xs
xsm
sm
md
lg

หินสลักประตูมังกร กับ ฝันที่ใกล้เป็นจริง (1)

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล


หลังมาถึงเมืองจีนได้สักพักใหญ่ พอสัญชาตญาณเริ่มรับรู้ทิศ เหนือ-ใต้-ออก-ตก กับเขาบ้างแล้ว ผมก็เริ่มวาดฝัน ในฝันทั้งกลางวันและกลางคืนของผมวาดเอาไว้ว่าไหนๆ ก็อยู่เมืองจีนทั้งที ก็ต้องออกไปดูโลกกว้างให้คุ้มค่า!

ฝันแรก ของผมคือ การเดินทางไป หวงซาน และ จิ่วจ้ายโกว สถานที่สองแห่งที่ ซึ่งขึ้นชื่อว่าทิวทัศน์ ภูเขา และน้ำ งดงามที่สุดในใต้หล้าฟ้าเมืองจีน .... ฝันอันแรกของผมเหมือนกับได้ออกรายการรับรถเข็นในรายการคุณไตรภพ เพราะมันเป็นจริงไปตั้งแต่ปีที่แล้ว

หลังจากสมหวังกับฝันอันแรก ... ผมก็ได้ใจ วาดฝันประการที่สองต่อทันที ตามประสาคนกิเลศหนา

ฝันที่สองของผมก็คือ การได้ไปดู สุดยอดถ้ำหินสลักทั้งสามแห่ง (中国三大石窟) ของจีน
.................................
บ่ายของวันหนึ่ง ต้นเดือนพฤษภาคม ....

ผมเดินเรียบ แม่น้ำอี (伊河) ณ ส่วนหนึ่งของริมลำน้ำแห่งนี้ ห่างจากตัวเมืองลั่วหยางมาทางทิศใต้ประมาณ สิบกว่ากิโลเมตร ถูกขนาบด้วยภูเขาสองฝั่ง ฝั่งตะวันออกเป็นภูเขาเซียง (เซียงซาน:香山) ส่วนทิศตะวันตกเป็นภูเขาประตูมังกร (หลงเหมินซาน:龙门山)

ณ ที่นี้คือสถานที่ตั้งของ หนึ่งในสามสุดยอดศิลปะหินสลักแห่งแผ่นดินจีน ...... ถ้ำหินสลักประตูมังกร หรือ หลงเหมินสือคู (龙门石窟)

ผมขอย้อนแนะนำท่านผู้อ่านที่ยังไม่ทราบกันสักนิดว่า ถ้ำหินสลัก หรือ ที่ในภาษาจีนกลางเรียกว่าสือคู (石窟) นั้นถือเป็นมรดกตกทอดของศาสนาพุทธ ที่ยังเหลือทิ้งร่องรอยไว้ในประเทศแถบภูมิภาคเอเชียที่ ภูมิประเทศมีภูเขาหินตั้งอยู่เยอะ อย่างเช่น อินเดีย อัฟกานิสถาน และที่สำคัญคือ จีน โดยว่ากันว่าในประเทศจีนมีถ้ำหินสลักกระจายตัวอยู่นับร้อยแห่ง

อย่างไรก็ตาม ถ้ำหินสลักที่ขึ้นชื่อและถือว่าวิจิตรที่สุดในประเทศจีนนั้นมีอยู่ 3 แห่ง เรียงลำดับตามระยะเวลาการเริ่มสร้าง ก่อน-หลัง คือ

1.ถ้ำหินสลักโม่เกา (莫高石窟)แห่งตุนหวง (敦煌) มณฑลกานซู่
2.ถ้ำหินสลักหยุนกัง (云冈石窟) แห่งต้าถง (大同) มณฑลซานซี
3.ถ้ำหินสลักหลงเหมิน (龙门石窟) แห่งลั่วหยาง (洛阳) มณฑลเหอหนาน

หากบางท่านยังจำได้ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่แล้ว (พ.ศ.2547) ผมเคยพาท่านไป ซานซี ตะลุย ถ้ำหินสลักหยุนกัง มาแล้วหนึ่งรอบ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการแนะนำซ้ำซ้อนเสียเวลา หากท่านผู้อ่านท่านใดยังสนใจก็ตามไปชมกันได้ใน สู่ ซานซี:ร่องรอยแห่งพุทธ ตอน 1 และ ตอน 2

สำหรับ ถ้ำหินสลักหยุนกัง และ ถ้ำหินสลักหลงเหมิน นี้มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกันอยู่ประการหนึ่งก็ คือ ถ้ำหินสลักทั้งสองแห่งนี้ สร้างขึ้นในสมัยเว่ยเหนือ (เป่ยเว่ย:北魏)

หลังจากที่ศาสนาพุทธ หลั่งไหลมาตามเส้นทางสายไหม เริ่มเผยแพร่เข้ามาในประเทศจีนในสมัยฮั่นตะวันออก ล่วงเลยมาจนถึงสมัยเว่ยเหนือ ใน ยุคราชวงศ์เหนือใต้ (南北朝; ค.ศ.420-589) ศาสนาพุทธก็เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรือง โดยปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ส่งให้ศาสนาพุทธแพร่หลายอย่างมากในช่วงเวลานั้น ก็คือ การได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจาก กษัตริย์ของเป่ยเว่ย ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย เผ่าเซียนเปย (鲜卑族)

เดิมทีนั้น เมืองหลวงของเป่ยเว่ยตั้งอยู่ ณ สถานที่ซึ่งปัจจุบันคือ เมืองต้าถง มณฑลซานซี และกษัตริย์ของเป่ยเว่ยก็มีดำริให้สร้างถ้ำหินสลักขนาดใหญ่โตมโหฬารขึ้นที่เมืองหลวง ซึ่งในปัจจุบันก็คือ ถ้ำหินสลักหยุนกัง

ต่อมาในรัชสมัยของ เสี้ยวเหวินตี้ (孝文帝; ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 471-499) พระองค์ได้ดำเนินการปฏิรูปการปกครอง ภายใต้นโยบาย 'ทำให้เป็นฮั่น (汉化政策)' อันมีความหมายก็คือ ให้ชนกลุ่มน้อยพยายามเรียนรู้วัฒนธรรมจาก 'ชาวฮั่น' ชนเผ่าที่มีวัฒนธรรมก้าวหน้ากว่าใครในตอนนั้น ส่งผลให้เกิดการเร่งกระบวนการหลอมรวมทางวัฒนธรรมขนานใหญ่ ทั้งนี้หนึ่งในนโยบายการทำให้เป็นฮั่นก็ คือ การย้ายเมืองหลวงจาก เมืองต้าถง มายังดินแดนภาคกลาง ก็คือ เมืองลั่วหยาง ในปี ค.ศ.494*

เมื่อย้ายเมืองหลวงมาแล้ว กษัตริย์ของเป่ยเว่ยก็ดำริให้มีการสร้างถ้ำหินสลักขึ้นอีกแห่ง และนั่นก็กลายเป็นต้นกำเนิดของ ถ้ำหินสลักหลงเหมิน อันเลื่องลือ

มีคำถามว่า ทำไมคนจีนเมื่อพันกว่าปีก่อน จึงนิยมแกะสลักถ้ำหินมากถึงเพียงนี้ ......

คำตอบของคำถามนี้นั้น มีความเกี่ยวโยงไปกับการแพร่หลายของศาสนาพุทธในประเทศจีน ก็คือ หลังจากราชวงศ์ฮั่นล่มสลายไปเมื่อปลาย ศตวรรษที่ 2 ประเทศจีนก็เข้าสู่ยุคสมัยของความแตกแยกเป็นเวลานานหลายร้อยปี โดยจะมีช่วงเวลาที่ประเทศรวมเป็นหนึ่งได้ก็เพียงสั้นๆ 50 กว่าปีในสมัยจิ้นตะวันตก (西晋; ค.ศ.265-316) เท่านั้น

ในช่วงเวลาที่ประเทศจีนแตกแยก เกิดภัยธรรมชาติ มีการทำสงครามอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน ส่งผลให้ประชาชนทุกหัวระแหงได้รับความยากลำบากนั้น ก็นับเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการขยายตัวของศาสนาพุทธ เนื่องจากพุทธศาสนานั้นมีความเชื่อใน บุญ-บาป นรก-สวรรค์ โลกหน้า และ การเวียนว่ายตายเกิด

ความเชื่อเหล่านี้ นับได้ว่าเป็น แสงเทียนส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด ที่นำทางและปลอบประโลม ผู้คนที่กำลังตกระกำลำบากอย่างแสนสาหัส ให้ยังคง 'มีความหวัง' ในการดำรงชีวิตต่อไป และก็เป็นแรงดึงดูดให้ ผู้คนในเวลานั้นหันมานับถือศาสนาพุทธมากขึ้นเรื่อยๆ**

ทั้งนี้ในเวลาต่อมาแม้ ราชวงศ์สุย-ถัง ประเทศจีนจะรวมหนึ่งเดียวแล้วแต่อิทธิพลของศาสนาพุทธและการแกะสลักถ้ำหินเพื่อแสดงความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาก็ยังคงดำรงอยู่เรื่อยมา เช่นกัน ถ้ำหินสลักหลงเหมิน ก็ถือเป็นมรดกตกทอดจากอิทธิพลของศาสนาพุทธตั้งแต่ยุคแผ่นดินวุ่นวาย และเมื่อประเทศจีนเข้าสู่ยุครุ่งเรืองและเฟื่องฟูในสมัยราชวงศ์ถัง ความศรัทธาในศาสนาพุทธที่นำมาสู่การแกะสลักถ้ำหินก็ยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย รวมระยะเวลาการแกะสลักแล้ว ยาวนานถึง 4 ศตวรรษ

ในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618-907) ฮ่องเต้ถัง ชนชั้นเจ้านาย ขุนนาง เศรษฐี และสามัญชนในสมัยถัง ต่างก็ทะนุบำรุงศาสนาพุทธด้วยการมาแกะสลักพระพุทธรูปที่ถ้ำหินสลักหลงเหมิน ด้วยกันทั้งสิ้นเช่น ฮ่องเต้ถังไท่จง ถังเกาจง พระนางบูเช็กเทียน (อู่เจ๋อเทียน) โดยนอกเหนือจากการแกะสลักพระพุทธรูปแล้ว ยังมีการสลัก ศิลาจารึกอักษรจีน หมายเหตุบันทึก รวมถึง เจดีย์อีกจำนวนมหาศาล

แล้ว ถ้ำหินสลักหลงเหมินน้องเล็ก มีความแตกต่างจาก พี่ใหญ่ ถ้ำหินสลักโม่เกา และพี่รอง ถ้ำหินสลักหยุนกัง อย่างไรบ้าง

สำหรับเอกลักษณ์ที่แตกต่างของถ้ำหินสลักของจีนทั้งสามแห่งนั้น ได้มีผู้เชี่ยวชาญได้อธิบายเอาไว้สั้นๆ ว่า 'ถ้ำหินสลักโม่เกา' เลื่องชื่อในเรื่องของรูปสลักสี-ภาพจิตรกรรมฝาฝนังสี 'ถ้ำหินสลักหยุนกัง' โดดเด่นในเรื่องการแกะสลักเจดีย์ไว้ในถ้ำ ส่วนพระพุทธรูปสลักของ 'ถ้ำหินสลักหลงเหมิน' นั้นถือว่างดงามที่สุด***

งดงามถึงขนาดที่ว่าได้รับการยกย่องเป็น 'หอศิลป์ของหินสลัก' เลยทีเดียว ......

อ้างอิงจาก :
*หนังสือ 中国文化知识精华 : สำนักพิมพ์ 湖北人民出版社, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 4 เดือนมกราคม ค.ศ.2004 หน้า 531
**หนังสือ 龙门石窟与百题问答 โดย หลี่เหวินเซิง (李文生) : สำนักพิมพ์ 河南大学出版社, ฉบับ ค.ศ.2001
***หนังสือ 世界文化史故事大系•中国卷 โดย จูอี้เฟย และ หลี่รุ่นซิน (朱一飞,李润新) สำนักพิมพ์ 上海外语教育出版社 หน้า 213-217

กำลังโหลดความคิดเห็น