xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตดั่งเครื่องบรรณาการในอ้อมกอดจีนของวรรณไว พัธโนทัย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มื่อกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างไทยจีน ก่อนการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของสังข์ พัธโนทัย ซึ่งนับเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีประสบการณ์ร่วมรู้เห็นในความพยายามหลายครั้งของคณะผู้แทนไทยในการเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย

โดยเฉพาะการเจริญสันถวไมตรีแบบลับๆ ระหว่างประชาชนไทยและจีนในยุคการเมืองไทยอยู่ภายใต้เผด็จการทหาร ราวปี พ.ศ.2490 เป็นต้นมา ในฐานะคนสนิทของจอมพล ป. พิบูลสงคราม สังข์ พัธโนทัยได้รับมอบหมายให้ดำเนินการผูกมิตรกับจีน เขาคือผู้อยู่เบื้องหลังการส่งคณะผู้แทนประชาชนไทยไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับจีนหลายครั้ง และเรื่องที่ถือว่าเป็นความกล้าหาญที่เกินที่ใครจะคาดคิด คือการส่งเลือดเนื้อเชื้อไข 2 คน คือบุตรชายคนที่สอง วรรณไว พัธโนทัย และบุตรสาว นวลนภา พัธโนทัย (ภายหลังเปลี่ยนเป็น สิรินทร์) ไปเป็นลูกบุญธรรมของนายกรัฐมนตรีจีน โจวเอินไหล

วรรณไว พัธโนทัย ได้ใช้ชีวิตในช่วงวัยศึกษากับน้องสาวในรั้วกำแพงแดงเป็นเวลาถึง 10 ปี ได้เก็บเกี่ยวความรู้และซึมซับประสบการณ์ที่ได้อยู่ในเมืองจีน ตลอดจนความประทับใจที่มีต่อนายกฯ จีนท่านนี้ มาถ่ายทอดเป็นผลงานเขียนสู่ผู้อ่านชาวไทยหลังกลับสู่มาตุภูมิจนโด่งดัง แล้วก็เงียบหายไปจากสังคมหลายปี ปัจจุบันท่านเก็บเนื้อเก็บตัวและใช้เวลาส่วนใหญ่รื้อฟื้นความทรงจำเพื่อเขียนหนังสืออัตชีวประวัติเกี่ยวกับ ‘ชีวิตพิสดาร’ ของท่านในอ้อมอกจีน ที่เจ้าตัวกล่าวว่า “ เป็นชะตาชีวิตของเด็กบ้านนอกธรรมดาคนหนึ่งสู่ความเป็นลูกบุญธรรมของผู้นำจีนในวังมังกร “

เรื่องราวชีวิตพิสดารทั้งหลายทั้งปวงนี้เริ่มต้นขึ้นจากบิดาของท่าน เมื่อต้องมารับหน้าที่ในการเชื่อมสัมพันธ์กับจีนอย่างลับๆ ขณะที่บรรยากาศในบ้านเมืองทั้งรัฐบาลและประชาชนทั่วไปต่างต่อต้านและโจมตีจีนอย่างหนัก คุณวรรณไว พัธโนทัยได้รำลึกความทรงจำกับ ‘ผู้จัดการออนไลน์’ นับตั้งแต่ภารกิจของบิดาได้เริ่มต้นขึ้นในการส่ง ‘คณะทูตใต้ดิน’ สู่ประเทศจีน จนมาถึงการตัดสินใจส่ง ‘ดวงใจ’ ของตนทั้งสองคนสู่อ้อมอกแผ่นดินจีนเพื่อเชื่อมสายใยระหว่างประเทศ


“ ผมไปเมืองจีนปี ค.ศ.1956 (พ.ศ.2499) ตอนนั้นพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพิ่งตั้งประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนแค่ 7 ปีแค่นั้นเอง และตอนนั้นก็ตกอยู่ในวงล้อมของพวกอเมริกา กับพวกประเทศที่รับความช่วยเหลือจากเขา ตอนนั้นไทยเราก็เป็นประเทศหนึ่งในประเทศที่อยู่คู่กับอเมริกาที่จะบีบรัดประเทศจีน เพราะฉะนั้นการไปของผมที่คุณพ่อส่งไปครั้งนั้น เดี๋ยวนี้จีนเขาก็ยังถือว่าครอบครัวพัธโนทัยเป็นครอบครัวแรกที่เป็นมิตรยามยากของเขา เราไปคราวนั้นเขากำลังถูกโดดเดี่ยวมาก ”  
...วรรณไว พัธโนทัย เปิดใจถึงฉากเริ่มต้นชีวิตของเขาในประเทศจีน...


การส่งทูตใต้ดินชุดแรกไปจีน

ด้วยเหตุที่บิดาของท่าน คุณสังข์ พัธโนทัยนั้นเป็นนักอ่านและนักฟังวิทยุ รับรู้ข่าวสารหลายทาง จากนักประชาสัมพันธ์ผู้แอนตี้คอมมิวนิสต์ตัวยง ได้หันมาศึกษาจีนและฟังความทั้งซ้ายและขวา ภายหลังเมื่อสหรัฐอเมริกาพ่ายแพ้ในสงครามเกาหลี ท่านค่อยๆ เริ่มหันมามองประเทศจีนในทางที่สร้างสรรค์มากขึ้น จนต่อมาก็ได้เห็นว่าคอมมิวนิสต์มิได้เลวร้ายอย่างที่ฝรั่งวาดภาพเอาไว้เลย โดยเฉพาะเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับชัยชนะยึดดินแดนจีนและขับไล่พรรคก๊กมินตั๋งออกจากแผ่นดินใหญ่สำเร็จ ก็ได้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ ‘คอมมิวนิสต์’ ในความคิดของสังข์ พัธโนทัย

วรรณไว พัธโนทัย เล่าถึงบิดาของตนว่า คุณสังข์มีแนวคิดว่าอนาคตประเทศจีนจะต้องยิ่งใหญ่และเข้มแข็งแน่นอน เพราะภายหลังพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีชัยเหนือพรรคก๊กมินตั๋ง และสามารถเอาชนะความยากจนและพลิกฟื้นประเทศจากผู้ถูกเหยียดหยามมาเป็นประเทศใหญ่ที่กำลังยืนขึ้นบนเวทีโลก อีกด้านหนึ่งท่านยังมองว่าจีนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทยในหลายๆ ด้านอย่างลึกซึ้ง ทั้งทางสายเลือด ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ท่านจึงมีความคิดว่าไทยและจีนควรผูกมิตรกันไว้ และด้วยการที่มีเพื่อนฝูงเป็นชาวจีนอยู่มาก ท่านจึงได้รับมอบหมายจากนายกฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้ดำเนินการติดต่อกับจีน โดยภารกิจแรกคือการส่งคณะผู้แทนไทยไปพบผู้นำจีน (ค.ศ.1955)

วรรณไว เล่าถึงภารกิจการส่งคณะทูตใต้ดินของไทยไปจีนชุดแรกของสังข์ พัธโนทัย ว่า  “ ไอ้ตอนนั้นมันก็ลำบากที่ว่าเรื่องนี้ให้อเมริการู้ไม่ได้ เพราะเรารับความช่วยเหลือจากเขา ถ้าอเมริการู้นี่เรียบร้อยแน่ รัฐบาลรับรองวุ่น คุณพ่อก็เลยต้องใช้วิธีเดินใต้ดินกับจีนก่อน ตอนนั้นคุณพ่อก็เลยอาศัยเพื่อนสนิทซึ่งเป็นพวกฝ่ายซ้ายแต่ก่อน คือพวกที่มีความสัมพันธ์อยู่กับพวกคอมมิวนิสต์จีนแต่ก่อนสมัยทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่นที่เคยช่วยเหลือกัน ตอนนั้นเขาก็กลับไปเมืองจีนกันเยอะ พอจีนได้ตั้งประเทศแล้วเป็นคอมมิวนิสต์แล้วเขาก็ได้กลับไปช่วยประเทศเขา จากเมืองไทยก็ไปเป็นใหญ่ในเมืองจีนกันหลายคน เช่นท่านชิวจี้ ดังมาก แต่ก่อนอยู่เมืองไทยก็เป็นนักเคลื่อนไหวมือหนึ่งเหมือนกัน ต่อต้านอเมริกาอะไรพวกนี้ ของเราที่ยังอยู่ในนี้ก็มีคุณ อารี ภิรมย์ ท่านก็มีเชื้อจีนนั่นแหละ เป็นเจ้าของโรงเรียนสว่างวิทยา ซึ่งแต่ก่อนนี้โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนคอมมิวนิสต์ ท่านก็ถูกจับหลายที หาว่าเป็นโรงเรียนคอมมิวนิสต์ 

คุณพ่อได้ส่งคุณอารี และท่าน อ.กรุณา กุศลาสัย ซึ่งตอนนั้นสนิทกันกับคุณพ่อ เป็นนักวิชาการกันทั้งนั้นพวกนี้ ที่คุณพ่อส่งตัวแทนไปนี่หมายถึงว่าให้เป็นตัวแทนของรัฐบาลเลย ให้พูดในนามรัฐบาลได้เลย แอบส่งไปก่อน ไปที่ฮ่องกง ไป ‘เคาะประตูเรียก’ เพราะฮ่องกงตอนนั้นเป็นประตูของจีน จีนจะติดต่อกับโลกภายนอกก็ต้องติดต่อผ่านฮ่องกง แล้วก็ไปถึงปักกิ่ง

การเดินทางไปของคณะทูตใต้ดินครั้งนั้นคณะทูตใต้ดินได้พบกับท่านประธานเหมาเจ๋อตง และท่านโจวเอินไหล ได้มีการหารือในเรื่องที่ไทยและจีนจะเริ่มความสัมพันธ์กันอย่างไรในภาวการณ์ที่กระแสต่อต้านคอมมิวนิสต์กำลังมีอิทธิพลอย่างมากในเมืองไทย ขณะที่รัฐบาลจอมพล ป.ก็มีความปรารถนาที่จะเป็นมิตรกับจีน

วรรณไว เสริมว่า ในภาวะที่ประเทศไทยถูกแรงบีบจากอเมริกาอย่างนี้ ท่านโจวเองเป็นคนพูดว่าความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างรัฐบางทีมันต้องอาศัยความสัมพันธ์ทางประชาชนไปก่อน ประชาชนกับประชาชนให้เขาไปมาหาสู่กันได้ คณะผู้แทนที่เดินทางไปกลับมานี่ต่อไปนี้จะมีการส่งคณะผู้แทนไทยมาเยือนจีน มีเปิดเผยบ้างไม่เปิดเผยบ้าง เอาอย่างนี้ไปก่อนเพื่อตบตาฝรั่ง ก็มีการตกลงอะไรกันอย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องลับตอนนั้น 

ลูก คือเครื่องบรรณาการซื้อใจผู้นำจีน

มื่อรับหน้าที่มาติดต่อกับจีนแล้วปัญหาหนักอกเรื่องหนึ่งที่คุณสังข์ยังกังวลก็คือเกรงว่าจีนจะไม่เชื่อในความจริงใจของไทย เนื่องจากในเวลานั้นกระแสแอนตี้จีนในไทยมีมากอย่างท้วมท้น การที่จะทำให้รัฐบาลจีนรู้ถึงความจริงใจของรัฐบาลไทยว่าต้องการเป็นมิตรจริงๆ ไม่ใช่ตีหน้าเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้านั้น ทำให้คุณสังข์คิดหาทางมัดใจจีนด้วยการเดินตามรอยประวัติศาสตร์จีน

วรรณไว  คุณพ่อเป็นนักอ่านอยู่แล้วครับ เห็นประวัติศาสตร์จีนที่ว่า แต่ก่อนเขาอยากจะให้ระหว่างก๊กนี้กับก๊กนั้นผูกสัมพันธ์กันเขาก็ส่งลูกไปเกี่ยวดองกัน ไปแต่งงานกันบ้าง บางทีก็ส่งไปเป็นลูกบ้าง ส่งไปเป็นคนคอยรับใช้ เป็นเครื่องบรรณาการกัน สมัยก่อนจีนมีอย่างนี้เยอะ พ่อก็เลยนึกได้ว่า เออ ก็ตัดสินใจว่าเห็นจะต้องสละลูก 2 คน เอาเลือดในอก 2 คนส่งไปให้จีนเป็นเครื่องบรรณาการว่าเรานะอยากเป็นมิตร แล้วการตัดสินใจของคุณพ่ออันนี้เยี่ยมมาก ถูกใจจีนจริงๆ การเอาลูกในอก 2 คนส่งไป คือถ้าไม่ไว้ใจกันจริงๆ เขาไม่มีใครเขาทำกันอย่างนี้ 

คุณวรรณไวในขณะนั้นยังเด็กมากอายุราว 13 -14 ปี (ค.ศ.1956) และในเบื้องต้นไม่รู้ตัวเลยว่าจะถูกส่งไปยังประเทศอันกว้างใหญ่อย่างจีนแดง

วรรณไว  ตอนนั้นผมไม่รู้เรื่อง ทีแรกไม่รู้พ่อหลอกบอกว่าจะให้ไปเรียนอเมริกาไปเรียนอินเดียอะไรอย่างเนี่ย ไม่เกี่ยวกับจีนอะไรเลย พอใกล้ๆ จะไปแล้วถึงมาบอกเรา พอบอกไปเมืองจีนเราก็ อี๊..แล้ว ไม่อยากไปแล้ว เพราะว่าตอนนั้นบรรยากาศที่ว่าคนจีน แหมไม่น่าไปคบเลย เป็นบุคคลชั้นสองไปแล้ว อย่างนี้ใช่ไหม .. คุณพ่อทำไมส่งผมไป ตามหลักต้องส่งพี่มั่น (ดร.มั่น พัธโนทัย) เขาเป็นพี่ใหญ่ แต่ทีนี้ทำไมส่งผมไป เลือกเอาคนที่สองซึ่งอายุก็ยังไม่มาก พี่มั่นก็อายุแก่กว่าผม ตอนนั้นพี่มั่นก็อายุ 16-17 น่าจะเอาพี่มั่นไป ทีนี้ที่เอาผมไปเพราะว่าผมชื่อวรรณไว “วรรณไว” นี่เป็นชื่อที่พระองค์วรรณฯ ท่านตั้งให้ผม เพราะผมเกิดวันเดียวกับท่าน วันเดือนเดียวกับท่าน 

พ่อส่งผมไปเพื่อจะให้นายกโจวระลึกถึงเรื่องที่ได้พูดคุยกับพระองค์วรรณฯ เพราะท่านโจวเอินไหลเนี่ยท่านประทับใจพระองค์วรรณฯ มาก (ลากเสียงยาว) คณะต่างๆ ที่ตอนหลังที่คุณพ่อส่งไปนี่นะ ทุกครั้งที่ท่านพบท่านจะต้องถามถึงพระองค์วรรณฯ ตลอดเลยว่าท่านเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกว่าท่านถูกอัธยาศัยกันมากทีเดียวเลย และจำได้แม่น ยังไงก็เรียกวรรณไว วรรณไว อยู่ตลอดเลย พ่อก็เลยนึกถึงอันนี้ ก็เลยเอาคนที่ชื่อวรรณไวนี่ส่งไป เพื่อให้เห็นว่ายังไงนะตอนนั้นท่านโจวก็ย้ำกับพระองค์วรรณฯมาว่าจีนไม่มีเจตนาที่จะรุกรานประเทศไทย ทำไมถึงส่งผมไปก็เพราะว่าอย่างนี้ ส่วนน้องสาวผมนี่ ตอนนั้นก็เด็กๆ น่ะ น้องก็เห็นว่าพี่จะไปเมืองนอกก็อยากไปด้วย สุดท้ายก็เลยไปกัน 2 คนกับน้องสาว พ่อบอกก็ดีเหมือนกัน น้องสาวอยากไปก็ดีจะได้อยู่ด้วยกัน มีอะไรก็จะได้ปรึกษาหารือกันได้ 

แม้ว่าคุณสังข์จะได้ตัดสินใจส่งลูกทั้งสองไปเมืองจีนแล้ว ทว่าหลังจากได้จดหมายไปถึงนายกฯ โจวเอินไหล ในชั้นแรกท่านนายกฯ โจวก็ยังไม่เห็นดีด้วยกับความคิดนี้เท่าใดนัก

วรรณไว  ตามจดหมายที่ปรากฏนี่ ตอนแรกนี่ท่านโจวยังไม่เห็นด้วยที่จะให้ส่งลูกไป ท่านบอกว่าอาจจะไม่ค่อยสวย เพราะว่าเดี๋ยวต่อไปเกิดอเมริกา ฝ่ายศัตรูรู้เข้าว่ามีการส่งลูกของคนสนิทของนายกฯ มาประเทศจีนแล้วเนี่ย อเมริกาจะระแวงประเทศไทยมากขึ้น จะเป็นอันตรายต่องานเราหรือเปล่า ท่านก็หวังดี แต่ตอนหลังคุณพ่อก็แสดงความจริงใจ คือคุณพ่อท่านก็เข้าใจท่านโจวดี พ่อบอกไม่ได้ ยังไงลูกก็อยากจะไปเรียนนอกอยู่แล้ว ผมอยากให้มาประเทศจีนนี่แหละ ท่านโจวก็บอกโอเค ถ้าท่านอยากจะให้มาจริงๆ ท่านก็ยินดีต้อนรับ ก็ไปถึงก็อยู่ในอุปการะของท่าน ทุกอย่างที่อยู่ในเมืองจีนนี่ท่านเลี้ยงดูหมด 


อ่านต่อหน้า 2


ชีวิตในอ้อมอกพญามังกร

ารเดินทางไปจีนแดงของคุณวรรณไวกับน้องสาวนั้นมีผู้ติดตามซึ่งเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ที่ทำงานอยู่กับบิดาไปด้วย และได้พักอยู่ในบ้านขุนนางเก่าที่นายกฯ โจวซ่อมแซมไว้ต้อนรับในกรุงปักกิ่ง โดยในระยะแรกท่านโจวเอินไหลได้อนุญาตให้ไปท่องเที่ยวดูบ้านเมืองตามสถานที่ต่างๆ อยู่ราว 3-4 เดือน จึงค่อยเริ่มต้นเรียนภาษา โดยจัดครูที่รู้ภาษาไทยมาสอนภาษาจีนอยู่กับบ้าน

วรรณไว  พอไปถึงก็อย่างว่าไม่รู้ภาษาเลย คือที่ผมไปจะบอกว่าเป็นนักเรียนธรรมดาก็ไม่ได้ ไปเพื่อการเมือง เริ่มเรียนภาษาที่บ้าน ตอนหลังท่านก็ เอ๊ะ เรียนที่บ้านนี่มันไม่ได้หรอก พี่น้องอยู่บ้านด้วยกันก็พูดภาษาไทยกัน ครูก็พูดไทยได้อีก แล้วยังมีคนขับรถ มีครอบครัวก็พูดไทยได้หมด เป็นพวกชาวไทยอพยพไปโน้นหมด ท่านก็บอกใช้วิธีตามนิทานเรื่อง ‘เมาคลีลูกหมาป่า’ เข้าไปอยู่ในนั้นเดี๋ยวก็พูดได้เอง ก็ส่งเข้าไปอยู่ในโรงเรียนเลย ก็เข้าไปอยู่ในชั้นมัธยม 1 ไม่รู้เรื่องเลย ครูเขาพูดอะไรก็ไม่รู้เรื่องเลย พอไปคลุกคลีกับพวกนี้เราก็เร็วขึ้น ภาษาก็เร็วขึ้น และก็ดีอย่าง ตอนที่ผมไป คนจีนเขาเกลียดคนไทยนะ เขาว่าคนไทยเป็นลูกกะโล่อเมริกา เขาว่าไอ้ลูกสมุนอเมริกา ก็เราไปแอนตี้เขาเป็นประเทศที่เป็นศัตรูกับเขา ทีนี้เราเข้าไปก็ได้ไปได้ช่วยสร้างความเข้าใจกับเขา เขาก็ได้เห็นนะ ว่าเราไม่ได้เป็นศัตรูอะไร มันเป็นความจำเป็นของรัฐบาล ก็ได้ไปคุยกับพวกนักเรียนด้วยกัน

เมื่อถูกถามว่าตอนนั้นรู้ตัวหรือไม่ว่าตนเองไปจีนในฐานะอะไร คุณวรรณไว กล่าวว่า  รู้แล้ว ก็แหมมันก็พิเศษหมด อยู่ในโรงเรียน พูดง่ายๆ เขาเอาใจเหลือเกิน อย่างกับปูยี (หัวเราะ) เวลาประเทศเขาเดือดร้อนนะประชาชนเขาไม่มีกินนะ เขาก็อุตส่าห์เอาเนื้อหมูเนื้ออะไรมาให้เรากิน เรื่องกินไม่เคยขาด พอเขารับปากว่ายินดีต้อนรับแล้วเขาไม่มีทอดทิ้งเลย อันนี้ผมคิดว่าเป็นวัฒนธรรมที่ดีมากเลยของจีน และถ้าเป็นเพื่อนเขาจริงจังแล้วเนี่ยไม่ว่าเป็นไงเขาก็เป็นเพื่อน ครอบครัวที่เข้าไปอยู่กับจีนอย่างนี้ไม่มีนะ ในโลกนี้ผมว่าจะมีผมกับลูกเจ้าสีหนุ 

ชีวิตนักเรียนมัธยมในเมืองหลวง เมื่อหยุดเทอมก็ได้ไปเที่ยวตามมณฑลต่างๆ บ้าง และสองพี่น้องยังได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน คือมหาวิทยาลัยปักกิ่ง จนกระทั่งคุณวรรณไวศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 4 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก็เกิดปฏิวัติวัฒนธรรมขึ้นในประเทศจีน (ค.ศ.1966-1976)

วรรณไว  เรียนปีสุดท้ายพอดี อีกครึ่งปีจบ จะปฏิวัติวัฒนธรรมเขาให้จบเลย ไม่ต้องต่อแล้ว  พอปฏิวัติวัฒนธรรมท่านโจวก็โดน ผมก็โดนเลย น้องสาวก็ไปเป็นฮีโร่อยู่ที่โน้น ชีวิตพวกผมพิสดารจริงๆ น้องสาวไปอยู่ฝ่ายปฏิวัติ อยู่ปฏิวัติวัฒนธรรมฝ่ายโน้น แต่ก็เห็นใจเป็นผู้หญิงจะสู้อะไรเขาได้ ตอนนั้นก็ถูกตัดขาดจากเรา ก็ไปเข้ากับพวกเขาประณามผมกับพ่อออกวิทยุปักกิ่ง เป็นพวกสมุนอเมริกา ตอนหลังน้องก็โดนเหมือนกัน อยู่ต่ออีก 2-3 ปี คือหลังจากด่าพ่อด่าพี่แล้วก็อยู่ได้อีก 2-3 ปี เขาก็จับไต๋ได้ก็ต้องออกมา (หัวเราะ) ตอนนั้นก็ไม่รู้นะ น้องก็ทำไปเอง ทำไปโดยที่อาจจะเป็นภาวการณ์ก็ได้ที่ถูกบีบ ไม่มีการมาคุยกับเราก่อน จู่ๆ ผมก็โดนจับไปเลย แต่น้องน่ะรู้แล้วแต่ไม่กล้าพูด เพราะแหม เราอยู่ในท่ามกลางสภาวะที่น่าสะพรึงกลัว ไว้ใจใครไม่ได้ พ่อแม่ยังไว้ใจกันไม่ได้เลย เมียเปิดโปงผัว ผัวเปิดโปงเมีย พ่อเปิดโปงลูก ลูกเปิดโปงพ่อ 

หลังจากถูกขับไล่ออกจากประเทศจีนเนื่องจากไปโจมตีความไม่ถูกต้องของการปฏิวัติวัฒนธรรม คุณวรรณไวเล่าว่าเขากลายเป็นบุคคลที่เป็นที่ต้องการตัวของฝ่ายสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนั้นต้องการสืบข่าวภายในประเทศจีน ตลอดจนอัธยาศัยใจคอของผู้นำจีนเพื่อเป็นประโยชน์ในการผูกมิตรกับจีน โดยหลังจากที่เขาเดินทางออกจากแผ่นดินใหญ่มาพักอยู่ที่มาเก๊าได้ระยะหนึ่ง คนของซีไอเอก็ติดต่อมาเพื่อมารับตัวไป และยังเสนอให้ไปทำงานที่อเมริกาด้วย

วรรณไว  เขาจะเอาผมไปอเมริกาให้ไปอยู่เป็นที่ปรึกษาฝ่ายจีนของทำเนียบขาว ผมไม่เอา ออกจากจงหนันไห่ไปเข้าทำเนียบขาว น่าเกลียด (หัวเราะ) แล้วผมจะมองหน้าใครได้หละ ครอบครัวนี้นี่มันอะไร เขาจะเอาผมไปออกทีวีด่าจีน ที่เราโดนมานี่เจ็บแสบใช่ไหม เขาเล่นเราแสบไหม ไล่เราออกมาอย่างนี้ ชวนไปออก (ทีวี) หน่อยได้ไหม เพราะว่าแหม ตอนนี้คอมมิวนิสต์รุกหนัก ให้เราไปช่วยบอกความเลวร้ายของจีนหน่อย แหม ถ้าผมทำอย่างนั้น ผมก็ยิ่งกว่าหมาอีก ผมทำไม่ได้หรอก 

รับใช้ชาติเมื่อไทยเริ่มสานสัมพันธ์ครั้งใหม่กับจีน

ช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ปี ค.ศ.1971-72 ดร.เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีนิกสัน ดำดินไปเจอกับท่านโจวเอินไหลที่ปักกิ่งแล้ว ในเวลาต่อมาสหรัฐอเมริกาประกาศอย่างเป็นทางการถึงการปรับความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน โลกก็เดินมาถึงจุดเปลี่ยนทันที รวดเร็วจนประเทศเล็กๆ อย่างไทยปรับตัวแทบไม่ทัน

วรรณไว  ไทยเล่นงานเขาไว้เยอะ เราด่าเขาไว้เยอะว่างั้นเถอะ ตอนนั้นรัฐบาลจอมพลถนอมก็เรียกว่าแอนตี้จีนมากทีเดียว หลายคนโกรธอเมริกามากเลย อุตส่าห์ร่วมหัวจมท้ายกันมาจะเปลี่ยนก็ไม่บอก เฉยๆ ก็แอบโผล่ไปจับมือกับเขาแล้ว ไทยก็ต้องเปลี่ยน แล้วไทยก็อยู่ใกล้ๆ กับเขาด้วย ทางจีนท่านโจวนี่ฉลาด เอาวิธีการทูตปิงปอง มือท่านนี่เหลือเกินเลย สติปัญญาท่านนี่เหลือเกินเลย รู้จักพลิกแพลงหาทางออกให้คนด้วย (หัวเราะ) หาทางออกให้ประเทศที่กลับตัวไม่ทัน เลยเปิดให้มีการแข่งขันปิงปอง ไทยเราก็จะส่งทีมปิงปองไปด้วย พอจะไปจอมพลประภาสก็บอกให้ใช้ครอบครัวคุณสังข์ เพราะเขารู้ว่าลูกอยู่ที่นั่น ตอนนั้นคุณประสิทธิ์ก็เป็นเพื่อนสนิทกับคุณพ่อ ก็บอกว่า เฮ้ย มีเรื่องใหญ่แล้วเว้ย จอมพลประภาสท่านจะให้เราไปเป็นที่ปรึกษาทีมปิงปอง ไปนี่มีทางยังไง ไปพบคุยกับผู้ใหญ่จีนไหม อยากจะปรับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน เราไม่ปรับไม่ได้แล้ว ไอ้กันมันปรับแล้ว เราอยู่คนเดียวเราตาย คุณพ่อท่านก็ช่วย คุณพ่อก็มาปรึกษาผมว่า ได้ไหม ตอนนั้นที่เมืองจีนเรายังไม่มีใครติดต่อด้วย ตอนนั้นผมก็มีทูตจีนที่ประจำอังกฤษ ลอนดอนนั่นแหละ น้องสาวผมก็อยู่ที่นั่นด้วย ก็สนิทกับทูต ผมก็บินไปที่โน่น แล้วเอาความไปบอกให้ฟังว่าตอนนี้รัฐบาลไทยกำลังจะเปลี่ยนท่าที เอาใหม่แล้ว สมัยจอมพล ป. ล่ม สมัยนี้เอาใหม่ (หัวเราะ) 

คุณวรรณไวได้ช่วยเชื่อมสะพานระหว่างรัฐบาลไทยกับผู้นำจีนในโอกาสที่จีนเชิญนักกีฬาปิงปองไปแข่งที่ปักกิ่ง (ค.ศ.1972) และในคณะนั้นมีนายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ คนสนิทของจอมพลประภาส จารุเสถียร ที่เดินทางไปกับคณะมีฐานะที่ปรึกษาทีม โดยเบื้องหลังเขาคือตัวแทนรัฐบาลไทยในการเจรจาเปิดทางเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์กับจีนครั้งใหม่

วรรณไว  ท่านโจวท่านก็ไม่เคยถือโทษ ไม่เคยไปโกรธอะไร เอ้า มาก็มา ตอนนั้นท่านเริ่มเป็นมะเร็งแล้วนะ แล้วคุณประสิทธิ์เป็นแค่ที่ปรึกษาทีมปิงปองนะ แต่ท่านให้เกียรติพบนะ ตอนนั้นพบไทย พบเฉพาะที่ปรึกษาทีมปิงปองไทยเท่านั้นเอง ก็ตอนนั้นผมไปๆ กับน้อง (ทำหน้าที่ล่าม)  

ท่านโจวก็บอกจีนต้องการเป็นมิตรกับไทยมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาอยากเป็น แต่จีนก็รู้ว่าไทยมีความลำบาก ก็ไม่อยากไปเร่งร้อนทางไทย ไทยสะดวกเมื่อไหร่ก็มา แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ไม่เป็นไร รัฐเรายังเป็นมิตรกันไม่ได้ ก็ให้ประชาชนเขาไปมาหาสู่กัน จีนก็เปิดประตูตลอด ไม่ได้ปิด ก็ตกลงกันว่างั้น จะค้าขายกันก็ได้ จะผ่านฮ่องกงก็ได้ ท่านก็หยวนทั้งนั้น แต่ว่าถ้าจะเปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนนี่ต้องตัดสัมพันธ์กับไต้หวันเท่านั้นเอง ไทยทำได้ไหม ถ้ายังทำไม่ได้ ก็อย่าเพิ่ง จีนรอได้ ท่านเป็นผู้ใหญ่ไหม ท่านไม่เร่งรัดอะไรเรา ไอ้เราซิเร่งรัด ไอ้เรากลัวแล้ว (หัวเราะ) เพราะอเมริกันไปแล้ว

ความซาบซึ้งใจต่อพ่อบุญธรรม

ณ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศจีน คุณวรรณไวได้มีโอกาสพบกับท่านนายกฯ โจวราว 4-5 ครั้ง เนื่องจากท่านโจวเป็นบุคคลที่มีภารกิจบ้านเมืองมาก ทำงานหนัก และเป็นผู้นำระดับสูงไม่สามารถเข้าพบได้ง่ายๆ

วรรณไว  ใกล้ชิดท่านคืออย่างนี้ หนึ่ง ผมไปครั้งแรกเจอท่านก่อน สอง พอคุณแม่ไปเยี่ยมท่านก็พบ แล้วก็ตอนคุณประสิทธ์ไปก็พบ แล้วท่านก็มาที่บ้าน พอบ้านเสร็จท่านก็มาดูหน่อย ถามไถ่อะไรหน่อย คืองานท่านเยอะ แต่ว่ามีอะไรนี่ท่านรู้หมด ต้องผ่านท่านหมด ผมประทับใจที่ท่านเป็นคนใจคอกว้างขวาง เป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ รู้จักเข้าใจธรรมชาติดีที่สุด ไม่ว่านายทุนท่านก็เข้าได้ เจ้าท่านก็เข้าได้ ไพร่ท่านก็เข้าได้ เข้าได้กับคนทุกคน ท่านเป็นคนนุ่มนวล เป็นผู้ดีเก่า

และความอดทนของท่าน ในยามเราอยู่ที่โน่นซนยังกะอะไร ทำของเขาพังหลายอย่าง แล้วเด็กๆ น่ะ ยิ่งมีคนมาตามใจด้วย โหย ...ใช่ไหม แล้วท่านก็อดทนนะ อีกอย่างความใจกว้างท่านไง มิตรเป็นมิตรกันแล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรยังกลับเมืองไทยไม่ได้ก็อย่าเพิ่งกลับ แม้กระทั่งคณะนักเขียน (นำโดยคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ ) ที่ไปเยือนจีนอยู่ก็เกิดจอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติขึ้น ท่านก็เชิญคนไทยว่า ขอให้ถือว่าประเทศจีนเป็นบ้านที่สองของท่านนะ ถ้าท่านคิดว่าตอนนี้ท่านอยากจะกลับไปเมืองไทย เราก็ยินดีไปส่งถึงชายแดน แต่ถ้าท่านคิดว่าไปแล้วเป็นอันตรายกับตัวท่าน ท่านจะอยู่ในเมืองจีนก่อนก็ได้ เหมือนผมนี่ ไปปีกว่าท่านจอมพล ป. หมดอำนาจไปแล้ว ถูกปฏิวัติไปแล้ว ท่านอาจจะไล่กลับไปก็ได้ จะเลี้ยงทำไมเลี้ยงเสียข้าวสุก ซนก็ซน (หัวเราะ) ดูไม่เป็นประโยชน์อะไรก็ได้ ท่านก็เลี้ยงดูอยู่ บอกไม่เป็นไร ฉันจะเลี้ยงให้ดียิ่งกว่าตอนที่พ่อเธอยังมีอำนาจอยู่อีก ท่านพูดอย่างนี้ ซึ้งไหม มันกินใจเหลือเกินนะคนเรา

แม้ว่าเวลาที่ได้พบเจอกันจะน้อยนิด แต่โอวาทที่รัฐบุรุษจีนท่านนี้ได้ฝากไว้ก็ยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจของวรรณไวจนถึงวันนี้

วรรณไว  ท่านก็บอกคุณต้องกลับไปเมืองไทยนะ คุณเป็นคนไทย เมืองจีนก็มีทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่สอดคล้องกับประเทศของท่าน สิ่งที่ไม่สอดคล้องกับประเทศของท่าน เพราะฉะนั้นอย่าเอาเสื้อนวมไปให้คนไทยใส่ เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อน เขาก็สอนเราอยู่นะ ท่านก็บอกอยู่นี่นะ เราก็ต้องกลับไปช่วยเมืองไทยนะ เป็นสะพานเชื่อม ถ้าพวกเธออยากจะตอบแทนจีน ที่ฉันอยากจะได้อย่างเดียว คือขอให้เป็นสะพานเชื่อมมิตรภาพไทยจีน เธอก็เหมือนลูกหลานจีนเหมือนกัน ก็เท่านั้น ไม่ได้ขออะไรมากไปกว่านี้ 。。。
กำลังโหลดความคิดเห็น