จางชุนเฉียว 张春桥 (1917-2005)
หนึ่งในแกนนำแก๊งสี่คนที่เพิ่งลาโลกไปเมื่อเดือนเมษายนของปีนี้ เป็นชาวเมืองจี้ว์เหย่
จางได้ชื่อว่าเป็นนักวิจารณ์ศิลปวรรณกรรม ผู้มีทรรศนะซ้ายสุดขั้ว โดยในช่วงปี 1958 เขาเขียนบทความเรื่อง ‘ทำลายความคิดอำนาจทางกฎหมายของทุนนิยม’ ลงในหนังสือพิมพ์เหรินหมิน โดยบทความเรื่องนี้ระบุว่าความคิดแบบทุนนิยมกำลังลุกลามเข้ามามีอิทธิพลเหนือความคิดแบบสังคมนิยม จนทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ต้องแปดเปื้อนไปด้วยบรรยากาศของก๊กมินตั๋ง ซึ่งบทความดังกล่าวได้รับการยอมรับด้วยการยืนยันจากประธานเหมาเจ๋อตง นอกจากนั้น ยังมีการกล่าวกันว่าบทความนี้เป็นการวางรากฐานหนึ่งของการปฏิรูปเศรษฐกิจในปี 1958 ที่เรียกว่า ‘การก้าวกระโดด 大跃进’ จากสังคมเกษตรกรรมไปสู่อุตสาหกรรมที่เผชิญกับล้มเหลวในที่สุด
นอกจากนั้นยังมีการกล่าวกันว่า เปลวเพลิงของการปฏิวัติวัฒนธรรมเกิดขึ้นมาด้วยการจุดของจางชุนเฉียวคนนี้เอง เนื่องจากผลงานวิจารณ์บทละครเรื่อง ‘ไห่รุ่ยถูกปลดราชการ(海瑞罢官) ’ ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของมติมหาชนในการปฏิวัติ แม้จะเขียนโดยเหยาเหวินหยวน แต่ก็บงการโดยเจียงชิงกับจางชุนเฉียว และมีข้อสังเกตว่าเจียงชิงก็ไม่ใช่คนที่มีการศึกษานัก ดังนั้น จางชุนเฉียวจึงควรเป็นตัวหลักของบทความนี้
และเมื่อมีการกวาดล้างกลุ่มผู้มีอำนาจเดิมในนครเซี่ยงไฮ้ ที่เรียกว่า มรสุมเดือนมกราคม (一月风暴) ในปี 1967 ช่วงต้นของการปฏิวัติวัฒนธรรม อันเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของจางชุนเฉียวคู่กับเหยาเหวินหยวน ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างออกนอกหน้าจากประธานเหมาเจ๋อตง ก็ทำให้อำนาจของแก๊งสี่คนเฟื่องฟูมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด เมืองเซี่ยงไฮ้ก็ถูกครองโดยจาง และเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นขุนศึกปกครองเซี่ยงไฮ้
นอกจากนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว จางชุนเฉียวยังดำรงตำแหน่งรองหัวหน้ากลุ่มปฏิวัติวัฒนธรรมจากส่วนกลาง รองนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการกองทัพปลดปล่อย ซึ่งล้วนแต่เป็นตำแหน่งใหญ่ทั้งสิ้น รวมถึงการขึ้นเป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรค ในการประชุมสมัชชาใหญ่สมัยที่ 10 เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1973
อย่างไรก็ตาม ผลกรรมที่ทำไว้ก็ส่งผล เดือนกรกฎาคมปี 1977 เมื่อบ้านเมืองสงบลงแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์ก็ได้มีมติให้ขับจางออกจากพรรคตลอดไป พร้อมถอดถอนหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งหมด ต่อมาในเดือนมกราคมปี 1981 ศาลสูงสุดจีนก็ได้ตัดสินให้รับโทษประหารชีวิต และกลายเป็นผู้ไม่มีสิทธิทางการเมืองทุกประเภทตลอดชีวิต โดยรอลงอาญาไว้ 2 ปี และเมื่อถึงเวลานั้น คือในปี 1983 ศาลก็พิพากษาให้เหลือเพียงการจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งต่อมา เขาก็ได้รับการลดหย่อนโทษให้จำคุก 18 ปี จนกระทั่งปี 1998 ได้ออกมาเพื่อรักษาตัว และเสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อ 21 เมษายนปีนี้เอง
หวังหงเหวิน 王洪文(1932 -1992)

สมาชิกแก๊ง 4 คนคนสุดท้าย คือหวังหงเหวิน ชาวเมืองฉางชุน มณฑลจี๋หลิน ผู้ไต่เต้ามาจากระดับล่างที่สุดของกลุ่มแก๊ง 4 คน เขาสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทัพปลดปล่อยตั้งแต่เมื่อมีอายุได้เพียง 18 ปี คือในปี 1950 และเข้าร่วมรบในสงครามต่อต้านสหรัฐอเมริกาที่เกาหลีเหนือ ปีถัดมาก็เข้าเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อปลดประจำการจากกองทัพก็เข้าเป็นคนงานในโรงงานทอผ้าฝ้ายที่ 17 แห่งเมืองเซี่ยงไฮ้ แล้วจึงไต่เต้าขึ้นมาทำในด้านการรักษาความปลอดภัย
ในปี 1966 ที่การปฏิวัติวัฒนธรรมเพิ่งเริ่มต้นขึ้น หวังจัดตั้งกลุ่มที่เรียกว่า ‘กองบัญชาการคนงานกบฎเซี่ยงไฮ้ 上海工人革命造反总司令部 ’ โดยยกตนเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนี้ ในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกัน หวังก็เป็นผู้ก่อเหตุการณ์กีดขวางทางรถไฟ ที่เรียกว่า ‘เหตุการณ์อันถิง 安亭事件 ’ ที่มุ่งหน้าโจมตีคณะกรรมการพรรคประจำเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งหลังจากนั้นยังมีการทำลายทรัพย์สิน ไปจนถึงการประณามเจ้าหน้าที่เดิมในสาธารณะ และกลายเป็นการต่อสู้ด้วยการใช้พละกำลัง แทนที่จะเจรจากันโดยสันติตามที่ประธานเหมาได้เคยมีบัญชาไว้
ปี 1967 หวังร่วมมือกับจางชุนเฉียว และเหยาเหวินหยวนสร้าง ‘มรสุมเดือนมกราคม ’ จนแย่งชิงอำนาจปกครองเมืองเซี่ยงไฮ้มาไว้ในกำมือ แล้วจัดตั้งคณะกรรมการปฏิวัติแห่งเมืองเซี่ยงไฮ้ โดยตนเองรับตำแหน่งรองประธานของกลุ่ม ขณะเดียวกันก็ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการคณะกรรมการปฏิวัติโรงงานฝ้ายที่ 17 ปีถัดมา เมื่อคณะกรรมการพรรคประจำเมืองเซี่ยงไฮ้คณะใหม่ก่อตั้งขึ้น หวังก็กินตำแหน่งเลขาธิการคนที่ 3 รวมถึงตำแหน่งสูงสุดของกลุ่มผู้ใช้แรงงานหลายตำแหน่ง
โอกาสทางการเมืองของหวังมาถึงจุดสูงสุดด้วยการสนับสนุนโดยตรงจากเหมาเจ๋อตง ในเดือนสิงหาคม ปี 1973 บนเวทีการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 10 หวังได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการกลางของพรรค คณะกรรมการกลางกรมการเมือง คณะกรรมการประจำของพรรค และที่สำคัญ คือตำแหน่งรองประธานพรรคคนที่ 2 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เป็นรองเพียงประธานเหมาและโจวเอินไหล ที่เป็นรองประธานคนที่ 1 เท่านั้น ขณะเดียวกันก็ควบตำแหน่งคณะกรรมการกลางประจำกองทัพไปด้วย

หวังมีความกระตือรือร้นในการช่วงชิงอำนาจสูงสุดร่วมกับนางเจียงชิงมาโดยตลอด และกลายเป็นบุคคลสำคัญในกลุ่มของภรรยาเหมาเจ๋อตุง ในช่วงปี 1974 ถึง 1975 ก็ได้รวมตัวอย่างจริงจังกับเจียงชิง จางชุนเฉียวและเหยาเหวินหยวน ตั้งเป็น “แก๊งสี่คน" ปลุกกระแสประณามหลินเปียวและขงจื้อ(批林批孔) โดยมีนัยยะสำคัญคือโจมตีโจวเอินไหลและนักปฏิวัติรุ่นก่อน ต่อต้านการทำงานในพรรคของเติ้งเสี่ยวผิง เพื่อจะขึ้นไปแทนที่คนเหล่านี้ นอกจากนั้น ยังเป็นผู้บงการการกวาดล้างผู้มาชุมนุมเพื่อรำลึกถึงนายกโจวเอินไหลในเทศกาลเช็งเม้ง ที่บริเวณลานจัตุรัสเทียนอันเหมิน เมื่อวันที่ 5 เมษายน ปี 1976 ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นาน หวังหงเหวินยังได้เดินทางไปเซี่ยงไฮ้เพื่อเยี่ยมชมกลุ่มกำลังติดอาวุธที่เขาก่อตั้งขึ้นและมีแผนจะก่อความไม่สงบในเมืองเซี่ยงไฮ้
6 ตุลาคม 1976 เป็นวันที่หวังหงเหวินจะต้องจดจำไปตลอดกาล เมื่อเขาต้องสูญสิ้นอำนาจด้วยการเข้าจับกุมตัวของกรมการเมืองของพรรค และในเดือนกรกฎาคม ปี 1977 ที่ประชุมพรรคก็ตัดสินให้เขาหมดสภาพการเป็นสมาชิกของพรรคไปชั่วชีวิต พร้อมยกเลิกตำแหน่งหน้าที่ทั้งหมด ต่อมาในวันที่ 25 มกราคม 1981 ศาลสูงสุดจีนพิพากษาจำคุกหวังตลอดชีวิต พร้อมถอดถอนสิทธิทางการเมืองไปตลอดชีวิต
3 มีนาคม 1992 หวังจบชีวิตวัย 60 ปีลงที่ปักกิ่ง หลังจากต้องต่อสู้กับโรคมะเร็งร้ายมาหลายปี .
เรียบเรียงจาก พีเพิลเดลี่ http://zh.wikipedia.org ไชน่าเดลี่, TOM.COM,www.china.org.com, หนังสือประวัติศาสตร์จีน ของทวีป วรดิลก
'แก๊งสี่คน' ทรชนแห่งประวัติศาสตร์จีน (1)
หนึ่งในแกนนำแก๊งสี่คนที่เพิ่งลาโลกไปเมื่อเดือนเมษายนของปีนี้ เป็นชาวเมืองจี้ว์เหย่
จางได้ชื่อว่าเป็นนักวิจารณ์ศิลปวรรณกรรม ผู้มีทรรศนะซ้ายสุดขั้ว โดยในช่วงปี 1958 เขาเขียนบทความเรื่อง ‘ทำลายความคิดอำนาจทางกฎหมายของทุนนิยม’ ลงในหนังสือพิมพ์เหรินหมิน โดยบทความเรื่องนี้ระบุว่าความคิดแบบทุนนิยมกำลังลุกลามเข้ามามีอิทธิพลเหนือความคิดแบบสังคมนิยม จนทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ต้องแปดเปื้อนไปด้วยบรรยากาศของก๊กมินตั๋ง ซึ่งบทความดังกล่าวได้รับการยอมรับด้วยการยืนยันจากประธานเหมาเจ๋อตง นอกจากนั้น ยังมีการกล่าวกันว่าบทความนี้เป็นการวางรากฐานหนึ่งของการปฏิรูปเศรษฐกิจในปี 1958 ที่เรียกว่า ‘การก้าวกระโดด 大跃进’ จากสังคมเกษตรกรรมไปสู่อุตสาหกรรมที่เผชิญกับล้มเหลวในที่สุด
นอกจากนั้นยังมีการกล่าวกันว่า เปลวเพลิงของการปฏิวัติวัฒนธรรมเกิดขึ้นมาด้วยการจุดของจางชุนเฉียวคนนี้เอง เนื่องจากผลงานวิจารณ์บทละครเรื่อง ‘ไห่รุ่ยถูกปลดราชการ(海瑞罢官) ’ ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของมติมหาชนในการปฏิวัติ แม้จะเขียนโดยเหยาเหวินหยวน แต่ก็บงการโดยเจียงชิงกับจางชุนเฉียว และมีข้อสังเกตว่าเจียงชิงก็ไม่ใช่คนที่มีการศึกษานัก ดังนั้น จางชุนเฉียวจึงควรเป็นตัวหลักของบทความนี้
และเมื่อมีการกวาดล้างกลุ่มผู้มีอำนาจเดิมในนครเซี่ยงไฮ้ ที่เรียกว่า มรสุมเดือนมกราคม (一月风暴) ในปี 1967 ช่วงต้นของการปฏิวัติวัฒนธรรม อันเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของจางชุนเฉียวคู่กับเหยาเหวินหยวน ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างออกนอกหน้าจากประธานเหมาเจ๋อตง ก็ทำให้อำนาจของแก๊งสี่คนเฟื่องฟูมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด เมืองเซี่ยงไฮ้ก็ถูกครองโดยจาง และเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นขุนศึกปกครองเซี่ยงไฮ้
นอกจากนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว จางชุนเฉียวยังดำรงตำแหน่งรองหัวหน้ากลุ่มปฏิวัติวัฒนธรรมจากส่วนกลาง รองนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการกองทัพปลดปล่อย ซึ่งล้วนแต่เป็นตำแหน่งใหญ่ทั้งสิ้น รวมถึงการขึ้นเป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรค ในการประชุมสมัชชาใหญ่สมัยที่ 10 เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1973
อย่างไรก็ตาม ผลกรรมที่ทำไว้ก็ส่งผล เดือนกรกฎาคมปี 1977 เมื่อบ้านเมืองสงบลงแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์ก็ได้มีมติให้ขับจางออกจากพรรคตลอดไป พร้อมถอดถอนหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งหมด ต่อมาในเดือนมกราคมปี 1981 ศาลสูงสุดจีนก็ได้ตัดสินให้รับโทษประหารชีวิต และกลายเป็นผู้ไม่มีสิทธิทางการเมืองทุกประเภทตลอดชีวิต โดยรอลงอาญาไว้ 2 ปี และเมื่อถึงเวลานั้น คือในปี 1983 ศาลก็พิพากษาให้เหลือเพียงการจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งต่อมา เขาก็ได้รับการลดหย่อนโทษให้จำคุก 18 ปี จนกระทั่งปี 1998 ได้ออกมาเพื่อรักษาตัว และเสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อ 21 เมษายนปีนี้เอง
หวังหงเหวิน 王洪文(1932 -1992)
สมาชิกแก๊ง 4 คนคนสุดท้าย คือหวังหงเหวิน ชาวเมืองฉางชุน มณฑลจี๋หลิน ผู้ไต่เต้ามาจากระดับล่างที่สุดของกลุ่มแก๊ง 4 คน เขาสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทัพปลดปล่อยตั้งแต่เมื่อมีอายุได้เพียง 18 ปี คือในปี 1950 และเข้าร่วมรบในสงครามต่อต้านสหรัฐอเมริกาที่เกาหลีเหนือ ปีถัดมาก็เข้าเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อปลดประจำการจากกองทัพก็เข้าเป็นคนงานในโรงงานทอผ้าฝ้ายที่ 17 แห่งเมืองเซี่ยงไฮ้ แล้วจึงไต่เต้าขึ้นมาทำในด้านการรักษาความปลอดภัย
ในปี 1966 ที่การปฏิวัติวัฒนธรรมเพิ่งเริ่มต้นขึ้น หวังจัดตั้งกลุ่มที่เรียกว่า ‘กองบัญชาการคนงานกบฎเซี่ยงไฮ้ 上海工人革命造反总司令部 ’ โดยยกตนเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนี้ ในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกัน หวังก็เป็นผู้ก่อเหตุการณ์กีดขวางทางรถไฟ ที่เรียกว่า ‘เหตุการณ์อันถิง 安亭事件 ’ ที่มุ่งหน้าโจมตีคณะกรรมการพรรคประจำเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งหลังจากนั้นยังมีการทำลายทรัพย์สิน ไปจนถึงการประณามเจ้าหน้าที่เดิมในสาธารณะ และกลายเป็นการต่อสู้ด้วยการใช้พละกำลัง แทนที่จะเจรจากันโดยสันติตามที่ประธานเหมาได้เคยมีบัญชาไว้
ปี 1967 หวังร่วมมือกับจางชุนเฉียว และเหยาเหวินหยวนสร้าง ‘มรสุมเดือนมกราคม ’ จนแย่งชิงอำนาจปกครองเมืองเซี่ยงไฮ้มาไว้ในกำมือ แล้วจัดตั้งคณะกรรมการปฏิวัติแห่งเมืองเซี่ยงไฮ้ โดยตนเองรับตำแหน่งรองประธานของกลุ่ม ขณะเดียวกันก็ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการคณะกรรมการปฏิวัติโรงงานฝ้ายที่ 17 ปีถัดมา เมื่อคณะกรรมการพรรคประจำเมืองเซี่ยงไฮ้คณะใหม่ก่อตั้งขึ้น หวังก็กินตำแหน่งเลขาธิการคนที่ 3 รวมถึงตำแหน่งสูงสุดของกลุ่มผู้ใช้แรงงานหลายตำแหน่ง
โอกาสทางการเมืองของหวังมาถึงจุดสูงสุดด้วยการสนับสนุนโดยตรงจากเหมาเจ๋อตง ในเดือนสิงหาคม ปี 1973 บนเวทีการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 10 หวังได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการกลางของพรรค คณะกรรมการกลางกรมการเมือง คณะกรรมการประจำของพรรค และที่สำคัญ คือตำแหน่งรองประธานพรรคคนที่ 2 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เป็นรองเพียงประธานเหมาและโจวเอินไหล ที่เป็นรองประธานคนที่ 1 เท่านั้น ขณะเดียวกันก็ควบตำแหน่งคณะกรรมการกลางประจำกองทัพไปด้วย
หวังมีความกระตือรือร้นในการช่วงชิงอำนาจสูงสุดร่วมกับนางเจียงชิงมาโดยตลอด และกลายเป็นบุคคลสำคัญในกลุ่มของภรรยาเหมาเจ๋อตุง ในช่วงปี 1974 ถึง 1975 ก็ได้รวมตัวอย่างจริงจังกับเจียงชิง จางชุนเฉียวและเหยาเหวินหยวน ตั้งเป็น “แก๊งสี่คน" ปลุกกระแสประณามหลินเปียวและขงจื้อ(批林批孔) โดยมีนัยยะสำคัญคือโจมตีโจวเอินไหลและนักปฏิวัติรุ่นก่อน ต่อต้านการทำงานในพรรคของเติ้งเสี่ยวผิง เพื่อจะขึ้นไปแทนที่คนเหล่านี้ นอกจากนั้น ยังเป็นผู้บงการการกวาดล้างผู้มาชุมนุมเพื่อรำลึกถึงนายกโจวเอินไหลในเทศกาลเช็งเม้ง ที่บริเวณลานจัตุรัสเทียนอันเหมิน เมื่อวันที่ 5 เมษายน ปี 1976 ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นาน หวังหงเหวินยังได้เดินทางไปเซี่ยงไฮ้เพื่อเยี่ยมชมกลุ่มกำลังติดอาวุธที่เขาก่อตั้งขึ้นและมีแผนจะก่อความไม่สงบในเมืองเซี่ยงไฮ้
6 ตุลาคม 1976 เป็นวันที่หวังหงเหวินจะต้องจดจำไปตลอดกาล เมื่อเขาต้องสูญสิ้นอำนาจด้วยการเข้าจับกุมตัวของกรมการเมืองของพรรค และในเดือนกรกฎาคม ปี 1977 ที่ประชุมพรรคก็ตัดสินให้เขาหมดสภาพการเป็นสมาชิกของพรรคไปชั่วชีวิต พร้อมยกเลิกตำแหน่งหน้าที่ทั้งหมด ต่อมาในวันที่ 25 มกราคม 1981 ศาลสูงสุดจีนพิพากษาจำคุกหวังตลอดชีวิต พร้อมถอดถอนสิทธิทางการเมืองไปตลอดชีวิต
3 มีนาคม 1992 หวังจบชีวิตวัย 60 ปีลงที่ปักกิ่ง หลังจากต้องต่อสู้กับโรคมะเร็งร้ายมาหลายปี .
เรียบเรียงจาก พีเพิลเดลี่ http://zh.wikipedia.org ไชน่าเดลี่, TOM.COM,www.china.org.com, หนังสือประวัติศาสตร์จีน ของทวีป วรดิลก
'แก๊งสี่คน' ทรชนแห่งประวัติศาสตร์จีน (1)