ท่ามกลางความสัมพันธ์ไทย-จีนที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว และเหนียวแน่นขึ้นเป็นลำดับ เราอาจไม่ใคร่ได้ยินได้ฟังมุมมองของบุคคล 3 กลุ่มต่อไปนี้เท่าใดนัก(คนจีนในเมืองไทย-คนไทยในเมืองจีน-คนไทยเชื้อสายจีนในไทย) ว่าเขารู้สึกอย่างไรบ้างกับ ”ประเทศที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 ของเขา” โอกาสพิเศษ 30 ปีไทย-จีน เรามาฟังความรู้สึกส่วนลึกของเขาเหล่านี้กัน
คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show

สายสัมพันธ์ไทย-จีนที่ดำเนินอย่างเป็นทางการมานาน 3 ทศวรรษ บวกความสัมพันธ์ที่ไม่ทางการก่อนหน้านั้นอีกเป็นร้อยๆ ปี คงไม่เพียงยืนยันถึงความแนบสนิทชิดเชื้อแห่งสายธารความสัมพันธ์ระหว่างกันเท่านั้น แต่แนวคิด วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของพี่น้องประชาชนทั้ง 2 ประเทศต่างหลอมรวมเข้ากันอย่างกลมกลืน ตัวอย่างเช่น เครื่องสังคโลก ที่ช่างปั้นชาวจีนเคยมาสอนคนไทยตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย ลวดลายจิตรกรรมไทยที่ไปปรากฏในประเทศจีนมากมาย หรือแม้แต่ดนตรีและเพลงไทย-จีนที่ประยุกต์เข้ากันได้อย่างน่าฟัง เป็นต้น
ความรู้สึกที่บังเกิดกับชาวจีนที่มาลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองไทย หรือแม้แต่ชาวไทยที่ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจีน รวมถึงชาวไทยเชื้อสายจีนที่เกิดในเมืองไทย นอกจากความประทับใจในอัธยาศัยของกันและกันแล้ว ชาวจีนและชาวไทยยังอดรู้สึกภาคภูมิใจในสายสัมพันธ์ที่ 2 ประเทศมีต่อกันไม่ได้ บุคคลท่านหนึ่งที่รู้สึกเช่นนี้ ก็คือ คุณฉินอี้ว์เซิน หรือท่านทูตฉิน ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และประจำอยู่เมืองไทยมานาน 17 ปีแล้ว แทบไม่ต้องพูดถึงว่าท่านทูตฉินจะเหนียวแน่นลึกซึ้งกับประเทศไทยและคนไทยขนาดไหน นอกจากท่านทูตจะพูดภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว ยังเชี่ยวชาญถนนหนทางในเมืองไทยยิ่งกว่าคนไทยบางคนด้วยซ้ำ
ท่านทูตฉิน ออกปากชมว่า เมืองไทยน่าอยู่ และคนไทยก็ยิ้มมีเสน่ห์ ส่วนอาหารไทยอย่างต้มยำกุ้ง ก็เป็น
อาหารที่จะอดคิดถึงไม่ได้ ถ้าไม่ได้ทานหลายๆ วัน ท่านทูตกับบทบาทสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรม รู้สึกยินดีที่ได้เห็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของไทยและจีนพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
“ในปี 1975 ที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันน้อยมาก คือแค่ 4 รายการ แต่เมื่อถึงปี 2004 มีการแลกเปลี่ยนกันมากถึง 200 กว่ารายการ ผู้นำระดับชั้นผู้ใหญ่ทางด้านวัฒนธรรมของหน่วยงานรัฐบาลได้มีการเยี่ยมเยือนกันบ่อยครั้ง ลู่ทางและขอบเขตการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมได้ขยายวงกว้างขึ้น ปัจจุบัน ศิลปวัฒนธรรมจีน อย่างเช่น กายกรรม นาฏศิลป์ หุ่นกระบอก อุปรากร-งิ้วท้องถิ่น ตลอดจนการวาดเขียนพู่กันจีน ศิลปหัตถกรรมของจีน เป็นที่รู้จักและนิยมชมชอบของประชาชนไทย โดยเฉพาะ พระบรมสารีริกธาตุ ข้อนิ้วพระหัตถ์ พระเขี้ยวแก้ว ได้ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานชั่วคราวในไทย ได้รับการบูชานับถือจากบรรดาพุทธศาสนิก
ชนอย่างสมเกียรติและกว้างขวาง ขณะเดียวกัน คณะอุปรากร ละครโขน นาฏศิลป์พื้นเมือง ศิลปหัตถกรรมแบบไทย ก็ได้ไปแสดง และจัดนิทรรศการกาลในจีน และก็ได้รับการต้อนรับและชมเชยจากประชาชนชาวจีนเช่นกัน ทำให้ชาวจีนเข้าใจวัฒนธรรมไทยมากขึ้น”
นอกจากนั้น เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยและจีนยังได้พัฒนาความสัมพันธ์ไปอีกขั้น ด้วยการลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านวัฒนธรรมไทย รวมทั้งลงนามบันทึกช่วยจำ(MOU)การสอนภาษาจีนในไทย การใช้สมุนไพรจีนและสมุนไพรไทยเพื่อรักษาโรค ไม่แค่นั้นรัฐบาลไทยยังได้ประกาศให้การแพทย์แผนโบราณของจีนเป็นการแพทย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ช่วยยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด ท่านทูตฉิน เชื่อว่า การที่ทั้ง 2 ประเทศสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันได้อย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้ ก็เพราะพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ของไทยนั่นเอง

ด้านอาจารย์หลี่หยาง พระอาจารย์ผู้ถวายการสอนดนตรีกู่เจิงแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ซึ่งมาอยู่เมืองไทยนานกว่า 10 ปีแล้ว และขวนขวายเรียนรู้ภาษาไทยด้วยตนเอง โดยไม่ได้เข้าโรงเรียน มองว่า ดนตรีเป็นเสมือนเครื่องมือและสื่อกลางที่ช่วยให้ประชาชนทั้ง 2 ชาติรู้จักกันมากขึ้น อาจารย์หลี่หยางไม่เพียงรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสถวายการสอนดนตรีแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีเท่านั้น แต่ยังรู้สึกประทับใจในพระจริยาวัตรของพระองค์ด้วย
“วันแรกที่สอนคือ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ปี 1999 จำได้ ก็เกร็ง คิดว่าท่านเป็นเจ้าหญิง ก็น่าจะเป็นคนที่ถือตัว ลักษณะคงแบบพอไปอยู่ close ใกล้ๆ คงไม่น่าจะได้ รู้สึกอย่างนั้น คงเป็นคนที่ไม่ออกตน คือคิดเองนะคะ ปรากฏว่า พอได้สัมผัสกับท่านแล้ว มีความรู้สึกว่าท่านเป็นคนที่ไม่ถือตัวเลย คือให้เกียรติมาก และมารยาทดีมาก ดีกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ และการเรียน ท่านเอาจริงเอาจังมาก ซึ่งตรงนี้ไม่ค่อยเหมือนเด็กไทยทั่วไป ที่สอนอยู่ทุกวันนี้ เด็กไทยจะไม่เอาจริงเอาจัง และไม่ขยันเลย คือให้การบ้านไป อีกอาทิตย์หนึ่งมาก็เหมือนเดิม อาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้ซ้อม แต่ท่านนี่ไม่ใช่เลย ให้การบ้านท่านมากเท่าไหร่ ท่านก็จะทำให้มากกว่านั้น และวันหนึ่งท่านจะซ้อม คือเวลาเข้าเฝ้าถวายการสอน อย่างน้อยคือ 2 ชม. หลังจากหลี่หยางออกไปแล้ว ท่านยังซ้อมเองอีก 3 ชม.เลย คนไทยน้อยมากที่ทำได้ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจ”
ในโอกาส 30 ปีแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน อาจารย์หลี่หยาง อยากให้ทั้ง 2 ประเทศพัฒนาความสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้จักกันมากกว่านี้ พร้อมเสนอให้คนจีนและคนไทยนำข้อดีของแต่ละฝ่ายมาปรับเข้าด้วยกัน เช่น
ความพอเพียง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีของคนไทย ขณะที่คนจีนก็มีความพยายามในการต่อสู้ชีวิตสูง

ส่วนความประทับใจของคนไทยที่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ในจีนนั้น ครอบครัวปรีดี พนมยงค์ เป็นครอบครัวหนึ่งที่มีประสบการณ์ตรงในช่วงที่ต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ประเทศจีนเมื่อปี 2496-2512 หลังเกิดการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองในประเทศ ทำให้นายปรีดี และครอบครัวต้องลี้ภัยไปใช้ชีวิตในต่างแดน ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยานายปรีดี และลูกๆ อ.ดุษฎี และ อ.วาณี ยืนยันว่า ประทับใจในประเทศจีนและผู้นำจีนตั้งแต่ก้าวแรกที่ไปถึง เพราะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลซึ่งเป็นสุภาพบุรุษที่มีน้ำใจ ขณะที่การใช้ชีวิตของครอบครัวปรีดี พนมยงค์ในจีนก็สุขสบายกว่าชาวจีนทั่วไปมาก นอกจากปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิตที่มีพร้อมแล้ว ยังมีรถยนต์ประจำตัวพร้อมคนขับอีกต่างหาก แต่คนไทยอย่างปรีดี พนมยงค์ และครอบครัว ก็พยายามทำตัวให้กลมกลืนกับชาวจีนทั่วไป ใช้จ่ายอย่างประหยัด จนถึงวันนี้ทุกคนในครอบครัวปรีดี พนมยงค์ ยังอดรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณประเทศจีนและคนจีนไม่ได้
“ที่ประทับใจมาก เพราะว่า เราหนีร้อนไปพึ่งเย็น เราก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี แล้วฉันเป็นคนพุทธศาสนิกชน สอนให้เรามีความกตัญญูรู้คุณคนที่ทำคุณให้แก่เรา ฉันไม่เคยลืมประเทศจีน ไม่เคยลืมราษฎรจีน เพราะรู้ว่าประเทศนี้ก็เป็นส่วนรวม รวมนี่คือ ราษฎรทั้งหลายที่เขาเสียสละให้เราได้รับความสุขสบาย”
ด้าน อ.ดุษฎี พนมยงค์ ซึ่งได้ร่ำเรียนวิชาดนตรีที่ประเทศจีนจนเชี่ยวชาญ ก็บอกตรงๆ ว่า รู้สึกประทับใจความเป็นจีนในสมัยก่อนมาก
“ประทับใจจีนสมัยโน้น เพราะสมัยที่เราอยู่คนจีนซื่อสัตย์ ไม่คดโกง และไม่มีอบายมุข สภาพของสังคมอาจจะเพราะว่าเป็นคอมมิวนิสต์ มันก็เลยมีความเรียบร้อย และอีกอย่าง ประทับใจว่า คนจีนมีน้ำใจต่อกันและจริงใจ”
ขณะที่ อ.วาณี พนมยงค์ ซึ่งได้นำความเชี่ยวชาญภาษาจีนมาสอนคนไทยต่อ ก็รู้สึกประทับใจในมิตรภาพที่ชาวจีนมีให้อย่างไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มิตรภาพก็ยังคงอยู่
ในโอกาส 30 ปีแห่งความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ครอบครัวพนมยงค์ ก็ขอตอบแทนประชาชนจีนและประชาชนไทย ด้วยการจัดคอนเสิร์ต ”บทเพลงมิตรภาพ” เพื่อสานความสัมพันธ์และความรักระหว่างไทย-จีนผ่านบทเพลง โดยจะจัดทั้งในกรุงเทพฯ และที่เชียงใหม่ เชียงใหม่จัด 1 รอบ ที่กาดสวนแก้ว วันที่ 6 ก.ค.(19.30น.) ส่วนในกรุงเทพฯ จัด 2 รอบ ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย วันที่ 9 ก.ค. (4.30น. และ 19.30น.) รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายบริจาคให้สภากาชาดไทย

นอกจากคนจีนที่ได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตในเมืองไทย รวมถึงคนไทยที่ได้ไปใช้ชีวิตในเมืองจีนแล้ว ลองไปฟังความรู้สึกของคนไทยเชื้อสายจีนกันบ้าง คุณบุญทรง ศรีเฟื่องฟุ้ง ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน ซึ่งบรรพบุรุษรุ่นก๋งได้เดินทางมาจากจีนแล้วมาตั้งรกรากในเมืองไทยที่ จ.สุพรรณบุรี เมื่อประมาณ 160 ปีก่อน เริ่มการทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นแรงงานหักล้างถางป่า แล้วจึงพัฒนามาเรื่อยๆ กระทั่งปัจจุบันตระกูลศรีเฟื่องฟุ้งมีกิจการใหญ่โตเป็นที่รู้จักมากมาย เช่น กระจกไทยอาซาฮี เป็นต้น
พูดถึงความสัมพันธ์ไทย-จีนแล้ว คุณบุญทรง รู้สึกประทับใจที่ประเทศจีนเป็นมิตรที่ดีกับไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังการสถาปนาความสัมพันธ์เมื่อปี 2518 ซึ่งปีนี้หอการค้าไทย-จีน ที่มีบทบาทในการส่งเสริมการค้าระหว่าง 2 ประเทศมาเป็นเวลา 95 ปีแล้วก็จะมีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ด้วย คุณบุญทรง ยังพูดถึงการพัฒนาของจีนจากอดีตถึงปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
“ตอนนั้นเราเห็นว่า จีนเป็นคอมมิวนิสต์มาใหม่ๆ เราก็เป็นห่วงไปกลัวเขา แต่ว่าเขาทำอย่างนั้น เพราะประเทศจีนจนจริงๆ ต้องใช้เผด็จการนี้ขึ้นมา เมื่อเขาดูแลได้หมดแล้ว เขาก็ปรับปรุงไปเรื่อยๆ เปลี่ยนแปลงระบบทุกอย่างเลย และต้อนรับคนที่มาลงทุน เมืองจีนมีตลาด แต่ขาดคนมาลงทุน มาสร้างตลาดขึ้นมา ทรัพยากรเขามีเยอะแยะ ทุกวันนี้จีนรวยเร็วจริงๆ เลย คุณคิดดูสิ เราเกิดวิกฤตปีนั้น จีนมาช่วยเยอะนะ ให้เงินก็ให้และยังให้เงินกองคลัง เงินดอลลาร์ด้วย เป็นมิตรที่ดี เป็นเพื่อนบ้านที่ดี ในสมัยนั้น ผมคิดดูแล้ว เราจะไปพึ่งพาอเมริกาไม่ได้หรอก ถ้ามันมีสงครามอย่างญวณตีเข้ามา ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย แล้วมันจะมาช่วยเรา เพราะฉะนั้นดูไปดูมา อย่างอาจารย์คึกฤทธิ์นี่ไปทำสัมพันธไมตรีเนี่ยถูกต้องเลย เขาเป็นประเทศใกล้เคียงกับเรา และเขาเป็นประเทศใหญ่ มีสัมพันธไมตรีก็ช่วยกันได้ ก็จริงๆ อย่างว่า นี่ไม่เฉพาะประเทศไทยนะ เวลานี้จีนมีนโยบาย เขาเดินแบบให้สันติ ให้อยู่ด้วยกันได้ ประเทศไหนยากลำบาก เขาก็พยายามไปช่วย ช่วยไม่ใช่แบบอเมริกาไปช่วยนะ ต้องมีเงื่อนไข อันนี้เขาช่วยไม่มีเงื่อนไขเลย เขาดีจริงๆ นโยบายเขา ผมสรรเสริญเขามากเลย”
ในโอกาส 30 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน คุณบุญทรง ฝากถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า น่าจะสะสางข้อจำกัดเรื่องสายการบินระหว่างไทย-จีน เพื่อให้คนจีนมาเที่ยวเมืองไทยได้สะดวกขึ้น เพราะค่าเครื่องบินมาไทย บางครั้งยังถูกกว่าการที่คนจีนเที่ยวในประเทศด้วยซ้ำ ซึ่งหากไทยแก้ไขได้ รับรองว่า คนจีนจะมาเที่ยวเมืองไทยเพิ่มขึ้นอีก 2-3 ล้านคนต่อปีอย่างแน่นอน!!
คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
สายสัมพันธ์ไทย-จีนที่ดำเนินอย่างเป็นทางการมานาน 3 ทศวรรษ บวกความสัมพันธ์ที่ไม่ทางการก่อนหน้านั้นอีกเป็นร้อยๆ ปี คงไม่เพียงยืนยันถึงความแนบสนิทชิดเชื้อแห่งสายธารความสัมพันธ์ระหว่างกันเท่านั้น แต่แนวคิด วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของพี่น้องประชาชนทั้ง 2 ประเทศต่างหลอมรวมเข้ากันอย่างกลมกลืน ตัวอย่างเช่น เครื่องสังคโลก ที่ช่างปั้นชาวจีนเคยมาสอนคนไทยตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย ลวดลายจิตรกรรมไทยที่ไปปรากฏในประเทศจีนมากมาย หรือแม้แต่ดนตรีและเพลงไทย-จีนที่ประยุกต์เข้ากันได้อย่างน่าฟัง เป็นต้น
ความรู้สึกที่บังเกิดกับชาวจีนที่มาลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองไทย หรือแม้แต่ชาวไทยที่ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจีน รวมถึงชาวไทยเชื้อสายจีนที่เกิดในเมืองไทย นอกจากความประทับใจในอัธยาศัยของกันและกันแล้ว ชาวจีนและชาวไทยยังอดรู้สึกภาคภูมิใจในสายสัมพันธ์ที่ 2 ประเทศมีต่อกันไม่ได้ บุคคลท่านหนึ่งที่รู้สึกเช่นนี้ ก็คือ คุณฉินอี้ว์เซิน หรือท่านทูตฉิน ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และประจำอยู่เมืองไทยมานาน 17 ปีแล้ว แทบไม่ต้องพูดถึงว่าท่านทูตฉินจะเหนียวแน่นลึกซึ้งกับประเทศไทยและคนไทยขนาดไหน นอกจากท่านทูตจะพูดภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว ยังเชี่ยวชาญถนนหนทางในเมืองไทยยิ่งกว่าคนไทยบางคนด้วยซ้ำ
ท่านทูตฉิน ออกปากชมว่า เมืองไทยน่าอยู่ และคนไทยก็ยิ้มมีเสน่ห์ ส่วนอาหารไทยอย่างต้มยำกุ้ง ก็เป็น
อาหารที่จะอดคิดถึงไม่ได้ ถ้าไม่ได้ทานหลายๆ วัน ท่านทูตกับบทบาทสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรม รู้สึกยินดีที่ได้เห็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของไทยและจีนพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
“ในปี 1975 ที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันน้อยมาก คือแค่ 4 รายการ แต่เมื่อถึงปี 2004 มีการแลกเปลี่ยนกันมากถึง 200 กว่ารายการ ผู้นำระดับชั้นผู้ใหญ่ทางด้านวัฒนธรรมของหน่วยงานรัฐบาลได้มีการเยี่ยมเยือนกันบ่อยครั้ง ลู่ทางและขอบเขตการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมได้ขยายวงกว้างขึ้น ปัจจุบัน ศิลปวัฒนธรรมจีน อย่างเช่น กายกรรม นาฏศิลป์ หุ่นกระบอก อุปรากร-งิ้วท้องถิ่น ตลอดจนการวาดเขียนพู่กันจีน ศิลปหัตถกรรมของจีน เป็นที่รู้จักและนิยมชมชอบของประชาชนไทย โดยเฉพาะ พระบรมสารีริกธาตุ ข้อนิ้วพระหัตถ์ พระเขี้ยวแก้ว ได้ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานชั่วคราวในไทย ได้รับการบูชานับถือจากบรรดาพุทธศาสนิก
ชนอย่างสมเกียรติและกว้างขวาง ขณะเดียวกัน คณะอุปรากร ละครโขน นาฏศิลป์พื้นเมือง ศิลปหัตถกรรมแบบไทย ก็ได้ไปแสดง และจัดนิทรรศการกาลในจีน และก็ได้รับการต้อนรับและชมเชยจากประชาชนชาวจีนเช่นกัน ทำให้ชาวจีนเข้าใจวัฒนธรรมไทยมากขึ้น”
นอกจากนั้น เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยและจีนยังได้พัฒนาความสัมพันธ์ไปอีกขั้น ด้วยการลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านวัฒนธรรมไทย รวมทั้งลงนามบันทึกช่วยจำ(MOU)การสอนภาษาจีนในไทย การใช้สมุนไพรจีนและสมุนไพรไทยเพื่อรักษาโรค ไม่แค่นั้นรัฐบาลไทยยังได้ประกาศให้การแพทย์แผนโบราณของจีนเป็นการแพทย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ช่วยยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด ท่านทูตฉิน เชื่อว่า การที่ทั้ง 2 ประเทศสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันได้อย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้ ก็เพราะพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ของไทยนั่นเอง
ด้านอาจารย์หลี่หยาง พระอาจารย์ผู้ถวายการสอนดนตรีกู่เจิงแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ซึ่งมาอยู่เมืองไทยนานกว่า 10 ปีแล้ว และขวนขวายเรียนรู้ภาษาไทยด้วยตนเอง โดยไม่ได้เข้าโรงเรียน มองว่า ดนตรีเป็นเสมือนเครื่องมือและสื่อกลางที่ช่วยให้ประชาชนทั้ง 2 ชาติรู้จักกันมากขึ้น อาจารย์หลี่หยางไม่เพียงรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสถวายการสอนดนตรีแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีเท่านั้น แต่ยังรู้สึกประทับใจในพระจริยาวัตรของพระองค์ด้วย
“วันแรกที่สอนคือ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ปี 1999 จำได้ ก็เกร็ง คิดว่าท่านเป็นเจ้าหญิง ก็น่าจะเป็นคนที่ถือตัว ลักษณะคงแบบพอไปอยู่ close ใกล้ๆ คงไม่น่าจะได้ รู้สึกอย่างนั้น คงเป็นคนที่ไม่ออกตน คือคิดเองนะคะ ปรากฏว่า พอได้สัมผัสกับท่านแล้ว มีความรู้สึกว่าท่านเป็นคนที่ไม่ถือตัวเลย คือให้เกียรติมาก และมารยาทดีมาก ดีกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ และการเรียน ท่านเอาจริงเอาจังมาก ซึ่งตรงนี้ไม่ค่อยเหมือนเด็กไทยทั่วไป ที่สอนอยู่ทุกวันนี้ เด็กไทยจะไม่เอาจริงเอาจัง และไม่ขยันเลย คือให้การบ้านไป อีกอาทิตย์หนึ่งมาก็เหมือนเดิม อาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้ซ้อม แต่ท่านนี่ไม่ใช่เลย ให้การบ้านท่านมากเท่าไหร่ ท่านก็จะทำให้มากกว่านั้น และวันหนึ่งท่านจะซ้อม คือเวลาเข้าเฝ้าถวายการสอน อย่างน้อยคือ 2 ชม. หลังจากหลี่หยางออกไปแล้ว ท่านยังซ้อมเองอีก 3 ชม.เลย คนไทยน้อยมากที่ทำได้ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจ”
ในโอกาส 30 ปีแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน อาจารย์หลี่หยาง อยากให้ทั้ง 2 ประเทศพัฒนาความสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้จักกันมากกว่านี้ พร้อมเสนอให้คนจีนและคนไทยนำข้อดีของแต่ละฝ่ายมาปรับเข้าด้วยกัน เช่น
ความพอเพียง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีของคนไทย ขณะที่คนจีนก็มีความพยายามในการต่อสู้ชีวิตสูง
ส่วนความประทับใจของคนไทยที่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ในจีนนั้น ครอบครัวปรีดี พนมยงค์ เป็นครอบครัวหนึ่งที่มีประสบการณ์ตรงในช่วงที่ต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ประเทศจีนเมื่อปี 2496-2512 หลังเกิดการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองในประเทศ ทำให้นายปรีดี และครอบครัวต้องลี้ภัยไปใช้ชีวิตในต่างแดน ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยานายปรีดี และลูกๆ อ.ดุษฎี และ อ.วาณี ยืนยันว่า ประทับใจในประเทศจีนและผู้นำจีนตั้งแต่ก้าวแรกที่ไปถึง เพราะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลซึ่งเป็นสุภาพบุรุษที่มีน้ำใจ ขณะที่การใช้ชีวิตของครอบครัวปรีดี พนมยงค์ในจีนก็สุขสบายกว่าชาวจีนทั่วไปมาก นอกจากปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิตที่มีพร้อมแล้ว ยังมีรถยนต์ประจำตัวพร้อมคนขับอีกต่างหาก แต่คนไทยอย่างปรีดี พนมยงค์ และครอบครัว ก็พยายามทำตัวให้กลมกลืนกับชาวจีนทั่วไป ใช้จ่ายอย่างประหยัด จนถึงวันนี้ทุกคนในครอบครัวปรีดี พนมยงค์ ยังอดรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณประเทศจีนและคนจีนไม่ได้
“ที่ประทับใจมาก เพราะว่า เราหนีร้อนไปพึ่งเย็น เราก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี แล้วฉันเป็นคนพุทธศาสนิกชน สอนให้เรามีความกตัญญูรู้คุณคนที่ทำคุณให้แก่เรา ฉันไม่เคยลืมประเทศจีน ไม่เคยลืมราษฎรจีน เพราะรู้ว่าประเทศนี้ก็เป็นส่วนรวม รวมนี่คือ ราษฎรทั้งหลายที่เขาเสียสละให้เราได้รับความสุขสบาย”
ด้าน อ.ดุษฎี พนมยงค์ ซึ่งได้ร่ำเรียนวิชาดนตรีที่ประเทศจีนจนเชี่ยวชาญ ก็บอกตรงๆ ว่า รู้สึกประทับใจความเป็นจีนในสมัยก่อนมาก
“ประทับใจจีนสมัยโน้น เพราะสมัยที่เราอยู่คนจีนซื่อสัตย์ ไม่คดโกง และไม่มีอบายมุข สภาพของสังคมอาจจะเพราะว่าเป็นคอมมิวนิสต์ มันก็เลยมีความเรียบร้อย และอีกอย่าง ประทับใจว่า คนจีนมีน้ำใจต่อกันและจริงใจ”
ขณะที่ อ.วาณี พนมยงค์ ซึ่งได้นำความเชี่ยวชาญภาษาจีนมาสอนคนไทยต่อ ก็รู้สึกประทับใจในมิตรภาพที่ชาวจีนมีให้อย่างไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มิตรภาพก็ยังคงอยู่
ในโอกาส 30 ปีแห่งความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ครอบครัวพนมยงค์ ก็ขอตอบแทนประชาชนจีนและประชาชนไทย ด้วยการจัดคอนเสิร์ต ”บทเพลงมิตรภาพ” เพื่อสานความสัมพันธ์และความรักระหว่างไทย-จีนผ่านบทเพลง โดยจะจัดทั้งในกรุงเทพฯ และที่เชียงใหม่ เชียงใหม่จัด 1 รอบ ที่กาดสวนแก้ว วันที่ 6 ก.ค.(19.30น.) ส่วนในกรุงเทพฯ จัด 2 รอบ ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย วันที่ 9 ก.ค. (4.30น. และ 19.30น.) รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายบริจาคให้สภากาชาดไทย
นอกจากคนจีนที่ได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตในเมืองไทย รวมถึงคนไทยที่ได้ไปใช้ชีวิตในเมืองจีนแล้ว ลองไปฟังความรู้สึกของคนไทยเชื้อสายจีนกันบ้าง คุณบุญทรง ศรีเฟื่องฟุ้ง ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน ซึ่งบรรพบุรุษรุ่นก๋งได้เดินทางมาจากจีนแล้วมาตั้งรกรากในเมืองไทยที่ จ.สุพรรณบุรี เมื่อประมาณ 160 ปีก่อน เริ่มการทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นแรงงานหักล้างถางป่า แล้วจึงพัฒนามาเรื่อยๆ กระทั่งปัจจุบันตระกูลศรีเฟื่องฟุ้งมีกิจการใหญ่โตเป็นที่รู้จักมากมาย เช่น กระจกไทยอาซาฮี เป็นต้น
พูดถึงความสัมพันธ์ไทย-จีนแล้ว คุณบุญทรง รู้สึกประทับใจที่ประเทศจีนเป็นมิตรที่ดีกับไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังการสถาปนาความสัมพันธ์เมื่อปี 2518 ซึ่งปีนี้หอการค้าไทย-จีน ที่มีบทบาทในการส่งเสริมการค้าระหว่าง 2 ประเทศมาเป็นเวลา 95 ปีแล้วก็จะมีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ด้วย คุณบุญทรง ยังพูดถึงการพัฒนาของจีนจากอดีตถึงปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
“ตอนนั้นเราเห็นว่า จีนเป็นคอมมิวนิสต์มาใหม่ๆ เราก็เป็นห่วงไปกลัวเขา แต่ว่าเขาทำอย่างนั้น เพราะประเทศจีนจนจริงๆ ต้องใช้เผด็จการนี้ขึ้นมา เมื่อเขาดูแลได้หมดแล้ว เขาก็ปรับปรุงไปเรื่อยๆ เปลี่ยนแปลงระบบทุกอย่างเลย และต้อนรับคนที่มาลงทุน เมืองจีนมีตลาด แต่ขาดคนมาลงทุน มาสร้างตลาดขึ้นมา ทรัพยากรเขามีเยอะแยะ ทุกวันนี้จีนรวยเร็วจริงๆ เลย คุณคิดดูสิ เราเกิดวิกฤตปีนั้น จีนมาช่วยเยอะนะ ให้เงินก็ให้และยังให้เงินกองคลัง เงินดอลลาร์ด้วย เป็นมิตรที่ดี เป็นเพื่อนบ้านที่ดี ในสมัยนั้น ผมคิดดูแล้ว เราจะไปพึ่งพาอเมริกาไม่ได้หรอก ถ้ามันมีสงครามอย่างญวณตีเข้ามา ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย แล้วมันจะมาช่วยเรา เพราะฉะนั้นดูไปดูมา อย่างอาจารย์คึกฤทธิ์นี่ไปทำสัมพันธไมตรีเนี่ยถูกต้องเลย เขาเป็นประเทศใกล้เคียงกับเรา และเขาเป็นประเทศใหญ่ มีสัมพันธไมตรีก็ช่วยกันได้ ก็จริงๆ อย่างว่า นี่ไม่เฉพาะประเทศไทยนะ เวลานี้จีนมีนโยบาย เขาเดินแบบให้สันติ ให้อยู่ด้วยกันได้ ประเทศไหนยากลำบาก เขาก็พยายามไปช่วย ช่วยไม่ใช่แบบอเมริกาไปช่วยนะ ต้องมีเงื่อนไข อันนี้เขาช่วยไม่มีเงื่อนไขเลย เขาดีจริงๆ นโยบายเขา ผมสรรเสริญเขามากเลย”
ในโอกาส 30 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน คุณบุญทรง ฝากถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า น่าจะสะสางข้อจำกัดเรื่องสายการบินระหว่างไทย-จีน เพื่อให้คนจีนมาเที่ยวเมืองไทยได้สะดวกขึ้น เพราะค่าเครื่องบินมาไทย บางครั้งยังถูกกว่าการที่คนจีนเที่ยวในประเทศด้วยซ้ำ ซึ่งหากไทยแก้ไขได้ รับรองว่า คนจีนจะมาเที่ยวเมืองไทยเพิ่มขึ้นอีก 2-3 ล้านคนต่อปีอย่างแน่นอน!!