศ.2000)
ประเภท :
ชีวิต
กำกับ : ซุนโจว (孙周) นำแสดง : ก่งลี่ เกาซิน
เนื้อเรื่องย่อ : ชีวิตของสาวจีนวัยทำงานผู้หนึ่งที่สามีทิ้งไป เหลือไว้แต่ลูกชายที่หูหนวกตั้งแต่กำเนิด เธอต้องการให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีเหมือนกับเด็กปรกติทั่วไป จึงตัดสินใจลาออกจากงานมาส่งหนังสือพิมพ์ ด้วยความหวังว่าจะได้ใกล้ชิดกับลูกและสอนลูกให้ฟังพูดได้เหมือนเด็กปรกติด้วยตัวเอง
‘เพี่ยวเลี่ยงมามา’ สร้างจากเรื่องจริง และเป็นบทบาทที่ท้าทายอีกบทหนึ่งในชีวิตการแสดงของก่งลี่ กับเกาซิน เด็กน้อยที่หูหนวกและเป็นใบ้จริงๆ ส่วนผู้กำกับซุนโจวยังได้รับรางวัลร้อยบุปผาผู้กำกับยอดเยี่ยม จากงานเทศกาลแจกรางวัลไก่ทองคำ-ร้อยบุปผา ครั้งที่ 10 ในประเทศจีนด้วย

2 《不见不散》(ปู๋เจี้ยนปู๋ซ่าน–Be There or Be Square ค.ศ.1998 )
ประเภท :
ตลก
กำกับ : เฝิงเสี่ยวกัง (冯小刚) นำแสดง : เก่อโยว สีว์ฟาน
เนื้อเรื่องย่อ : เรื่องราวความรักของ 2 ผู้ลี้ภัยชาวจีนที่ดำรงชีพอยู่ในอเมริกา ที่ต้องมีเหตุให้จากและพบกันแบบไม่คาดฝันหลายครั้งกว่าจะสมหวังในตอนจบ หนังทำรายได้ในจีนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สูงกว่ารายได้ของ Starwar Episode 1 เฝิงเสี่ยวกังได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับมือทอง ที่หนังของเขาจะมีโปรแกรมเข้าฉายทุกโรงในช่วงตรุษจีนของแผ่นดินใหญ่เสมอ
อ่านบทสัมภาษณ์คุณเรืองรอง รุ่งรัศมี พูดถึงหนังจีนในดวงใจเรื่องนี้และผู้กำกับเฝิงเสี่ยวกัง ใน 'คุยสบายๆกับเรืองรองฯ'

3 《我的兄弟姐妹》 (หว่อเตอะซงตี้เจี่ยเม่ย Roots and Branches ค.ศ.2001)
ประเภท : ชีวิต
กำกับ : อี๋ว์จง (俞钟) นำแสดง : เหลียงหย่งฉี เจียงอู่ เซี่ยอี่ว์ ชุยเจี้ยน
เนื้อเรื่องย่อ : พี่น้องจากอีสาน 4 คน ต้องสูญเสียทั้งพ่อและแม่ภายในคืนเดียวกัน กลายเป็นเด็กกำพร้าที่แม้แต่ญาติก็ไม่รับเลี้ยง พี่ชายคนโตจึงจำเป็นต้องนำน้องๆ ทั้งหมดไปให้คนอื่นเลี้ยงดู โดยแต่ละคนจะมีภาพถ่ายครอบครัวเป็นสมบัติชิ้นเดียวติดตัวไปด้วย เพื่อหวังว่าอนาคตจะได้จำกันได้เมื่อกลับมาพบกันอีก เรื่องราวชีวิตของพี่น้องที่ต่างเติบโตกันไปคนละแบบ และกว่าในที่สุดจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง สร้างความสะเทือนใจจนผู้ชมต้องหลั่งน้ำตา

4 《洗澡》(สีเจ่า–Shower ค.ศ.1999)
ประเภท :
 ครอบครัว
กำกับ : จางหยาง (张杨) นำแสดง : ผูฉุนซิน จูซี่ว์ เจียงอู่
เนื้อเรื่องย่อ : ภาพยนตร์ตีแผ่ธาตุแท้ของมนุษย์ กล่าวถึงการปะทะกันระหว่างวัฒนธรรมใหม่และเก่าที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ผ่านชีวิตของพ่อและลูกชายทั้ง 2 เจ้าของกิจการโรงอาบน้ำในปักกิ่ง หนังนำเสนอการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัยที่กำลังเข้าครอบงำสังคมเมือง โดยกิจการเก่าแก่หลายแห่งต้องปิดตัวลงพร้อมกับสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ก็ถูกรื้อทิ้ง
ภาพยนตร์ได้รับการยอมรับในประเทศตะวันตก ทั้งในอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี และญี่ปุ่น แต่กลับได้รับคำวิจารณ์ในทางลบจากสื่อมวลชนจีน ผู้กำกับจางหยางยังได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์ San Sebastian และได้รับรางวัลจากสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ในโตรอนโต

5 《苏州河》(ซูโจวเหอ–Suzhou River)
ประเภท : รักโรแมนติก
กำกับ : โหลวเยี่ย (娄烨) นำแสดง : โจวซวิ่น เจี่ยหงเซิง
เนื้อเรื่องย่อ : นิยายรักที่เริ่มต้นขึ้น ณ ริมฝั่งแม่น้ำซูโจวในเมืองเซี่ยงไฮ้ ระหว่างหนุ่มขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างส่งเอกสารกับลูกสาวชายขี้เมาที่ว่าจ้างเขาไปส่งเธอที่บ้านป้า โดยทั้งคู่ต่างก็ตกหลุมรักกัน แต่เขากลับลักพาตัวเธอไปเรียกค่าไถ่จากพ่อ หญิงสาวตรอมใจจนกระโดดลงแม่น้ำซูโจวหายไปพร้อมกับตุ๊กตานางเงือกที่เขามอบให้ และได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่โยงใยไปถึงเรื่องยุ่งยากในอีก 5 ปีต่อมา
หนังรักเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากหนังอมตะเรื่อง Vertigo (ค.ศ.1958) ของ อัลเฟรด ฮิทช์ค็อก ได้รับอิทธิพลด้านรูปแบบทั้งจากหนังตะวันตกและตะวันออก ที่ผสมผสานออกมาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้กำกับรุ่นที่ 6 คนนี้

******************************




กำลังโหลดความคิดเห็น