ชาวต่างชาติทั้งหลายเมื่อมาถึงปักกิ่ง นอกจากปีนป่ายกำแพงหมื่นลี้ กินเป็ดปักกิ่งแล้ว รายการหนึ่งของการเที่ยวชมเมืองที่ขาดไม่ได้ก็คือไปหลิวหลีฉ่าง ย่านตลาดการค้างานหัตถศิลป์จีนที่เฟื่องฟูมาตั้งแต่ครั้งสมัยราชวงศ์ชิง บนถนนสายวัฒนธรรมนี้เองเป็นที่ตั้งของร้านหรงเป่าไจที่ปัจจุบันมีอายุ 300 กว่าปีแล้ว ยังคงยืนหยัดอย่างสงบงามท่ามกลางกระแสสังคมและวัฒนธรรมรอบข้างที่เปลี่ยนแปรไป
“ผมเข้ารับหน้าที่บริหารกิจการของร้านหรงเป่าไจเมื่อตอนอายุ 28 ปี” ชายชราวัย 78 ปี ท่าทางแข็งแรงกระฉับกระเฉงที่มาเดินเล่นบนถนนสายนี้ทุกบ่าย กล่าวรำลึกความหลัง
โหวข่ายเป็นผู้จัดการร้านหรงเป่าไจตั้งแต่ปี 1950 เขาถูกย้ายเข้ามาประจำในปักกิ่งเพื่อรับหน้าที่บริหารกิจการของหรงเป่าไจซึ่งทางรัฐบาลเพิ่งทำสัญญาร่วมทุนด้วย ถือเป็นกิจการรุ่นแรกที่กลายสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ ภายหลังการก่อตั้งประเทศจีนใหม่
“ถ้าหากจะเล่าถึงที่มาของร้าน ก็ต้องย้อนกลับไปถึงต้นตอร้านเก่าดั้งเดิมของหรงเป่าไจ ก็คือ ซงจู๋ไจ มีชื่อเสียงในด้านกิจการเครื่องเขียน ภาพวาดและผลงานเขียนอักษรพู่กันจีน เริ่มเปิดดำเนินกิจการครั้งแรกในรัชสมัยจักรพรรดิคังซีแห่งราชวงศ์ชิง (ปี ค.ศ.1672) สมัยนั้นคนที่เดินทางเข้าเมืองหลวงมาเพื่อสอบจอหงวนก็ต้องมาหาซื้อเครื่องเขียนกับหนังสือเตรียมสอบกันที่นี่ล่ะ” โหวข่ายกล่าว
ร้านขายกระดาษที่ไม่ธรรมดา
ผู้ก่อตั้งร้านซงจู๋ไจเป็นชาวเจ้อเจียงทางภาคตะวันออกของจีน แซ่จาง แรกเริ่มเดิมทีเป็นเพียงร้านขายกระดาษเล็กๆ ในปักกิ่ง โดยสินค้าในร้านส่วนแรกได้แก่ กระดาษสำหรับวาดภาพ เขียนหนังสือ (พู่กันจีน) บ้างใช้ทำเป็นพัด และเป็นกรอบภาพแขวน(โดยนำภาพวาดหรือลายสือศิลป์มาปิดลงบนกระดาษเนื้อหนาอย่างดีทำเป็นกรอบภาพ สามารถม้วนเก็บได้) เป็นต้น ส่วนที่สองเป็นเครื่องเขียน ได้แก่ กระดาษเขียนจดหมาย พู่กัน แท่นฝนหมึก หมึก ที่วางพู่กัน หมึกตราประทับ เป็นต้น และส่วนที่สามเป็นผลงานลายมือ ภาพวาด และงานแกะสลัก (ตราประทับและอื่นๆ) ของบรรดาศิลปินและจิตรกรทั้งหลาย ซึ่งทางร้านได้แสดงใบรายการเสนอราคาสั่งจองผลงานของศิลปินแต่ละคนเอาไว้ (โดยวัดจากขนาดของผลงานและชื่อเสียงของศิลปิน) อีกทั้งกลุ่มศิลปินเองก็เป็นลูกค้าซื้อหาเครื่องเขียนเครื่องใช้ต่างๆ จากทางร้าน ทำให้ทางร้านมีรายได้เป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง
สภาพสังคมยุคศักดินาในสมัยนั้นมีความเข้มงวดในการตรวจตราความถูกต้องของหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายรายงานจากขุนนางที่ประจำอยู่ในเขตหัวเมืองรอบนอกเป็นพิเศษ ถ้าหากเกิดข้อผิดพลาดหรือไม่เหมาะสมแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะถูกการมองว่าเป็นข้าราชการที่ไม่มีความใส่ใจดูแลบริหารบ้านเมือง
โดยปกติการที่ขุนนางจะจัดทำหนังสือกราบบังคมทูลเกล้าฯ ถวายรายงาน ต้องเขียนด้วยตัวอักษรข่ายจื้อที่เป็นอักษรมาตรฐานเท่านั้น อีกทั้งยังต้องระมัดระวังเกี่ยวกับอักษรที่ต้องหลีกเลี่ยง (เนื่องจากซ้ำกับชื่อของกษัตริย์) การจัดวางกั้นขอบตัวอักษรและย่อหน้า เป็นต้น โดยใช้หนังสือตราตั้งขุนนางที่เข้ารับตำแหน่งเป็นเกณฑ์ หากขุนนางผู้ใหญ่อ่านพบข้อผิดพลาด อย่างเบาต้องถูกลงโทษด้วยการโบยตี อย่างหนักก็ถูกลดขั้นตำแหน่งกันเลยทีเดียว ดังนั้นการคัดเลือกกระดาษสำหรับเขียนหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายรายงานจึงต้องสรรหาอย่างชนิดชั้นยอดปราศจากรอยตำหนิเท่านั้น
ร้านซงจู๋ไจเองก็ทราบว่าการทำหนังสือถวายรายงานมีความสำคัญอย่างยิ่ง จึงให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ กระดาษทุกพับ (สมัยนั้นจีนใช้กระดาษเป็นพับแล้วเย็บเข้าเป็นเล่ม) ต้องผ่านการคัดแยกด้วยกำลังคนนับสิบ กระดาษที่มีริ้วรอยตำหนิแต่เพียงน้อยนิดจะถูกคัดออกทันที ดังนั้นราคาของกระดาษจากร้านซงจู๋ไจจึงมีราคาสูงกว่าร้านอื่นเกือบครึ่งทีเดียว แต่ก็ได้รับการกล่าวขวัญจากลูกค้าที่ซื้อหาสินค้าไปถึงความน่าเชื่อถือนี้ ดังนั้นกิจการของทางร้านจึงรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ
ผู้จัดการร้านคนใหม่กับวิกฤตไฟสงคราม
ปลายราชวงศ์ชิงภายหลังสงครามฝิ่นยุติลง สภาพเศรษฐกิจและสังคมเสื่อมทรุดลง ทางร้านจึงต้องเชื้อเชิญบุคคลภายนอกเข้ามาช่วยบริหารร้าน โดยผู้จัดการร้านคนแรกคือ จวงหู่เฉิน คิดปรับปรุงหน้าร้านเสียใหม่ และเปลี่ยนมาใช้ชื่อร้านว่า “หรงเป่าไจ” ในปี 1894 (รัชกาลจักรพรรดิกวงสู)
ระหว่างปี 1900 กองทัพมหาอำนาจแปดชาติบุกเข้าปล้นเมืองหลวง ผู้คนต่างปิดร้านอพยพหลบหนีออกจากเมือง มีแต่ร้านหรงเป่าไจที่ยังคงปักหลักอยู่ในปักกิ่ง ต่อเมื่อจักรพรรดิกวงสูและพระนางซูสีไทเฮากลับมายังปักกิ่งแล้ว มีผู้นำความขึ้นทูลเกล้าถวายรายงาน ทำให้จวงหู่เฉินได้รับตราตั้งเป็นขุนนางชั้นเจ็ด แต่สำหรับจวงหู่เฉิงแล้ว ตำแหน่งขุนนางที่ได้รับยังไม่อาจเทียบได้กับโอกาสทางการค้า
ทุกเช้า เมื่อจวงหู่เฉินสวมชุดขุนนางเพื่อเข้าทูลถวายรายงานราชการต่อองค์จักรพรรดิในพระราชวังต้องห้าม จุดหมายสำคัญอยู่ที่คัดลอกรายชื่อขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้งและปลดจากตำแหน่งในเวลานั้น เนื่องจากข้อมูลที่ได้มีความรวดเร็วและน่าเชื่อถือ ดังนั้นบัญชีรายชื่อที่จัดพิมพ์โดยร้านหรงเป่าไจจึงกลายเป็นสินค้าขายดีในหมู่ขุนนางน้อยใหญ่ไป
เนื่องจากสภาพสังคมในเวลานั้น ไม่ว่าจะรับราชการหรือทำการค้าย่อมต้องทำความรู้จักกับบุคคลที่กุมอำนาจในมือ ดังนั้น “บัญชีรายชื่อขุนนางในเมืองหลวง” ที่จัดพิมพ์ขึ้นทุกปี จึงกลายเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ออกเป็นรายประจำที่เก่าแก่ที่สุดรายการหนึ่งของจีนทีเดียว
เรียบเรียงจาก
www.cctv.com/
www.xinhuanet.com
www.rbzarts.com/
www.21cbi.com/


