xs
xsm
sm
md
lg

บนเส้นทาง ‘ธารสัมพันธ์ไทยจีน’ (1)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วามสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนนั้น ได้มีมาแต่โบราณกาลนับจากสมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา เรื่อยมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จากบันทึกการเดินทางของราชทูตไทยและจีนในเอกสารโบราณ จนมาถึงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกถึงการดำเนินกิจกรรมแลกเปลี่ยนทางการค้าระหว่างชาวไทยและพ่อค้าจีน หรือแม้แต่การหลอมรวมในด้านศิลปวัฒนธรรม ประเพณีต่างๆ ที่ทุกวันนี้กลิ่นอายของวัฒนธรรมจีนที่แฝงเร้นอยู่ในงานศิลปหัตถกรรม และสถาปัตยกรรมไทย ก็ได้กลายเป็นส่วนสำคัญที่เจริญงอกงามอยู่ในวิถีชีวิตแบบไทยไปแล้ว

มีหลายครั้งที่มีผู้นำเส้นทางการผูกมิตรไมตรีระหว่างสองชาติมาเปรียบกับสายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ คำพูดเช่นนั้นดูเหมือนกำลังจะบอกว่า นับจากต้นสายจวบจนปลายน้ำย่อมมีบ้างในบางช่วงที่สายน้ำไหลรี่เชี่ยวกราก บางช่วงก็ไหลเอื่อยเรียบสงบ และในบางช่วงที่ต้องไหลผ่านเกาะแก่งหรือเลาะไปตามซอกหินผาอันคดเคี้ยว และแม้แต่ในบางช่วงก็มีที่ขาดสะบั้นลง เฉกเช่นเดียวกับเรื่องราวความเป็นไปของความสัมพันธ์ระหว่างชนชาติทั้งสองนี่เอง...

ต้นกำเนิดสายธาร

“ความจริงบุคคลต่างชาติกัน จะมีชาติใดที่รักชอบกันยืดยาวมายิ่งกว่าไทยกับจีนนี้ไม่เห็นมี ด้วยไม่เคยเป็นศัตรูกัน เคยแต่ไปมาค้าขายแลกผลประโยชน์ต่อกันมาได้หลายร้อยปี ความรู้สึกทั้งสองปกติจึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มาแต่โบราณ จนตราบเท่าทุกวันนี้ ...”

......................................................................สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

พงศาวดารจีนได้จารึกการเดินทางมาเจริญสันถวไมตรีของราชทูตจีนในดินแดนสุวรรณภูมิมาตั้งแต่ยุคชุนชิว-จั้นกั๋ว และเมื่อพระเจ้ากุบไลข่านแห่งราชสำนักหยวนส่งราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับพ่อขุนรามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัยอย่างเป็นทางการเมื่อกว่า 700 ปีก่อน ไทยและจีนก็เริ่มเปิดม่านประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างกันนับแต่นั้น

ถึงแม้ในบันทึกบางแหล่งจะระบุไม่ตรงกันถึงจำนวนครั้งในการเดินทางเพื่อเจริญสันถวไมตรีระหว่างจีนกับดินแดนเสียมทางทะเลใต้ (จีนเรียกไทยในขณะนั้น) แต่อย่างไรก็ตาม หลักฐานล้วนบ่งชี้ตรงกันว่า การไปมาหาสู่ในสมัยนั้นมีส่วนส่งเสริมให้กิจกรรมด้านการค้าระหว่างประเทศขยายตัวอย่างน่าพอใจ และยังมีการถ่ายทอดความรู้ทางศิลปหัตถกรรม คือ การทำเครื่องสังคโลกสู่ช่างสยามด้วย

ในขณะที่ การส่งราชทูตของพระเจ้ากุบไลข่านมากรุงสุโขทัยนั้นมีเป้าประสงค์เพื่อแผ่อำนาจ แต่ในราชสาสน์ของกษัตริย์กรุงสยามกลับแสดงท่าทีมีไมตรีจิตที่ต้องการเป็นมิตรกับจีนอย่างแท้จริงมากกว่าจะอ่อมน้อมยอมเป็นเมืองขึ้นของเขา สังเกตได้จากการส่งราชทูตไปจีนจำนวนครั้งมากกว่าที่จีนส่งมาสยาม พร้อมด้วยของพื้นเมืองมากมายเป็นกำนัล

เมื่อเข้าสู่สมัยกรุงศรีอยุธยาที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนยุคราชวงศ์หมิงและชิงกับกรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองอย่างสูงสุด รูปแบบความสัมพันธ์ที่โดดเด่น คือ การติดต่อค้าขายที่เจริญก้าวหน้าอย่างกว้างขวาง ตลอดระยะเวลากว่า 400 ปี กรุงศรีอยุธยาได้ส่งราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักหมิง-ชิงเพื่อการค้ากว่า 110 เที่ยว ส่วนจีนมาอยุธยาเพียง 17 ครั้ง สัมพันธภาพในสมัยนี้ราบรื่นจนมีชาวจีนอพยพมาตั้งถิ่นฐานในกรุงศรีอยุธยามากขึ้น จนกระทั่งยังมีชาวจีนเริ่มเข้ามารับราชการในฝ่ายไทยด้วย

และดังที่เราชาวไทยทราบกันดี ยุคนี้ยังเป็นยุคที่มีการค้าสำเภาจีนเกิดขึ้น การค้าสำเภาจีนนำรายได้เข้าสู่ท้องพระคลังของกรุงศรีอยุธยาอย่างมั่งคั่ง กล่าวกันว่า ดอกผลจากการค้าสำเภาจีนมีมากมายจนสามารถนำมาเป็นเบี้ยในการทำสงครามต่อต้านผู้รุกรานกรุงศรีอยุธยาในหลายๆครั้ง

อาจารย์ วรศักดิ์ มหัทธโนบล แห่งภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการค้าระหว่างไทยและจีนในยุคนั้นว่า เป็นความสัมพันธ์ใน “ระบบบรรณาการ” ตามคำจีนที่คนไทยรู้จักกันดี คือ “การจิ้มก้อง” เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะจีนถือตนว่า เป็นชาติอารยธรรมและเป็นศูนย์กลางของโลก ฉะนั้น ใครที่จะติดต่อกับเขาก็จะต้องมีบรรณาการไปจิ้มก้องเขาก่อน

อ. วรศักดิ์ ชี้แจงว่า ฝ่ายไทยนั้นก็มุ่งไปทำมาค้าขายกับจีน เพราะตอนนั้นจีนเป็นมหาอำนาจที่มีสถานะทางเศรษฐกิจที่อาจจะกล่าวได้ว่า มั่นคงและแข็งแกร่งที่สุดในโลกก็ว่าได้ ทางฝ่ายไทยเข้าใจว่า การทำการค้านั้น จีนมีเงื่อนไขของการจิ้มก้องอยู่ด้วย ก็คงไปจิ้มก้องด้วยเหตุผลที่ต้องการทำการค้า แต่ในแง่ทัศนคติของจีน จีนจะมีความคิดว่า ชาติที่อยู่นอกอารยธรรมจีน หรือนอกวัฒนธรรมจีน มักจะเป็นชาติที่ป่าเถื่อน ดังนั้นการที่จะมาเคารพคบหากันอย่างนี้ ก็จะต้องยอมรับความยิ่งใหญ่ของเขา ฉะนั้นการที่ชาติใดก็ตามไปจิ้มก้องเขา ในทัศนคติของจีน เขาก็ดูว่าชาตินั้นเป็นเสมือนหนึ่งเมืองขึ้นของเขา

ตราบจนเมื่อสมัยกรุงธนบุรีจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จีนและไทยก็ยังมีการติดต่อการค้ามากขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวจีนเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย เป็นผลพวงให้มีชาวจีนอพยพเข้ามาอาศัยในสยามถึงเกือบ 1 ล้านคน

อ. วรศักดิ์ มหัทธโนบล กล่าวถึงยุคสิ้นสุดของการค้าระบบบรรณาการ ว่า
ความเข้าใจของสยามประเทศเริ่มปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในสมัยรัตนโกสินทร์ คือ ในสมัยรัชกาลที่ 4 รัฐบาลสยามมองเห็นว่า ที่แท้แล้วการจิ้มก้องก็ไม่ต่างกับการที่ไปยกย่องจีนหรือไปยอมรับการเป็นประเทศราชจากจีนนั่นเอง ซึ่งทำให้รัฐบาลในสมัยนี้มีความไม่พอใจอย่างมาก และในที่สุดราวๆ ต้นคริสต์ทศวรรษ 1850 หรือราวๆ ค.ศ.1853 ในที่สุดทางราชสำนักไทยก็ตัดขาดความสัมพันธ์ในระบบการบรรณาการกับจีนตั้งแต่นั้นมา

เมื่อเข้าสู่ปลายรัชกาลแห่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระบบบรรณาการเพื่อการค้าก็เริ่มเสื่อมลง สยามเริ่มหันมาทำการค้ากับพ่อค้าชาวตะวันตกมากขึ้น การแต่งเรือสำเภาไปค้าขายกับจีนก็ลดน้อยลงตามกาลเวลา ประกอบกับประเทศจีนต้องเผชิญกับปัญหาภายในประเทศและการคุกคามจากลัทธิจักรวรรดินิยม ( ภายหลังพ่ายแพ้ต่ออังกฤษในสงครามฝิ่น ราชสำนักชิงอ่อนแอลงอย่างมาก ) เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประเทศที่ติดต่อกับสยาม รัชกาลที่ 4 จึงทรงยุติการส่งทูตและการค้ากับจีน โดยส่งทูตไปจีนเป็นครั้งสุดท้ายในปีพ.ศ.2396 (ค.ศ.1853)

สายธารขาดสะบั้น

การติดต่อทางการค้าระหว่างไทยกับจีนยังคงดำเนินเรื่อยมาจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงแม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในจีน คณะปฏิวัติล้มล้างการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มากว่าพันๆปีลง และก่อตั้งสาธารณรัฐจีนใหม่ โดยมีประธานาธิบดีคนแรกคือ ดร.ซุนยัตเซ็น ในเวลานั้นก็ยังมีการติดต่อไปมาหาสู่ของชาวจีนและไทย และมีชาวจีนเข้ามาอาศัยในประเทศไทยอยู่มาก

จนเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1939-1945) ยามที่โลกแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน เหตุการณ์ทางการเมืองในจีนต่างกรรมต่างวาระที่สร้างความหวาดระแวงให้แก่รัฐบาลไทย ได้ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนทวีความหวั่นไหวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประการแรก ชัยชนะของดร.ซุนยัตเซ็นที่ก่อให้เกิดกระแสชาตินิยมรุนแรงในจีน ได้แผ่ขยายเข้ามาในกลุ่มพี่น้องชาวจีนในไทย ทำให้รัฐบาลไทยเกรงว่าจีนจะใช้ประโยชน์จากชาวจีนโพ้นทะเลในไทยแทรกแซงกิจการภายในประเทศ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายหลังอีกครั้ง เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งชาติจีนสามารถยึดครองแผ่นดินใหญ่ไว้ทั้งหมด และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนสำเร็จ (ค.ศ.1949) (อ่านบทความประกอบ ‘อนุทินเฉลิมฉลองวันชาติจีน’ )

อีกประการหนึ่ง การเข้าสู่สงครามเกาหลีตลอดจน ‘การเข้าปลดปล่อยทิเบต’ ของจีน (ค.ศ.1950) ทำให้ไทยหวาดระแวงว่าจีนกำลังจะแผ่ขยายอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประการสุดท้าย รัฐบาลไทยเข้าใจว่า การก่อตั้งเขตปกครองตนเองชนชาติไตในประเทศจีน (เขตปกครองตนเองชนชาติไต สิบสองปันนา ก่อตั้งขึ้นเป็นเขตปกครองตนเองของชนชาติส่วนน้อยในเมืองสิบสองปันนาหรือซีซวงปั่นน่า เมื่อปีพ.ศ.2496 (ค.ศ.1953) มีเมือง จิ่งหง หรือเชียงรุ่งเป็นศูนย์กลาง) อาจเป็นก้าวแรกของการรุกรานประเทศไทย ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงปรับเปลี่ยนท่าทีโดยมีนโยบายหลักด้านการต่างประเทศหันไปเป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกา และฝักใฝ่โลกฝ่ายเสรีหรือทุนนิยม

เมื่อโลกตกอยู่ท่ามกลางสงครามเย็น จีนและไทยต่างจำต้องเลือกยืนอยู่คนละขั้ว ในขณะที่จีนมีนโยบายต่างประเทศพึ่งพิงอดีตสหภาพโซเวียต ที่มีอุดมการณ์สังคมนิยมเหมือนกัน พ.ศ.2492 (ค.ศ.1949) หลังสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งชาติ เหมาเจ๋อตงเดินทางไปจับมือกับสตาลิน ( ธันวาคม ค.ศ.1949 - กุมภาพันธ์ ค.ศ.1950 ) เพื่อหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ส่วนรัฐบาลไทยมีนโยบายโน้มเอียงไปทางสหรัฐอเมริกา โดยต่อมาได้สมัครเข้าอยู่ในองค์การซีโต้ (SEATO Southeast Asia Treaty Organization) ในปีพ.ศ.2497 (ค.ศ.1954) ซึ่งเป็นองค์การความมั่นคงร่วมกันระดับภูมิภาคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จัดตั้งขึ้นโดยการริเริ่มของประเทศสหรัฐอเมริกา มีเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อสกัดกั้นและขัดขวางการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ของจีนและเวียดนามเหนือ

สืบเนื่องจากภาวการณ์ต่างๆเหล่านี้เอง เดิมทีที่ไทยเคยให้การรับรองรัฐบาลเจียงไคเช็คที่หนันจิง(นานกิง) ต่อเมื่อสงครามกลางเมืองทำให้จีนแตกแยกเป็นจีนไต้หวันและจีนแดงคอมมิวนิสต์ ไทยจึงยังคงรับรองรัฐบาลไต้หวันซึ่งอยู่ในค่ายเสรีนิยมเช่นเดียวกัน และไต้หวันยังเป็นรัฐบาลของฝ่ายผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติด้วย ด้านจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกัน ซึ่งเพิ่งเริ่มก่อตั้งในเวลานั้นก็ยังไม่มีความสัมพันธ์ใดใดกับไทย

เมื่อไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ การติดต่อไปมาระหว่างจีนแดงและไทยของประชาชนในสมัยนั้นต้องเป็นไปอย่างหลบๆซ่อนๆและเต็มไปด้วยอุปสรรคอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เกิดสัญญาณบางอย่างที่ทำให้จีนแดงและไทยเริ่มเปิดประตูความสัมพันธ์กันอย่างลับๆ


หนังสือและแหล่งข้อมูลอ้างอิง :

- บทความ ‘สัมพันธไมตรีไทย-จีน ทศวรรษแห่งมิตรภาพ พ.ศ.2518-2528’ โดย จุลชีพ ชินวรรโณ สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- วารสาร ‘วารสารเอเชียตะวันออกศึกษา’ ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2533 สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- หนังสือ ‘จีน – ไทย ในศตวรรษที่ 21’ โดย ศูนย์จีนศึกษาสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2542
- เอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการ ‘บนเส้นทางความสัมพันธ์ไทย – จีน’ โดย ศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) พ.ศ.2548
- ข้อมูลจากเว็บไซต์ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ขอขอบคุณ :
อาจารย์ วรศักดิ์ มหัทธโนบล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กำลังโหลดความคิดเห็น