xs
xsm
sm
md
lg

ภาษาจีน กุญแจทองแห่งชีวิตวิโรจน์ ตั้งวาณิชย์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อาจารย์วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการภาษาและวัฒนธรรมจีนมากว่า 20 ปี ความสามารถของท่านในการย่อยเรื่องยากๆให้เป็นเรื่องง่ายที่คนทั่วไปสามารถซึมซับรับรู้ได้ ทำให้กระจายความรู้เรื่องจีนไปสู่ประชาชนในวงกว้างขึ้น นอกจากนี้บุคลิกและกลวิธีการถ่ายทอดความรู้ที่เป็นเอกลักษณ์และสนุกสนาน ยังทำให้อาจารย์วิโรจน์ กลายเป็นขวัญใจของผู้ที่สนใจภาษาและวัฒนธรรมจีนในไทยจำนวนมากด้วย

ท่านได้มีโอกาสเดินทางในประเทศจีนในช่วงปีพ.ศ. 2526 (ค.ศ.1983) เพื่อศึกษาด้านวรรณกรรมจีน หลังจากที่ประเทศไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทุตกับจีนแล้ว 8 ปี เป็นช่วงเวลาที่ปัญญาชนของจีนเพิ่งได้รับการปลดปล่อยให้หลุดพ้นจากการครอบงำ และยังมีบาดแผลหลังการปฏิวัติวัฒนธรรม (พ.ศ.2509-2519) ให้เห็นในบางส่วน

หากเปรียบประเทศจีนเป็นดั่งต้นไม้ อาจารย์วิโรจน์ก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้เห็นการเติบโตของต้นไม้ต้นนี้ในช่วงที่เพิ่งแซงยอดอ่อนออกจากเมล็ด ถึงแม้ในปัจจุบัน ต้นไม้ต้นนี้ได้กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปทั่วสารทิศ และท่านจะได้จากประเทศจีนมานานแล้ว แต่อาจารย์วิโรจน์ในวัย 56 ปีวันนี้ ก็ยังคงเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของแผ่นดินจีนที่ผูกพัน และยังได้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมความรู้ความเข้าใจระหว่างชาวไทยกับประเทศอันกว้างใหญ่แห่งนี้ต่อมา...


ครั้งแรกที่อาจารย์ไปเรียนที่เมืองจีน อาจารย์มีความสนใจในด้านใดเป็นพิเศษคะ
อ.วิโรจน์ :
ตอนที่ไปเรียนภาษาจีน จริงๆก็ไปแบบไม่ค่อยจะมีเป้าหมายเท่าไหร่ ว่าเราไปหาเอาดาบหน้า เรียนไปเรียนมา ก็สนใจ ก็เลยเรียนวรรณคดีจีน ไปเรียนปริญญาโทสาขาวรรณกรรมร่วมยุค ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เรียนอยู่ 5 ปี กว่าจะจบมาได้เกือบตาย

จริงๆไม่อยากไปหรอก จริงๆอยากไปอเมริกา แต่ด้วยปัญหาทางบ้านกับทางตัวเอง เลยต้องไปเรียนที่ปักกิ่ง ที่บ้านอาจารย์จะเป็นโรงงิ้ว ตอนไปเรียนภาษาจีนก็พูดจีนได้แล้ว เขียนได้แล้ว แล้วที่อาจารย์เขียนได้เนื่องจากเวลานั้น อาจารย์เป็นรุ่นสุดท้าย ที่ได้เรียนโรงเรียนจีน ในยุคนั้นที่อาจารย์ยังเป็นเด็ก ก็ยังมีหนังซาวน์แทรค อย่างหนัง ชอว์บราเดอร์ส ร้องเพลงจีน ฟังเพลงจีน พอมาอีกไม่นานมันก็หายไปเลย

อาจารย์เดินทางไปจีนในปีไหนคะ
อ.วิโรจน์ :
ไปตอนปี 26 หลังจากไทยและจีนเปิดสัมพันธ์กัน (พ.ศ.2518) อีกนานกว่าเด็กไทยเราจะไปได้ เขาก็ยังไม่ได้เปิดประเทศ เขามาเปิดประเทศเมื่อตอนปีค.ศ.1976 หลังจากสิ้นสุดการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน แล้วเติ้งเสี่ยวผิงก็ฟื้นขึ้นมามีอำนาจใหม่ แล้วกว่าเติ้งเสี่ยวผิงจะฟอร์มทีมของตัวเอง ปัดกวาดบ้านช่องของตัวเองให้เรียบร้อยก็อีกหลายปีถึงพร้อมรับนักศึกษาต่างประเทศเข้าไปเรียน รุ่นแรกๆที่เด็กไทยเราไปเรียนคือ เด็กแลกเปลี่ยนซึ่งปัจจุบันนี้ก็อายุ 50-60 กันหมดแล้ว (หัวเราะ) ส่วนอาจารย์วิโรจน์ไม่ได้ไปในฐานะเด็กแลกเปลี่ยนไปในฐานะทุนส่วนตัว ทุนคุณแม่ไปเรียนเอง

สมัยนั้นสภาพบ้านเมืองของเขาเป็นอย่างไร
อ.วิโรจน์ :
เพิ่งจะมีการม้วนประเทศ ในสมัยก่อนโลกเราก็จะมีสองม่าน คือ จะมีม่านเหล็กที่รัสเซีย และมีม่านไม่ไผ่ที่จีน สองม่านนี่แข็งแรงมาก ใครเจาะไม่เข้าเลย ในยุคนั้น ใครจะเรียนภาษาจีนก็จะต้องไปเรียนที่ต่างประเทศ หรือไม่ก็ไปเรียนที่ไต้หวัน เพราะฉะนั้น พอม่านไม้ไผ่ม้วนขึ้นมาก็ถึงจะมีคนไทยไปเรียนที่โน่นอย่างอาจารย์ก็เป็นรุ่นแรกๆที่เป็นหน่วยกล้าตาย

การปฏิวัติวัฒนธรรมนี่จบไปแล้วหลายปี แต่ว่าความซ้ายจัดก็ยังมีอยู่ แล้วก็ความยากลำบากก็ยังมีอยู่ เช่น ความยากลำบากทางเศรษฐกิจอาจารย์วิโรจน์ก็ยังได้เห็น ตอนไปปี 26 (พ.ศ.2526) ยังต้องใช้คูปองปันส่วนอาหาร เพราะว่า อาหารไม่พอ แล้วก็อะไรๆก็ไม่พอ หอพักก็เน่า แล้วพอเรียนจบปี 31 กำลังจะแพ็กของจะกลับบ้าน เคนตั๊กกี้ไปเปิดที่ปักกิ่ง อาจารย์วิโรจน์ขี่รถพุ่งไปเลย 20 กิโลเมตร ขี่ไปกินเคนตั๊กกี้ เสร็จจากเคนตั๊กกี้ปุ๊บ แมคอันแรกก็ไปปักกิ่ง อาจารย์จำได้ว่า ฉันแพ็กของเสร็จแล้วฉันจะกลับเมืองไทยแล้ว (หัวเราะ)

อยากให้อาจารย์ช่วยเล่าเรื่องการใช้ชีวิตนักศึกษาที่นั่นคะ
อ.วิโรจน์ :
ที่นั่นลำบาก ในยุคนั้นมันลำบากทั้งวัตถุกับด้านบรรยากาศของการเรียนด้วย อย่างสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นโปรเฟสเซอร์สักกี่คนเข้ามาในห้องเรียนก็จะวางหลักก่อนเลย ทั้งที่เรียนเรื่องของศาสนาพุทธแท้ๆ เขาจะวางหลักว่า มาร์กพูดอย่างนี้ เหมาพูดอย่างนี้ เลนินพูดอย่างนี้ แองเกิลพูดอย่างนี้ คือเขาไม่สามารถเปิดทฤษฎีอื่น เราจะไม่รู้จัก อดัม สมิท คือใคร เราจะไม่รู้จักโซคราติส พลาโต พูดอะไรบ้าง เราจะไม่ได้ยินนักปรัชญารุ่นก่อนๆอย่างขงจื๊อ พูดอะไรบ้าง ไม่มีเลย ต้องเรียนพวกนี้ก่อนเลย แล้วเอาทฤษฎีพวกนี้มาส่อง มาวัด มากำหนด เพราะฉะนั้น อาจารย์วิโรจน์ก็ปากไม่ดีเหมือนกัน อาจารย์ก็เรียกพวกนี้ว่า โปรเฟสเซอร์ซีร็อกส์ คือ ซีร็อกส์มาเหมือนกันหมด

อาจารย์รู้สึกว่าบรรยากาศการเรียนในตอนนั้นขัดกับความรู้สึกของตัวเองหรือเปล่าคะ
อ.วิโรจน์ : คือเราอยู่ในโลกกว้าง อยู่ดีๆก็จับเรามาอยู่ในช่องในซอง เพราะฉะนั้นถึงได้รู้ว่า จีนตอนหลัง ถ้าเขาไม่มีการปฏิรูป เขาจะไปไม่รอด พอหลังจากที่อาจารย์วิโรจน์จบมาแล้ว ก็เคยพานิสิตปริญญาโทจุฬาฯไปเยี่ยมเมืองจีน ก็ไปฟังเขาบรรยาย เขาบอกว่าก่อนที่เขาจะปฏิรูปเศรษฐกิจ หรือปฏิรูปทางการเมือง เขาต้องปฏิรูปความคิดก่อน เห็นไหม แล้วสิ่งที่เราเรียนในสมัยนั้นก็เลิกบังคับแล้ว คือ ในโลกเราไม่ใช่ว่าจะมีทฤษฎีเดียวหรือปรัชญาเดียว เพราะฉะนั้น เด็กที่ไปเรียนทีหลังก็จะได้เปรียบมากกว่า

ความเป็นอยู่ของนักศึกษาเป็นอย่างไร พักหอพักในมหาวิทยาลัยหรือเปล่าคะ
อ.วิโรจน์ : คือในสมัยนั้น เขาจะแบ่งเด็กนอกกับเด็กใน เด็กของเขาก็จะอยู่หอเขา เด็กของต่างประเทศก็จะอยู่หอของต่างประเทศ เขาไม่ปะปนกัน ในยุคนั้นคนจีนยังหาทางหนีออกต่างประเทศเยอะ แล้วก็จะมีการเช็คพวกเราว่าพวกเราเป็นสปายหรือเปล่า ทั้งๆที่ช่วงนั้นเติ้งเสี่ยวผิงปฏิรูปแล้วนะ แต่ว่ายังไม่ปฏิรูปความคิด

ก็คิดดูว่า ตอนเราเรียนหนังสือ ลงทะเบียนไปแล้ว จ่ายสตางค์ไปแล้ว แล้วก็เปิดเรียนไปแล้ว 3-4 อาทิตย์แล้ว อยู่ดีๆ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของทางมหาวิทยาลัยปักกิ่งมาบอกเราว่า วิชานี้ไม่สร้างสรรค์ต่อระบบสังคมนิยม ให้ปิดคอร์ส เจออย่างนี้ พอปิด อาจารย์ก็ต้องรีบเปลี่ยนเนื้อหาของวิชา ไม่งั้นเด็กก็จะไม่จบ เพราะหน่วยกิจมันจะต้องบังคับใช่ไหมฮะ

ตอนที่อาจารย์ไป นอกจากนักศึกษาไทยแล้วยังมีนักศึกษาประเทศอื่นไหม
อ.วิโรจน์ :
มีทั่วโลก โดยเฉพาะพวกอัฟริกันจะพูดภาษาจีนกันปร๋อเลย ก็เซอร์ไพรส์ ซึ่งตอนนั้นจีนก็ต้องเชียร์โลกที่สาม ใช่ไหมฮะ เค้าก็ให้ทุนอัฟริกันเยอะมาก แต่พอตอนหลังจีนมีการปฏิรูปขึ้นมาแล้ว เขาก็ไม่ไหวนะ เพราะเขาอุ้มประเทศที่ยากจนมานาน เมื่อก่อนอุ้มเกาหลีเหนือเยอะมาก เดี๋ยวนี้เขาก็ปล่อยเกาหลีเหนือลงบ้างแล้ว สมัยที่เรียนนะ เกาหลีเหนือนี่เยอะมากๆ ส่วนเกาหลีใต้คือเขามีสตางค์จะส่งคนมาเรียน ก็เยอะ

สมัยอาจารย์เป็นนักศึกษาเรียนอยู่ที่นั่น มีวีรกรรมเด็ดๆบ้างหรือเปล่าคะ
อ.วิโรจน์ :
(หัวเราะ) ก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ พอกลับมาปีเดียวก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่เทียนอันเหมิน ซึ่งตรงนี้เราก็ไปวิจารณ์เขามากไม่ได้ มันเป็นเรื่องภายในของเขา แต่ก็ด้วยความอึดอัดตรงนี้ก็เข้าใจ คือตอนที่อาจารย์กลับมา อาจารย์ก็ไปพูดที่ธรรมศาสตร์หลายที่เลยนะ ก็บอกว่าจริงๆแล้วที่เราเห็นว่าเขาเป็นแบบนี้ ข้างในเขามีแรงอัดเยอะ แค่ปลายเข็มไปสะกิดลูกโป่งก็ระเบิดเลย พูดไม่ทันขาดคำ ก็เกิดเหตุการณ์ที่เทียนอันเหมินเลย ซึ่งตอนหลังพอมาเกิดเหตุการณ์ที่เทียนอันเหมิน จีนเขาก็รู้ตัวว่ากดปัญญาชนต่อไปไม่ไหว ก็ต้องปล่อยอะไรบางเรื่อง แม้ว่าตอนนี้ เขายังไม่มีการเลือกตั้งเสรี ในด้านการเมืองยังไม่ได้เปิดเสรี แต่ในด้านวิชาการนี้เขาเปิดแล้ว คือเราสามารถเรียนทุกอย่างได้

อาจารย์มองการศึกษาของจีนเป็นอย่างไร
อ.วิโรจน์ :
เมื่อกี๊บอกไปแล้วว่า เราอยู่ในสังคมที่เปิดมานาน เราอยู่ในแม่น้ำเราอยู่ในมหาสมุทร แต่จีนเมื่อก่อนเขาก็อยู่ในกะลาแล้วอาจารย์วิโรจน์ก็ถูกจับเข้ามาอยู่ในกะลา เขาก็เพิ่งเปิดครอบกะลามาได้ 20ปีนี่เอง พอเขาเปิดครอบกะลาขึ้นมา กบก็เพิ่งหัดว่ายในคลอง พอเขาออกจากคลองเสร็จเดี๋ยวเขาก็คงออกสู่แม่น้ำล่ะมั้ง หลายๆเรื่องกำลังออกสู่แม่น้ำ

แต่จีนเขาก็ยอมรับนะว่า แม้ในบางเรื่องเขาก็ยังล้าหลังกว่าประเทศไทยอยู่ ยิ่งอเมริกานี่ ไม่ต้องพูดถึงเลย ซึ่งเราไม่สามารถวัดจากตัวเงินได้นะ เรื่องรายได้ต่อหัวต่อปีนี่เดี๋ยวอีกกี่ปีเขาจะทันอเมริกานี่พูดไปเถอะ ไอ้เงินน่ะมันทำกันได้ แต่ไอ้ความตื่นตัวของมนุษย์นี่เขาปิดมานาน นานจนทุกวันนี้ก็ยังปิดอยู่ เขาก็ยังอยู่ในโลกตรงนั้น คือไม่กว้าง

ทุกวันนี้ ทุกคนมาถามว่า ควรจะส่งเด็กไปเรียนมหาวิทยาลัยที่นั่นดีไหม คือถ้าส่งไปเรียนภาษาจีน ส่งไป แต่ถ้าจะส่งไปเรียนวิชาต่างๆแล้วอาจารย์ว่าไปเรียนที่อื่นเถอะ เพราะอย่าลืมว่าเขาก็เพิ่งเปิด(ประเทศ)ออกมา แต่พูดถึงในด้านความเก่งในวิชาเฉพาะบางวิชาก็เก่ง แต่อย่าเอาตรงนั้นมาวัดวิทยฐานะแบบพื้นฐานโดยกว้าง

อาจารย์คิดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนในปัจจุบันเป็นอย่างไร
อ.วิโรจน์ : แน่นแฟ้น เป็นอะไรที่ จูหรงจี (อดีตนายกรัฐมนตรีของจีน) เคยพูดเลย อันนี้อ่านกับตัวเอง ในหนังสือพิมพ์จีนกับฟังกับทีวีเลยที่ปักกิ่ง จูหรงจีเขาบอก เขาตั้งความสัมพันธ์ไทยจีนเป็นความสัมพันธ์แบบสาธิต สาธิตให้ทุกประเทศดูไงว่า แน่นแฟ้นมากๆ

ก็ดูสิ ในโลกนี้จะไม่มีราชนิกุลองค์ไหนที่เสด็จเมืองจีนได้ 20 ครั้งเหมือนสมเด็จพระเทพฯ นะครับ แล้วก็ยังไม่มีราชนิกูลองค์ไหนในโลก ในประวัติศาสตร์จีน ตั้งแต่ในจีนยุคใหม่นี่นะฮะ ที่เคยไปทรงเรียนภาษาจีน แล้วประทับในมหาวิทยาลัย อย่างสมเด็จพระเทพฯ ก็เป็นองค์แรกของโลก ทูลกระหม่อมเล็กนะครับ ก็เป็นราชนิกูลองค์แรกของโลกที่เสด็จเมืองจีนและทรงเปิดคอนเสริต์ถึง 3 รอบที่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ซีอัน ไม่มีนะครับ อันนี้ คือความแน่นแฟ้น ความสนิทชิดเชื้อ เรียกว่า นับญาติได้

อาจารย์มองว่า อนาคตความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนควรจะมีการส่งเสริมในด้านใด
อ.วิโรจน์ : ภาษาเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด (เน้นน้ำเสียง) เด็กไทยเราภาษาอ่อนอยู่แล้ว แล้วยิ่งมาอ่อนภาษาที่สอง ภาษาที่สามอีก ก็ไปเลย ภาษาอังกฤษนี่มันอ่อนจนเป็นพื้นอยู่แล้วไง ภาษามันเปิดโลกกว้าง เปิดช่องทางทุกอย่าง ภาษาไม่ใช่ความรู้นะ ภาษาคือกุญแจ แต่เป็นกุญแจที่ไปเปิดประตู ทีนี้ประตูปิดอยู่ กุญแจเธอก็ไม่มี แล้วจะเปิดได้ไง ภาษาอะไรก็ได้ขอให้เธอเรียนเถอะ

เราต้องเตรียมพร้อม เราไม่ได้เตรียมเลย เป็นห่วงมาก (ลากเสียงยาว) ตอนนี้ต่างคนต่างสะเปะสะปะ ที่ไหนๆก็เรียนภาษาจีน แต่รัฐบาลไม่ได้ครีเอทบรรยากาศใหญ่ ต้องรณรงค์ ตรงบรรยากาศนี่รัฐบาลไม่เอาจริง รัฐบาลไม่เอาจริงซักเรื่องนึง ไม่ว่าจะเป็นทีวี เกี่ยวกับช่วงเวลาของเด็ก ก็ไม่เอาจริงเอาจัง ช่วงเวลาของการศึกษาก็ไม่เอาจริงเอาจัง

การส่งเสริมการเรียนภาษาจีนในไทยทุกวันนี้เป็นอย่างไร
อ.วิโรจน์ :
ตอนนี้คนที่รู้เรื่องจีนในประเทศไทยเราต้องขอพูดว่ามันขาดไปประมาณ 2-3 ชั่วคน มันเป็นเหวไปเลย สมัยหนึ่งเราหยุดเรียนไปก็เพราะเรื่องการเมืองในสมัยนั้น จอมพลสฤษดิ์ก็จับคอมมิวนิสต์ จอมพลป.ก็จับคอมมิวนิสต์ ประเทศอื่นๆแม้แต่ประเทศลาวที่เค้าต้องเผชิญวิกฤตทางการเมืองเยอะกว่าประเทศไทยเรา แต่การเรียนภาษาจีนของลาวนั้นไม่ขาด พอตอนหลังเราก็ต้องมาต่อว่า สังคมไทยเราเองว่า รัฐบาลไทยทุกยุคทุกสมัยไม่เคยส่งเสริมเลย

และแม้แต่ตอนนี้รัฐบาลทักษิณเอง รู้ทั้งรู้ว่าภาษาจีนตอนนี้สำคัญมาก ก็ส่งเสริมกันแบบหมาหยอกไก่ไม่ทำจริงๆจังๆ ในขณะที่ สิงคโปร์ เค้าเลิกส่งเด็กไปเรียนยุโรป อเมริกาแล้ว เขาตื่นตัวกันหมดแล้ว เขาส่งเด็กทุนของเขาไปเรียนจีน อินเดียแล้ว เขาเห็นแล้วว่าอีกหน่อย จีน อินเดียจะเป็นตลาดโลกที่ใหญ่มาก เขามีสถิติประชาชาติมาแล้วว่าไม่นานนี้ อินเดียจะมีประชากร 1,600 ล้านคน ที่ไหนที่มีคนเยอะ ที่นั่นก็จะมีการใช้จ่าย นั่นคือเศรษฐกิจ เรื่องกิน เรื่องนอน ก็เป็นเศรษฐกิจ ทิชชู่ก็เป็นเศรษฐกิจ ประเทศไทยเราอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบมากในด้านภาษาจีน คนทั่วโลกเค้ารุดหน้าเรียนภาษาจีนก่อนเราไปเยอะ

อาจารย์อยากจะฝากอะไรทิ้งท้ายถึงการศึกษาภาษาจีนในเมืองไทยบ้างไหมคะ
อ. วิโรจน์ :
ทุกวันนี้พูดไปก็น่าน้อยใจ รัฐบาลพูดอยู่ตลอดเวลาว่าส่งเสริมจีนอย่างโน้น อย่างนี้ จีนจะให้โรงเรียนมาทั้งโรง อย่างคุณสุธรรม แสงประทุม ก็ยังเคยมาคุยกับอาจารย์วิโรจน์เลย เพราะว่าเราเป็นรุ่น 6 ตุลาด้วยกัน จีนเขาบอกว่าเขาอยากจะสร้างโรงเรียนให้เราหนึ่งโรง แต่ไม่มีคนไปบริหาร รัฐบาลก็หาคนไปบริหารไม่ได้ แล้วก็เคยมาคุยกับอาจารย์วิโรจน์ ซึ่งอาจารย์ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะอาจารย์ก็ไม่ใช่นักบริหาร ใช่ไหมครับ น้อยใจอีกเรื่องหนึ่ง ในทีวีของไทยไม่มีรายการสอนภาษาจีนเลย ในขณะที่ประเทศอื่น เขามีเยอะแยะ

รัฐมนตรีบอกว่าสื่อจะต้องดูแลเรื่องเด็กใช่ไหม จะต้องมีเวลาให้เด็ก จะต้องมีเวลาให้การศึกษา เปล่าเลย มีแต่เกมส์โชว์ ก็ต้องขอชมช่อง 3 นิดหน่อยที่เขามีภาษาอังกฤษ มีภาษาไทยแทรกอยู่วันละหนึ่งนาทีใช่ไหมฮะ อาจารย์ก็อยากจะไปแทรกภาษาจีนวันละหนึ่งนาที แทรกไม่ลงเลย ไม่รู้จะไปลงตรงไหน

เพราะฉะนั้น ตรงนี้สังคมไทยแย่นะ คือ เรายิ่งไม่รู้ภาษา เรายิ่งทำธุรกิจกับเขายิ่งยาก ทุกวันนี้ ทูตพาณิชย์ ทุกๆที่ที่เราส่งไปประจำที่เมืองจีน ก็มีที่ปักกิ่งเป็นสถานทูตใหญ่ แล้วก็ยังมีคุนหมิงเป็นกงสุล เซี่ยงไฮ้เป็นกงสุล ที่กวางเจาเป็นกงสุล และกำลังจะไปเปิดกงสุลใหม่ที่เมืองฉงชิ่ง (จุงกิง) ทูตพาณิชย์ของแต่ละที่ก็บอกเลยว่า ปัญหาหลักในการทำธุรกิจไทย-จีน คือ ภาษา

อยากฝากถึงทุกหน่วย ถึงท่านนายกฯเลย ให้เห็นความสำคัญว่า ให้เด็กมันเรียนเถอะ เปิดทีวีให้มันมีบรรยากาศบ้าง สร้างบรรยากาศ แล้วมันไม่ไปไหน เรือล่มในหนอง ทองก็อยู่ในหนอง เด็กเรียนจีนแล้วเด็กไม่ได้ไปฝักใฝ่จีนนี่ ฉันเรียนจีนมาตั้งกี่ปีฉันยังไม่ฝักใฝ่จีนเลย ฉันยังรักสามสถาบันของไทยอยู่ .
กำลังโหลดความคิดเห็น