xs
xsm
sm
md
lg

สะเก็ดชีวิต สะกิดสังคมจีน

เผยแพร่:   โดย: อดุลย์ รัตนมั่นเกษม

วันนี้ตั้งประเด็นเหมือนมาชวนคุยเรื่องข่าวชาวบ้านไว้อย่างนี้ คุณผู้อ่านก็อย่าเพิ่งคิดว่า เอ๊ะ...ไม่มีอะไรจะเขียนแล้วหรือ ถึงได้เอาข่าวชาวบ้านมาเล่า ผมว่าข่าวชาวบ้านนี่แหละครับที่เป็นตัวสะท้อนสภาพสังคมในระดับรากหญ้าได้เป็นอย่างดี ชาวบ้านเขาเป็นอย่างไร มีคุณภาพชีวิตดีเลวแค่ไหน และคนในแต่ละวรรณะ ชั้นชน ชนชั้นต้องประสบปัญหาอะไรบ้าง ทั้งหมดจะเป็นตัวสะท้อนปัญหาอันเกิดจากนโยบายทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองของรัฐ

ผมจึงขอคัดเอาข่าวที่คิดว่า น่าจะเป็นข่าวเด็ดสะท้อนสภาพสังคมจีน มาบอกกล่าวเล่าสู่กันฟัง เพื่อว่าเราจะได้เรียนรู้อีกด้านหนึ่งของนโยบายการพัฒนาประเทศได้ดียิ่งขึ้น จากที่มีแต่เสียงชื่นชมกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับมหภาค ผมยอมรับว่า บางข่าวอ่านแล้ว ผมถึงกับอึ้งหรือนั่งน้ำตาซึม และยังรู้สึกสะเทือนใจกับอีกหลายๆข่าว เรามาเริ่มกันที่ข่าวแรกเลย

“ผมอยากกลับบ้าน เอาเงินค่าแรงผมมา”

หนังสือพิมพ์ “เฉิงตูซังเป้า” รายงานพาดหัวข่าวด้วยคำพูดครั้งสุดท้ายของกระทาชายนายเยว่ฟู่กั๋ว ก่อนที่เขาจะสิ้นลมหายใจด้วยอาการเลือดออกในสมองหลังจากสลบไสลมาถึง 36 ชั่วโมง และจนเขาสิ้นลมไปแล้ว ก็ยังไม่มีใครเอาเงินค่าจ้างที่ควรเป็นของเขา มาจ่ายคืนให้แม้แต่แดงเดียว นางเหยาอวี้ฟางผู้ซึ่งเพิ่งสูญเสียสามีตั้งคำถามกับนักข่าวด้วยความชอกช้ำใจว่า “ทำไมพวกเขาจึงไม่ยอมให้เงินค่าแรงเขา”

สังคมที่ป่วยไข้ได้สร้างความโลภเข้าเกาะกินจิตใจของผู้คน ซ้ำเติมด้วยวิถีแห่งทุนนิยม เส้นแบ่งแห่งจริยธรรมจึงเลือนหาย จนโลภะกลายเป็นสรณะแห่งจิตใจ ก่อปัญหานายจ้างโกงเงินค่าแรงลูกจ้าง จนเรื้อรังระบาดไปทั่วจีน และดูจะสิ้นปัญญาแก้ไข

ข่าวที่สอง หนังสือพิมพ์ “เสิ่นหยังเดลี่” ลงข่าวว่า นางฉางเซี่ยต้องตกใจตื่นขึ้นกลางดึก เมื่อมีตำรวจ 5 นายกับชายที่อ้างเป็นสายตำรวจอีกหนึ่งคนใช้บันไดปีนบุกเข้ามาในห้องพักของเธอทางหน้าต่าง ถามหาผู้ชายคนหนึ่ง แต่หลังจากค้นจนทั่วห้องแล้วก็ไม่พบใคร นอกจากพวกเขาและหญิงเจ้าของห้องพักที่กำลังตกใจเสียขวัญสุดขีด จึงพากันออกจากห้องไป หลังเกิดเหตุ เธอละล่ำละลักเล่าให้นักข่าวฟังว่า “ฉันจำทะเบียนรถของพวกเขาได้ ดึกดื่นค่อนคืนบุกเข้ามาทางหน้าต่าง จะจับใครก็ไม่รู้ และยังค้นห้องฉันอีกอย่างนี้...”

อีกข่าวจากหนังสือพิมพ์ “หนานฟังโจวโม่” เป็นเรื่องที่ตำรวจจับกุมหญิงคนหนึ่งในข้อหาค้ายาเสพติด นักโทษหญิงรายนี้ชื่อ “หม่าเว่ยฮัว” เมื่อตอนถูกจับกุมเธอกำลังตั้งครรภ์ ซึ่งตามกฏหมายจีน จะไม่มีการประหารชีวิตนักโทษหญิงที่กำลังครรภ์ จนกว่าหญิงนั้นจะคลอดบุตรแล้ว แต่ตำรวจกลับบังคับทำแท้งให้เธอโดยที่เธอไม่ยินยอมทำแท้ง เพียงเพราะสงสัยว่า เธอเจตนาตั้งครรภ์เพื่อหลีกเลี่ยงโทษประหารชีวิต

สังคมป่วยไข้ด้วยอำนาจจากเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะสายปราบปราม สะท้อนถึงความไม่ศิวิไลซ์ด้านสิทธิมนุษยชน จนมองเห็นชีวิตไร้ค่าที่จะทำลายเสียเมื่อใดก็ได้ ชีวิตบริสุทธิ์จึงไม่มีโอกาสได้ลืมตามาดูโลก สะท้อนจิตใจกระด้างแข็งไร้ซึ่งความอ่อนโยนแห่งเมตตาธรรม

ข่าวที่สาม “หนูอยากเรียนที่ม.ปักกิ่ง”

มหาวิทยาลัยปักกิ่งดูจะเป็นมหาวิทยาลัยในดวงใจอันดับหนึ่งของนักเรียนจีนจำนวนไม่น้อย ความใฝ่ฝันของเด็กจีนที่ใกล้จบม.ปลาย คือ เอ็นทรานซ์ให้ติด ม.ปักกิ่ง นั่นแหละคือที่สุดของเป้าหมายในชีวิตแล้ว เด็กสาวจากมณฑลส่านซีคนหนึ่ง กระโดดจากระเบียงบนชั้นห้าของอพาร์ตเมนต์ลงมาจบชีวิตด้วยวัยที่น่าจะมีชีวิตสดใสเพียง 17 ปี สาเหตุคือ เธอพลาดหวังจากการสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ตำรวจพบโน้ตที่เธอเขียนทิ้งไว้ว่า “หนูจะไม่เลิกใฝ่ฝันไปเรียนที่ ม.ปักกิ่ง” แต่ก้าวที่เธอกระโดดลงจากตึก ความใฝ่ฝันของเธอก็ลอยลิ่วหายไปพร้อมลมหายใจของเธอด้วย ข่าวนี้มาจากซินหัวเน็ต

วันก่อน เพื่อนวัยน้องที่เรียนอยู่ ม.ปักกิ่ง แช็ตผ่านเอ็มเอสเอ็นมาว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีนักศึกษาจีนกระโดดตึกในมหาวิทยาลัยปักกิ่งฆ่าตัวตายไปแล้วถึง 3 ราย กลายเป็นประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ของนักศึกษาอยู่พักหนึ่ง ว่ากันว่าสาเหตุอาจมาจากเครียดเพราะเรียนหนักเอามากๆก็ได้

ข่าวที่สี่ ก็ยังคงเป็นเรื่องการศึกษาของเยาวชนจีน หนังสือพิมพ์ “อันฮุยซื่อฉั่งเป้า” ลงข่าวเด็กหญิง “หุ้ยหุ้ย” ผู้น่าสงสาร พ่อทิ้งเธอกับแม่ไปตั้งแต่เธอยังแบเบาะ เพียงเพราะเธอเกิดมาเป็นผู้หญิง ผู้เป็นแม่ต้องทำงานหาเลี้ยงลูกน้อยโดยลำพัง รายได้อันน้อยนิด ทำให้สองแม่ลูกต้องอยู่กันอย่างอดๆอยากๆ ทนอยู่กันมาจนหนูน้อยอายุได้ 7 ขวบ ถึงวัยต้องเข้าโรงเรียนเรียนหนังสือ ค่าเทอมลูก 100 หยวน เป็นเงินก้อนโตที่ผู้เป็นแม่ไม่รู้จะไปหาจากที่ไหน วันนั้น หลังจากพาลูกไปโรงเรียนแล้ว เธอก็กลับบ้าน แล้วผูกคอตายในบ้านนั่นเอง

อีกรายก็ฆ่าตัวตายเพราะการศึกษาของลูกเหมือนกัน ข่าวนี้ “ซินหัวเน็ต” รายงานว่า หลังจากที่ลูกชายได้รับหนังสือจากทางสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งแจ้งให้เขาไปรายงานตัว เพื่อเข้าเรียนต่อที่นั่น ซุนโส่วจวินเกษตรกรผู้ยากจนในมณฑลเหลียวหนิงถึงกับเป็นทุกข์ เพราะเครียดมากเรื่องที่ไม่มีเงินส่งเสียให้ลูกเรียนต่อได้ สุดท้ายผู้เป็นพ่อตัดสินใจตัดช่องน้อยแต่พอตัวจบชีวิตตัวเอง โดยเขียนจดหมายทิ้งไว้ให้ลูกว่า “ลูกพ่อ เมื่อลูกอ่านจดหมายฉบับนี้ พ่อก็ไม่อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว เพราะพ่อไม่สามารถส่งเสียให้ลูกเรียนต่อได้ พ่อไม่รู้จะสู้หน้าลูกอย่างไร พ่อขอตายเพื่อไถ่โทษกับลูก...”

สังคมป่วยไข้จากวิถีแห่งทุนนิยมที่เน้นการแข่งขัน เพื่อยื้อแย่งผลประโยชน์ มือใครยาวสาวได้สาวเอา พ่อแม่ที่ยากจนจนต้องกัดฟันทนเพื่อหาเงินหนุนส่งลูกให้เล่าเรียนสูง เพียงเพื่อหวังจะมีโอกาสดีกว่าคนอื่นในการแข่งขันเพื่อชีวิตวันหน้า นักเรียนนักศึกษาเองก็เร่งพาตัวเองเข้าสู่วังวนการแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตายนี้ ผลคือพ่อแม่เหนื่อยล้า สิ้นแรง สิ้นกำลังใจ และสุดท้ายสิ้นใจ ขณะที่ลูกๆก็สิ้นหวังในชีวิต จนบางรายต้องจบชีวิตตาม คนเหล่านี้คือผู้แพ้ที่ถูกคัดออกจากการแข่งขัน แม้เพียงอยู่ในขั้นการสร้างโอกาสที่ดีกว่า ก็พ่ายแพ้เสียแล้ว

ข่าวเรื่องอดีตนักศึกษาที่กลายเป็นฆาตกรถูกออกหมายจับไปทั่วประเทศจีนเมื่อปีที่แล้ว เป็นข่าวอาชญากรรมที่ดังมากและตั้งคำถามมากมายต่อสังคมจีน ฆาตกรชื่อ นายหม่าเจียเจวี๋ย อดีตนักศึกษาปี 2000 ของมหาวิทยาลัยยูนนาน เขาฆ่าเพื่อนนักศึกษารวดเดียวถึง 4 คนด้วยสาเหตุเพียงเล็กน้อย คือ ถูกเพื่อนกล่าวหาว่าโกงไพ่ หลังจากก่อคดีแล้วเขาก็หลบหนี จนมาถูกจับได้และถูกตัดสินประหารชีวิตโดยศาลในมณฑลยูนนาน

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ และทรรศนะวิเคราะห์ของทั้งนักจิตวิทยา นักสังคมศาสตร์ นักการศึกษา และนักอะไรต่อมิอะไรอีกหลายสำนักนั้นเป็นไปอย่างกว้างขวาง แต่ใครจะพูดอะไรก็แล้วแต่ ความจริงที่สะท้อนออกมาก็ยังคงเป็นสังคมที่ป่วยไข้ การศึกษาที่ให้แต่ความรู้ ขาดซึ่งการปลูกฝังจริยธรรม ย่อมต้องล้มเหลว เราจึงได้เห็นภาพอัปลักษณ์ของสังคมอย่างที่ข่าวสะท้อนออกมานี่แหละ

ตึกใหญ่สูงเสียดฟ้า ถนนกว้างขวาง รถยนตร์มากมายหลายล้านคัน ห้างสรรพสินค้าที่แออัดไปด้วยผู้คนเรียงรายอยู่ทั่วเมือง ภาพความเจริญทางวัตถุของตัวเมืองเป็นเพียงภาพลวงตา ที่สวนทางกับความเสื่อมถอยในจิตใจและความสิ้นหวังของผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย
กำลังโหลดความคิดเห็น