ศตวรรษภาพยนตร์จีน (6) / คาดว่าเพื่อนๆชาวเว็บ ‘มุมจีน’ คงรู้จักและได้ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับจีนๆจากชายผู้ใช้นามปากกาว่า ‘เรืองรอง รุ่งรัศมี’ ผู้นี้ไม่น้อยแล้ว นักเขียนอารมณ์ศิลป์ผู้นี้มีผลงานวรรณกรรมหลายชิ้น บางเรื่องเป็นงานแปล บทกวี และบทความเกี่ยวกับหนังจีน เพลงจีน ชาจีน ฯลฯ ที่สื่อถึงขุมปัญญาด้านศิลปะวรรณกรรมของจีน
ผลงานหลายต่อหลายเล่มของเขาที่ตีพิมพ์ออกมาสู่สายตาผู้อ่าน อาทิ ‘เดือน...ดาว...ในเงาฟิล์ม’ (พ.ศ.2542) ‘รวยรินกลิ่นชา’ (พ.ศ.2543) งานแปล ‘เดียวดายใต้เงาจันทร์’ ‘ความลับของทะเล’ (พ.ศ.2546) ฯลฯ และงานเขียนคอลัมน์ใน ‘เนชั่น สุดสัปดาห์’ เขายังเคยจัดรายการวิทยุด้วย
คุณเรืองรอง ยังเป็นแฟนหนังจีนตัวยงและยังเป็นผู้เข้าใจภาษาจีนอย่างลึกซึ้ง ค่ำวันหนึ่งกลางเดือนเมษายน ‘มุมจีน’ จึงหาโอกาสไปพบปะสนทนากับคุณเรืองรอง และได้ถามไถ่ถึงหนังในดวงใจและดาราที่เขาชื่นชอบ
เราเริ่มต้นด้วยคำถามสบายๆ หลังจากนั้นการสนทนาก็ดำเนินไปอย่างเป็นกันเอง เราเพลิดเพลินกับหนังจีนที่น่าดูหลายเรื่อง และได้รู้จักผู้กำกับจีนชื่อแปลกหูอีกหลายท่าน รวมถึงแหล่งหาหนังจีนดีๆดู และเหนืออื่นใดเราได้เต็มอิ่มกับสาระเกี่ยวกับการดูหนังจีนในบ้านเรา ที่สอดแทรกอยู่ในทัศนะของเขาตลอดการสนทนากว่า 1 ชั่วโมง จนอยากจะแบ่งปันให้ชาวเว็บ ‘มุมจีน’ ได้รับประสบการณ์นั้นด้วย....

ดาราจีนที่พี่ชื่นชอบตอนนี้คือใครคะ
เก่อโยว (葛优) เขาเป็นนักแสดงที่หน้าตาจริงๆไม่หล่อนะ แต่เขาเป็นนักแสดงหมายเลขหนึ่งฝ่ายชายของจีน คนที่เล่น ‘Farewell to My Concubine’ เป็นก๊กมินตั๋ง ที่เป็นขุนทหารที่ชอบงิ้ว เล่น ‘หัวเจอะ’ 活着 เป็นตัวเอก เขาจะเป็นดาราคู่บุญกับผู้กำกับชื่อ เฝิงเสี่ยวกัง (冯小刚) เก่อโยวเป็นนักแสดงที่เมื่อเข้าไปอยู่ในบทไหนเราจะคิดไม่ถึงว่าเรื่องที่แล้วเขาเป็นยังงั๊น มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วเขาก็เนียน หนังที่เก่อโยวเล่นก็ค่อนข้างมีเนื้อน่าสนใจ เขาเล่นได้ทุกแนวเลย เขาเป็นตั้งแต่ มาเฟียเรียกค่าไถ่เครื่องบิน จนเป็นขุนนาง จนเป็นคนไม่เอาไหน เป็นได้ทุกบท

ที่พี่ชอบเขาที่สุดบทอะไรคะ
ผมเริ่มตามงานเขาจากเรื่อง ‘หัวเจอะ’ (活着) To Live หลังจากนั้นผมมาเห็นเขา ไม่รู้ว่าดูเรื่องไหนก่อนนะ ใน Farewell to My Concubine ผมคิดไม่ถึงว่าเป็นคนเดียวกัน แล้วผมก็ตามเจอหนังเรื่องอื่นๆของเขา เขาเป็นคนเล่นหนังสนุก ในจีนนี่เขาดังอันดับหนึ่งเลย เขาเป็นดาราหมายเลขหนึ่งทั้งทำเงินทั้งเก่ง คนไทยไม่รู้จัก เพราะว่าคนไทยรู้จักหนังจีนน้อย แต่ว่าถ้าคนที่ดูหนังจีนที่ไม่ใช่คนไทย เท่าที่ผมอ่านบทความนี่เขาจะชื่นชมเก่อโยวสูง คนไทยรู้จักหนังจีนเฉพาะกลุ่มเล็กมาก อย่างเช่น ผู้กำกับก็รู้จักแต่ จางอี้โหมว ซึ่งมันมีอีก มันมีคนอื่นอีก
พี่ช่วยแนะนำให้เรารู้จักดีไหมคะ
อย่างเช่น ผู้กำกับ ที่ผมสนใจคนหนึ่งคือ เฝิงเสี่ยวกัง เขาจะได้โปรแกรมประมาณตรุษจีนหรือปีใหม่ทุกปี เป็นผู้กำกับที่ทำเงินมาก ป๊อปมาก แต่ว่าหนังเขาก็จะมีอะไรแปลกๆ ที่น่าสนใจ หนังของเขาเป็นหนังกึ่งๆตลาด กึ่งๆนอกตลาด แต่เป็นหนังทำเงินที่ดูสนุก แล้วมีอะไรให้คิด
เหมาะกับตลาดของจีนเหรอคะ
ตลาดแบบของเราเลยแหละ เราไม่รู้จักเอง อย่างเช่น มันมีอยู่เรื่องนึงของ เฝิงเสี่ยวกัง ชื่อ ปู๋เจี้ยนปู๋ซ่าน (不见不散) เป็นหนังดูเฮฮามาก ปู๋เจี้ยนปู่ซ่าน มันเป็นเรื่องแบบ เมโลดราม่า แบบหลอกให้หัวเราะ นี่ก็เป็นเรื่องนึงที่เก่อโยวเล่น หนังของเฝิงเสี่ยวกังเป็นหนังที่ค่อนข้างโทนแบบแล้วแต่ใครจะดูเอาสนุกอย่างเดียว หรือบางเรื่องก็มีอะไร Satire (เหน็บแนม เสียดสี) จะเป็นคนที่ทำหนังที่มันมีอารมณ์ตลก อย่างเช่นที่ผมค่อนข้างชอบมากคือ เจี่ยฟางอี่ฟาง (甲方乙方) เขาจะจับเอาการ satire คนชอบบอกว่า เอ้ย ! เรารวยเราไม่ชอบ เราชอบไปอยู่แบบไม่กินเนื้อไม่กินอะไร หนังมันก็จะสมมติสถานการณ์ แล้วก็ตัวเก่อโยวนี่จะเปิดบริษัทเพื่อเปลี่ยนสถานการณ์ให้

สมมติ เป็นคนไม่ชอบเป็นข่าว ก็จับมันไปอยู่ในที่ๆไม่เป็นข่าวจริงๆเลย เซ็นสัญญาเลย หนังมันจะสร้างเรื่องสมมติ จับเอาสิ่งที่คนรวยคนมีชื่อเสียงชอบพูดพร่อย เพื่อเอาเท่ ไปทิ้งไว้ในสถานการณ์นั้น แล้วจะเปิดด้านมืดของคน เป็น black humour ตลกที่ขมขื่นหนะ ซึ่งผมรู้สึกว่า คนนี้มองโลกแบบมันดี แล้วเขาทำได้สนุก เป็นหนังที่ดูง่ายมาก ดูแค่ไม่คิดก็สนุก แต่บางเรื่องก็ดูแบบมึนเหมือนกัน มีหลายเรื่อง
เขาเป็นผู้กำกับรุ่นไหนคะ ยุคใหม่หรือเปล่า
ยุคใหม่เลย เขาเป็นผู้กำกับดังประเภทว่า เราไปเมืองจีนแล้วเราซื้อหนังเขาได้เป็นแพ็ค หนังของเฝิงเสี่ยวกังนี่หาง่าย เผลอๆจะหาง่ายกว่าจางอี้โหมวอีก ถ้าเทียบกับจางอี้โหมว ผมว่าเฝิงเสี่ยวกังน่าจะได้รับการยอมรับในวงกว้างของประชาชน จางอี้โหมวอาจจะเป็นผู้ได้รับการยอมรับในลักษณะข้ามชาติ หรือว่าฝรั่ง(ยอมรับ) แต่ว่าเฝิงเสี่ยวกังน่าจะเป็นฮีโร่ของคนจีน

พี่คิดว่าหนังของเขา (เฝิงเสี่ยวกัง) ฝรั่งยอมรับได้ไหม ถ้าจะออกนอกประเทศ
ฝรั่งเนี๊ยะ จะมีจุดอ่อนอยู่จุดนึง ฝรั่งมีลัทธิเหยียดผิวอยู่ในใจ และเฝิงเสี่ยวกังนี่ลักษณะหนังของเขามีลักษณะที่เอื้อให้ฝรั่งรู้สึกดูถูก เพราะมันเหมือนหนังตลาด ไม่เหมือนหนังของเฉินข่ายเกอ ซึ่งพยายามไปเอารสนิยมอเมริกัน แต่เฝิงเสี่ยวกังไม่สนเลย ทำแบบชาวบ้านจีนเลย แบบออกงิ้วออกอะไรได้หมด ซึ่งผมค่อนข้างชื่นชมว่าเขากล้ากว่า เขาชัดกว่าว่าเขาเป็นคนจีนที่ทำหนังให้คนจีนดู ไม่ประจบฝรั่ง แต่เฝิงเสี่ยวกังเคยไปทำหนังชุดคนจีนในนิวยอร์ก เคยทำหนังที่เมืองนอก
แล้วถ้าหนังเขามาเมืองไทยล่ะคะ
ถ้าหนังเขามาเมืองไทย นักวิจารณ์ไทยคงไม่ทึ่ง เพราะนักวิจารณ์ไทยมีทัศนะตามฝรั่ง เพราะมันเป็นเหมือนหนังไทยสมัยก่อน หนังเขาเทียบกับหนังไทยตอนนี้นึกไม่ออก แต่ไม่มีโทนของผู้กำกับไทยในปัจจุบัน

ถ้าเทียบกับ ‘แฟนฉัน’ อาจพอได้ไหม
ไม่ได้ ‘แฟนฉัน’ เป็นหนังโฆษณา ไม่ใช่หนังเรื่อง ถ้าเทียบเฝิงเสี่ยวกัง ผมว่าดูถูกเฝิงเสี่ยวกังมากไปหน่อย เพราะหนังเฝิงเสี่ยวกังมีเนื้อ ‘แฟนฉัน’ ไม่มีเนื้อ ถ้าเราเปรียบเทียบหนังจีนกับหนังไทยนะ จุดหนึ่ง หนังจีนยังอยู่ในคติของ ‘เหวินอี่ไจ่เต้า' (文以载道 ) ก็คือ คติของจีน ถ้าเขียนหนังสือมันก็ต้องนำพาหลักคิดเนื้อหาไป หนังก็เหมือนกัน หนังจีนถึงยังไงมันก็จะมีเนื้อ มันไม่ใช่ทำเท่เฉยๆ ซึ่งตรงนี้มันต่างกันกับหนังไทย ต่างกับ ‘แฟนฉัน’
‘แฟนฉัน’ เริ่มต้นโจทย์โดยเอาเทปมากี่เพลงเรียง แล้วก็ร้อยให้มันเป็นเรื่อง ซึ่งมันเป็นวิธีหนึ่งของการทำหนังของเรา ซึ่งผมว่าเฝิงเสี่ยวกังไม่มีวิธีคิดเช่นนั้น เฝิงเสี่ยวกังมักจะเริ่มต้นคิดจากจุดจุดหนึ่งที่เป็นเนื้ออะไรซักอย่างนึง อย่าง 甲方乙方 (เจี่ยฟางอี่ฟาง) มันชัดมาก เริ่มต้นจาก สมมติว่าวันหนึ่งฉันไปอยู่ในที่ๆไม่มีนักข่าว แล้วมันก็เดินเรื่อง มันคือเนื้อความคิด เพียงแต่เขาปรุงเนื้อนั้นให้เป็นเรื่องสนุก เรื่องตลก
อ่านต่อหน้า 2

ชื่อเรื่องนี้สะท้อนอะไรคะ ‘เจี่ยฟางอี่ฟาง’
มันเป็นภาษากฎหมาย ฝ่าย ก. ฝ่าย ข. ฝ่ายโจทก์ ฝ่ายจำเลย แต่จริงๆในนั้น (ในหนัง) คือฝ่ายสัญญา เจี่ยฟาง กับอี่ฟาง คือ ฝ่ายผู้รับสัญญา บริษัทนี้ก็ทำตามความฝันคุณ ที่คุณพูดพร่อยๆว่าคุณอยากไม่เป็นข่าว คนกินเนื้อเลี่ยนแล้วคุณอยากไปกินอย่างคนจน บริษัทเขาก็จัดให้ ซึ่งผมดูหนังแบบนี้แล้วรู้สึกว่าสะใจ มันเป็นตลกที่เออ มันตบหน้าคนชั้นกลางได้ตรงดี
ผมตามหางานของผู้กำกับอีกคน ชื่อ หลี่เส้าหง ( 李少红 ) ได้ดูแค่เรื่องเดียว รุ่นเดียวกับจางอี้โหมว พวกนี้เป็นพวกเพื่อนจางอี้โหมว ผมได้ดูหนังเขาเรื่องเดียว ชื่อเรื่อง ‘เสี่ยว์เซ่อชิงเฉิน’ ( 血色清晨 The Bloody Morning ค.ศ.1990 ) ถ้าจำไม่ผิดทำมาจากเรื่องสั้นของ กอร์กี้ ชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘Bloody Sunday’ ผู้กำกับเป็นผู้หญิง ซึ่งน่าสนใจสำหรับวิธีคิดผม เป็นคนทำหนังที่จริงจังมาก ไม่ค่อยบันเทิง อาจจะเพราะจริงจังก็เลยไม่ทำเงิน แต่ว่าน่าสนใจ
ถ้าหนังจีนไม่แยกประเทศนะ ผมก็พยายามตามหาหนังของจางอ้ายเจีย (张艾嘉) จางอ้ายเจีย เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเริ่มจากบทนางเอก วันหนึ่งจางอ้ายเจียขยับไปเป็นผู้กำกับ ที่น่าสนใจสำหรับผม หนังเขาถึงจะไม่ลงตัวเต็มที่แต่ว่าบางเรื่องก็ทำได้รางวัล
พี่ได้มีโอกาสดูหนังเก่าๆบ้างไหมคะ
ดูฮะ อย่างที่หนังที่ หร่วนหลิงอี้ว์ (阮玲玉) เล่นก็เคยดู หนังที่โจวเสวียน (周璇 ) เล่นก็ดู

ความเป็นอมตะของดาราจีนหรือหนังจีนยุคเก่าคืออะไร
เราต้องกลับไปมองวัฒนธรรมพื้นฐานของจีน จีนมีห้องสมุดตั้งแต่ยุคของจิ๋นซีฮ่องเต้ ก่อนหน้านั้นอีก เมื่อ 2, 000-3,000 ปีที่แล้วประเทศนั้นมีห้องสมุด การมีห้องสมุดมันต่างจากการเรียนหนังสือ ห้องสมุดก็เอาหนังสือจัดเป็นกลุ่มเข้าตู้แล้ว แม้รูปแบบหนังสือจะเป็นม้วนๆแต่มันมีการจัดหมวดหมู่ เพราะฉะนั้นระบบคิดของคนมันต่างกัน เมื่อมันมีห้องสมุดมีระบบคิดพวกนี้ มันจะไม่เป็นมวยวัด
การเข้ามาของวัฒนธรรมหนัง มันไม่ได้เข้าไปในฐานะของเล่นอย่างเดียว ของเรานี่มันเข้ามาในฐานะของเล่นนะฮะ แต่หนังหรือเพลงมันเข้าไปในฐานะศาสตร์และศิลป์ มันมีสถาบันรองรับ มีบทความวิชาการรองรับ มีการเรียนรู้เชิงวิชาการ
เมืองไทยเพิ่งมายุคใกล้ๆ 2000 นี้ถึงมีการเรียนรู้ แต่ประเทศไทยก็ยังไม่มีห้องสมุดเป็นจริงเป็นจัง แต่ของเขามีห้องสมุดมาเมื่อ 2000-3000 ปี แล้วเมื่อเพลงแจ๊สเข้าไป เพลงคลาสิกเข้าไป เขาเปิดโรงเรียน เขาไม่ได้สอนแค่ลีลาศ เขาสอนทฤษฎี ดนตรี เขาปรับเครื่องดนตรีเข้ากับโน้ตสากล แล้วเขาก็สร้างทฤษฎีของเขากับของตะวันตก มันมีทฤษฎี มันมีวิชาการรองรับอยู่ เมื่อมันมีทฤษฎีมีวิชาการมันจะเริ่มต้นจากรากตรงนั้น ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเขามีราก
เขาดูหนังฝรั่งเขาก็เรียนรู้ด้วย แล้วก็ไปประกอบกับวิชาทางด้านการร้องงิ้ว มันก็จะค่อยๆเคล้ากัน

พี่สนใจหนังกำลังภายในหรือเปล่าคะ
ผมชอบมาก
ช่วยเล่าเรื่องของบริษัท ชอว์ บราเดอร์ส ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ
ชอว์ บราเดอร์ส ( 邵氏- Shaw Bros (HK) Ltd. ) เดิมก่อนที่จะมาฮ่องกงมันอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ตระกูลชอว์ หรือ เส้า (สำเนียงจีนกลาง 邵 ) เขาเป็นตระกูลใหญ่ที่มีตังค์และก็ชอบหนัง เขาทำบริษัททำหนัง ทำโรงหนังมาก่อนที่เซี่ยงไฮ้ ชื่อบริษัทเทียนอี (天一) นั่นคือ ยุคก่อนที่จะเป็นชอว์ บราเดอร์ส เขาก็ทำหนังมาก่อน เขาลงทุนในกิจการหนัง แล้ว วันนึงก็เกิดสงครามก็ย้ายฐานมาฮ่องกง กับมาเลเซีย สิงคโปร์ เขาทำโรงถ่าย ก็ย้ายคนจำนวนหนึ่งที่เป็นบุคลากรจากเมืองจีน เขาใช้ลักษณะแบบโรงถ่ายแบบผูกสัญญากัน มีคนมีฝีมือเยอะในชอว์ บราเดอร์ส
ยุคแรกๆส่วนหนึ่งก็มาจากเซี่ยงไฮ้ พวกผู้กำกับรุ่นแรกเบื้องต้น อย่างเช่น หลี่ฮั่นเสียง (李翰祥) หูจินเฉวียน (胡金铨) พวกนี้เป็นนักศึกษาที่เรียนศิลปะสมัยตั้งแต่อยู่เมืองจีน แล้วก็เข้ามาทำงานในกองถ่าย จนไต่ขึ้นมาเป็นผู้กำกับ เบสิกเชิงศิลปะพวกนี้จะดี และพวกนี้เป็นนักอ่าน เป็นนักค้น เป็นปัญญาชนนักคิด ก็จะมีเนื้อความคิดที่ค่อนข้างมีเนื้อเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วก็ประวัติศาสตร์จีน มันมีเนื้อเรื่องให้หยิบมาทำเยอะ นิทานพื้นบ้านมันมีให้หยิบมาทำเยอะ หลี่ฮั่นเสียง ก็จะหยิบอย่างเช่น ‘เจียงซันเหม่ยเหยิน’ ( 江山美人ชื่อไทย ‘จอมใจจักรพรรดิ’ The Kingdom and the Beauty ค.ศ.1959 ) หยิบมาจากเรื่อง ‘เฉียนหลงเจี้ยเจียงหนัน’ มาจีบสาวชาวบ้าน ทำสาวชาวบ้านท้อง ท้องแล้วทิ้ง
แรกๆเขาชอบทำเรื่องจักรๆวงศ์ๆ
ใช่มันเป็นจุดขาย แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ทำแต่เฉพาะหนังแบบนั้น ก็ทำหนังสมัยใหม่ด้วย หนังสายลับ เขาทำหนังทุกประเภท แต่เขาเป็นบริษัทใหญ่ ที่มีโรงถ่ายของตนเอง มีวิธีการจัดการเชิงธุรกิจที่แบบล้ำสมัยในเวลาของเขา เขามีทุกอย่างเลย แล้วก็มีนักแสดงในสังกัด แล้วก็มีชั้นเรียน แบบอย่างที่ไทยเรามีโรงเรียนการแสดงก็รับอิทธิพลวิธีคิดจากพวกนั้นมา แล้วการที่เขาจับตลาดเรื่องที่มันเกี่ยวกับขนบธรรมเนียม เกี่ยวกับเทพนิยาย มันเป็นช่วงเวลาที่คนจีนที่อพยพออกมาหลังสงคราม เหมือนได้ชดเชยด้วย มันเป็นความบันเทิงที่ทำให้หายคิดถึง
หนังชอว์ บราเดอร์ส เรากลับไปดูเราจะเห็นบางอย่างที่พิถีพิถัน แม้ว่ามันจะดูพ้นสมัย หรือว่าเชย แต่หลายเรื่องบทมันดีมาก การถ่ายทำดี อย่างเช่นหลังสุด ผมเอาหนังมาเทียบ ผมเอาหนังเรื่อง 倩女幽魂 (เชี่ยนหนี่ว์โยวหุน) ซึ่งตอนหลังมันมาทำอีกทีนึง โดยฉีเคอะ (徐克 สีว์เค่อ ) ชื่อไทยเป็น ‘โปเยโปโลเย’ ผมดูหนังสองอันนี้เทียบกัน แล้วผมไม่ทึ่งฉีเคอะเลย ผมทึ่งอันเดิมมากว่า เพราะมันบนเทคนิคพื้นๆ ตั้งกล้องธรรมดา มันทำได้จริงจังแล้วสวย ถ่ายสวยมาก แล้วเรื่องมันแข็งแรง แบบเขย่าแล้วไม่ล้มง่ายๆ แล้วยังดูสนุก และที่สำคัญกว่านั้นคือ มันถอดกลิ่นในหนังสือออกมา เรื่องเสียดสีสังคม น่าสนใจในแง่บท

คนที่รู้จักหนังชอว์ บราเดอร์ส แบบไม่ใช่หนังกำลังภายในก็มีเยอะ แต่คนพวกนั้นเป็นคนที่ดูหนังเสียงในฟิล์มไม่ใช่ดูหนังพากย์ ถ้าไปถามคนที่ดูหนังแบบไม่ต้องพากย์ เขาจะจำ ‘เหลียงซันป๋ออี่จู้อิงไถ’ (梁山伯与祝英台 ชื่อไทย ‘ม่านประเพณี’ The Love Eterne ค.ศ.1963 ) ได้ เขาจะจำ ‘ซานเกอเลี่ยน’ (山歌恋 ค.ศ.1964 ) ได้ เขาจะจำ ‘สือเอ้อจินไผ’ ( 十二金牌 ราวค.ศ.1970-73 ) แต่คนที่ดูโดยต้องดูพากย์ บางทีมันไปประทับใจเรื่องรายละเอียดทางถ้อยคำไม่ได้
อย่างถ้าเราไปดู ‘เหลียงซันป๋อฯ’ มันก็เหมือนเพลงยาวที่เพราะๆ ซึ่งใครไปอ่านซับไตเติ้ลไทย จะไปประทับใจเท่าคนฟังออกได้ยังไง ถึงจะแปลดียังไงก็จริง มันผ่านอีกชั้นนึง มันก็ธรรมดาที่เราจะประทับใจกับหนังกำลังภายในมากกว่า เพราะเรื่องคุณธรรมมันจะแจ้งกว่า
ไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้ชอว์ฯยังทำหนังอยู่หรือเปล่า
ชอว์ บราเดอร์สยังอยู่ แต่เขาปรับนโยบาย ก่อนที่เทคโนโลยีมันจะเปลี่ยนมาถึงวันนี้ ผู้บริหารของชอว์ บราเดอร์ส เป็นคนที่มีวิชั่นสูงมาก เพราะว่าเทคโนโลยีวีดิโอมันเข้ามา มันก็ทำให้คนเดินไปโรงหนังน้อยลง ซึ่งชอว์ บราเดอร์ส เขามองเห็นตรงนั้นเร็วมากแล้วเขาตัดสินใจเร็ว บริษัทที่เคยสร้างหนังเป็นร้อยๆเรื่องต่อปี วันนึงก็ไปลงทุนในกิจการโทรทัศน์ที่ฮ่องกง โทรทัศน์ฮ่องกงดังๆที่เราดูกันอยู่ทุกวันนี้ หนังชุดนี่แหละ ผมไม่แน่ใจ ทีวีบีหรือเอทีวีนี่แหละอันใดอันหนึ่ง มันคืออีกภาคหนึ่งของชอว์ บราเดอร์
เขาหันไปทำทีวี เขาลดปริมาณการทำหนังโรงลง เขาจะเปลี่ยนนโยบายจากทำหนังเยอะๆมาทำหนังเยี่ยมๆ อย่างเช่น ‘เปี่ยนเหลี่ยน’ ( 变脸 The King of Masks ค.ศ.1996 ) ยุคหลังนี่หนังที่ปั๊ม ‘ชอว์ บราเดอร์ส’ เป็นหนังที่รับประกัน
หนังที่พี่ประทับใจของชอว์ บราเดอร์ส มีเรื่องอะไรบ้างคะ
โห ผมชอบเยอะครับ ถ้ากำลังภายในผมชอบ ‘เดชไอ้ด้วน ภาคแรก’ ( 独臂刀 ค.ศ.1967 ) บทมันดีมาก เดชไอ้ด้วนภาคหวังอยู่ภาคแรกหนะ แล้วก็เดชไอ้ด้วนภาคเดวิด เจียงก็ดีมาก เดชไอ้ด้วนสองภาคนี่ดีมาก หนังชอว์ บราเดอร์ส ดีๆเยอะมาก โดยเฉพาะเดชไอ้ด้วนนี่ ถ้ากลับไปดูด้วยใจสงบ และดูบท ดูความเป็นหนังโดยไม่ต้องดูเอฟเฟค มันเยี่ยมมาก

แล้วคนเล่นแสดงดีไหมคะ
ดี ลงตัวหมดเลย ลงตัวทั้งการกำกับ ทั้งการถ่ายทำ คือ เป็นหนังที่สมบูรณ์ แล้วเป็นหนังตลาดสนุกด้วย เก่ง ยิ่งถ้าเราดูเดชไอ้ด้วน ฉบับแรก กับฉบับเดวิดเจียง ก็ยิ่งทึ่ง เพราะเป็นผู้กำกับคนเดียวกัน และพยายามลบเดชไอ้ด้วนอันเก่าเพื่อทำเดชไอ้ด้วนอันใหม่ มันยิ่งเห็นเนื้อของสมองกับฝีมือ ดูแบบไม่ใช่ดูหนังเรื่องเดียว ดูไปถึงการคิดของคน มันยิ่งสนุก
ดาราดังๆของชอว์ บราเดอร์สมีหวังอยู่ ( 王羽 หวังอี่ว์ ) หลินปอ เจิ้งเพ่ยเพ่ย จริงๆแล้วก่อนหน้านั้นคือ หลินไต้ กวนซัน แล้วค่อยมายุคหลัง เดวิดเจียง ตี้หลุง
อ่านต่อหน้า 3

ตอนนี้พี่ติดตามดูหนังอะไรหรือประเภทไหนโดยเฉพาะอยู่หรือคะ
เอ่อ ดูเป็นเรื่อง ถ้าผู้กำกับก็พยายามตามหา ของเฝิงเสี่ยวกัง กับหลี่เส้าหง จางอี้โหมวนี่ตามมาต่อเนื่อง แต่บางคนคงไม่ตามแล้ว คงไม่สนใจแล้ว อย่างเช่น เฉินข่ายเกอ คิดว่าเขาคงไม่มีอะไรที่ผมอยากดู อีกคนที่อยากดู คือ จางหยวน (张元) อยากดูงานเก่า งานเริ่มต้น ที่เป็นขาวดำ เรื่อง ‘กว่างฉั่ง’ (广场) กับเรื่อง ‘มามา’ ( 妈妈 ) หรือ ‘หมู่ชิน’ ไม่แน่ใจ จริงๆยังมีอีกแหละ ของไต้หวันก็มีน่าสนใจ บางคนก็ตายไปแล้ว อย่าง หูจินเฉวียน แต่ยังหาหนังไม่ครบ เป็นผู้กำกับที่ผมสนใจมาก แต่หาหนังไม่ได้ครบ เป็นหนังกำลังภายในที่ไม่บู๊ มันออกมาฟอร์มกำลังภายในแต่ว่าฟันกันน้อยมาก เป็นหนังแบบเชิงความคิด เชิงปรัชญา เชิงเซ็น เชิงเต๋า
หนังแนวนี้มันจะเริ่มเห็นตั้งแต่เรื่อง A Touch of Zen 侠女 (เสียหนี่ว์) มันเริ่มออกอิทธิพลวิธีคิดแบบเต๋าแบบเซน เรื่องนี้ได้รับรางวัลด้านเทคนิค ที่เมืองคานส์
ถ้าเราดู 侠女 (เสียหนี่ว์) อย่างละเอียด เราจะเห็นเงาของ เสียหนี่ว์ อยู่ใน Crouching Tiger เราจะเห็นการก๊อปปี้ลีลาหลายๆอย่างอยู่ในนั้น แต่ว่ามันสร้างคนละยุค มันก็ได้เปรียบกว่า มันทันสมัยกว่า เสียหนี่ว์ ยังดูแบบเชยๆอยู่ แต่ว่าหลังจากนั้น หูจินเฉวียน ทำหนังอีกสองสามเรื่องที่น่าสนใจ เคยดูแต่ว่าหาดูใหม่ไม่ได้ โดยเฉพาะ ‘คงซันหลิงอี่ว์’ มันถ่ายเหมือนภาพวาด แล้วถ้าจำไม่ผิดมันเหมือนกับคล้ายๆกับ ‘เชี่ยนหนี่ว์โยวหุน’ (โปเยโปโลเย) มีปิศาจ แต่ว่ามันไม่ใช่ออกมาในโทนหนังผี ออกมาในโทนหนังปรัชญาให้คิด หลังจากนั้นก็มีรุ่นใหม่ๆ รุ่นใหม่ๆก็ยังดูไม่เยอะของไต้หวันอย่าง หยังเต๋อชาง

หนังพวกนี้แผ่นดินใหญ่จะมีแผ่นขายไหมคะ
มี เมืองจีนนี่เยอะ จริงๆผมว่ามาเลเซีย สิงคโปร์นี่ก็น่าจะมี ถ้าเราไปเดินถูกแหล่ง ถูกร้าน หนังพวกนี้คนดูหนังจีนเขาดูกัน ต้องแยกให้ออกนะว่า คนดูหนังจีนนี่ไม่ใช่คนดูหนังจีนในประเทศไทย คนดูหนังจีนในประเทศไทยดูหนังจีนแบบฝรั่ง คนดูหนังจีนที่ไม่ดูแบบฝรั่งมันจะไม่ได้ดูแบบที่เราดูอยู่
เพราะว่าเราอยู่ภายใต้วิธีคิดแบบดูหนังตามนักวิจารณ์ตามกระแสหนัง แต่พวกมาเลย์ สิงคโปร์คนที่เขาดูหนังจีนเขาดูตามความสนใจของเขา เพราะเขา หนึ่ง เขามีช้อยส์เลือก ตลาดที่เขาจะซื้อมันกว้างกว่า และภาษาจีนในมาเลย์ในสิงคโปร์ มันใช้งานได้จริงมากกว่า ไม่ได้หมายความว่าเขาเก่งนะ แต่ว่าเขาดูหนังรู้เรื่องกว่า ขนาดที่เรามีคนเรียนภาษาจีนแล้วดูหนังไม่รู้เรื่องเยอะกว่า
ภาษาในบ้านเราก็เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงหนังจีน เพราะฉะนั้นหนังที่ดังๆในบ้านเราก็มักเป็นหนังแอ็คชั่นที่ดูง่ายๆด้วยหรือเปล่า
ส่วนหนึ่งมันอยู่ที่ปัญหาของนายทุนที่ซื้อหนัง นายทุนของเราไม่ยอมรับคลื่นความรู้ การกำหนดหนังฉายเรื่องไหน มันกำหนดจากวิธีคิดของคนซื้อหนัง ไม่ได้กำหนดจากเนื้อหนัง บางทีรสนิยมหรือว่าการตัดสินมันมีข้อจำกัด ถ้าเขาไม่ชอบหนังแบบนี้แล้วเขาดูชื่อหนังแบบนี้แล้วเพราะว่ามันไม่ขาย ซึ่งมีจริงผมเจอจริง แล้วหนังหลายเรื่องเขาเลหลังทิ้งไปเป็นวีซีดี 18 บาท ซึ่งมันดีกว่าหนังที่ฉายในโรงเยอะแยะเลย แต่เขาเชื่อว่าเจ๊ง
เราไปซื้อหนัง 18 บาทตามแผงเนี่ย ผมซื้อบ่อยมาก แล้วผมเจอหนังแบบที่จางอ้ายเจียกำกับที่เขาได้รางวัลอยู่ในแผง 18 บาท อย่าไปติดว่าหนัง 18 บาทเป็นหนังเลว หนังดีๆเยอะมาก
ส่วนใหญ่นะ ปกมันจะไม่หวือหวา ปกมันจะเรียบๆ แล้วบางทีมันไม่พากย์ด้วยซ้ำไป ซึ่งพวกแบบนั้นมักจะดี ดูจากโทนปกนะ ยิ่งเราอ่านชื่อเรื่องออก อ่านชื่อผู้กำกับ ชื่ออะไรต่ออะไรได้ พอจะเดาได้ระดับหนึ่ง ผมเจอหนังดีบ่อย

ตอนนี้พี่เขียนแนะนำหนังจีนอยู่บ้างหรือเปล่าคะ
ไม่เป็นทางการฮะ ก็เก็บๆไว้บ้าง แอบไปเขียนในชื่ออื่น
ประเภทหนังในกอง 18 บาท
มี มี ผมพยายามจะเก็บๆไว้ คิดเล่นๆว่าวันหนึ่งอาจจะออกหนังสือคู่มือดูหนังเหมือนแคทตาล็อก มีปก แล้วก็มีอะไรนิดๆหน่อยๆ
ผมเจอหนังของบริษัทอะไรแปลกๆ บริษัทเล็กๆก็มี แต่บางทีเราต้องทนรำคาญการพากย์ แต่บางเรื่องก็พากย์ดี บางเรื่องก็เจอวีซีดี บางเรื่องเจอดีวีดี อย่างเช่น เรื่องหนึ่งผมเจอวีซีดีพากย์แล้วผมหงุดหงิดมาก ชื่อ ภาษาอังกฤษ Ordinary Hero ชื่อจีนอะไรไม่รู้ ตอนนี้ยังมีขายอยู่เป็นดีวีดี 49 บาท มันพากย์ไปทางหนึ่งเลย แต่ว่าถ้าเราดูอีกทีหนึ่งมันเป็นหนังดีมาก หนังดีมาก จริงๆแล้วมันเป็นหนังอิงข้อมูลสังคมจริงๆของฮ่องกงด้วย พอบริษัทหนังไม่มีภูมิหลัง หรือนักวิจารณ์ไม่มีภูมิหลัง ก็จะดูหนังเรื่องนี้อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งถ้าเราดูว่ามันคือ ภูมิหลังของสังคมจริงๆของฮ่องกง
เราจะเห็นเงาของวันที่รำลึกเทียนอันเหมิน การประท้วงโน้น บรรณาธิการคนนี้เคยเป็นนักข่าวที่ถูกติดคุกที่เมืองจีน อะไรแบบนี้ จะเห็นเงาพวกนี้หมดเลย มันอยู่ในแผงดีวีดี 49 บาท หรืออย่าง ‘หร่วนหลิงอี้ว์’ นี่ มันพากย์ไปเลอะเหมือนกัน แต่พอเราไปดูจริงๆนี่ หนังมันดีมาก ก็มีหนังแบบนี้เยอะ

นอกจากร้านแถวเยาวราชแล้ว พี่ยังไปหาซื้อหนังตามที่ไหนอีกบ้าง
ผมหาตามห้าง อย่างเช่น เดอะมอลล์ ท่าพระ อย่างเช่น พระประแดง ห้างคนจนทั้งหลายนั่นแหละฮะ ในกระบะที่เขาขายคนจนทั้งหลาย ผมเจอของดีบ่อยๆ
คลองถมก็มี บางทีก็ไอ้ที่กองๆข้างถนนหนะ ในห้างคาเธย์สมัยก่อน ไม่รู้สมัยนี้ยังมีอยู่หรือเปล่า 4 แผ่น 100 ห้างคาเธย์นี่ดีอย่าง ซาวน์แทรกซ์เลย หิ้วมาจากเมืองจีน เป็นหนังฮ่องกง หิ้วมาเลย เราก็ไม่ต้องรำคาญเรื่องเสียงพากย์ มีทั้งกวางตุ้งทั้งจีนกลาง เยาวราชนี่เยอะ เฉพาะดูหนังร้านเฮียคิม กับร้านที่อยู่หน้าร้านทำฟัน สองเจ้านั้นหนะ ผมเจอหนังดีๆ เรื่องละ 100 กว่าบาท อย่างเจอหนัง ‘ชิวเจวี๋ย’ (秋决) ของ หลี่สิง ก็เป็นหนังดีที่ผมตามหามานาน ก็มาเจออย่างนี้ริมถนน
ที่เล่ามานี่พี่มีหนังประทับใจเยอะเลย คำถามสุดท้ายนี้ อยากทราบว่าหนังที่พี่ประทับใจที่สุดคือเรื่องอะไรคะ
หนังที่ชอบอยู่ในใจนะ มีอยู่เรื่องนึง เรื่อง 月光少年 (เย่ว์กวงเส้าเหนียน) Moonlight Boy เป็นหนังของไต้หวัน หลายปีแล้ว คิดว่าน่าจะ 10 ปีได้ เป็นหนังที่ ผมเล่าไม่ค่อยถูก มันเอาการ์ตูนมาปนในเรื่อง แล้วก็เป็นการเติบโตของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ถ้าใช้ศัพท์แบบพวกเรียนหนังก็เป็นหนังลักษณะ Coming of Age ก็คือการเติบโตจากวัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่ แต่เป็นหนังที่มีเสน่ห์สำหรับผม แนะนำให้คนหลายคนดูก็สนุก เจอในเลเซอร์ดิสก์ครั้งแรกที่เจอ ยังไม่เจอดีวีดี ถ้าเจอก็จะซื้อ
Happy Time ก็ชอบ ของจางอี้โหมว 有话好好说 (โหย่วฮว่าเฮ้าห่าวซัว) ก็ชอบ แต่ Happy Time เป็นหนังที่ดูแล้วอบอุ่น ชีวิตแบบมีความหวัง เห็นความเก่งของจางอี้โหมว 甲方乙方 (เจียฟางอี่ฟาง) ชอบค่อนข้างชอบมาก....

เราจบการสนทนากับคุณเรืองรองด้วยหนังจีนดีๆในดวงใจของเขา ซึ่งคงต้องตามหามาดูกันซักเรื่องสองเรื่องแล้วหละคะ แต่ไม่ทราบว่าจะมีใครแอบหวังเหมือนเราหรือเปล่าว่า จะมีนายทุนใจกล้าเอาหนังจีนดีๆ(ในสายตาคนดู)แบบนี้ เข้ามาฉายในโรงหนังบ้านเราบ้าง ?
** สารคดีชุด ‘ศตวรรษภาพยนตร์จีน’ เนื่องในโอกาสครบ 100 ปีกำเนิดภาพยนตร์จีน นำเสนอทุกบ่ายวันพฤหัสบดี โปรดติดตามตอนหน้า 'ผู้กำกับหนังต่างยุค (1) : เสาเอกแห่งจอเงินจีน'
ผลงานหลายต่อหลายเล่มของเขาที่ตีพิมพ์ออกมาสู่สายตาผู้อ่าน อาทิ ‘เดือน...ดาว...ในเงาฟิล์ม’ (พ.ศ.2542) ‘รวยรินกลิ่นชา’ (พ.ศ.2543) งานแปล ‘เดียวดายใต้เงาจันทร์’ ‘ความลับของทะเล’ (พ.ศ.2546) ฯลฯ และงานเขียนคอลัมน์ใน ‘เนชั่น สุดสัปดาห์’ เขายังเคยจัดรายการวิทยุด้วย
คุณเรืองรอง ยังเป็นแฟนหนังจีนตัวยงและยังเป็นผู้เข้าใจภาษาจีนอย่างลึกซึ้ง ค่ำวันหนึ่งกลางเดือนเมษายน ‘มุมจีน’ จึงหาโอกาสไปพบปะสนทนากับคุณเรืองรอง และได้ถามไถ่ถึงหนังในดวงใจและดาราที่เขาชื่นชอบ
เราเริ่มต้นด้วยคำถามสบายๆ หลังจากนั้นการสนทนาก็ดำเนินไปอย่างเป็นกันเอง เราเพลิดเพลินกับหนังจีนที่น่าดูหลายเรื่อง และได้รู้จักผู้กำกับจีนชื่อแปลกหูอีกหลายท่าน รวมถึงแหล่งหาหนังจีนดีๆดู และเหนืออื่นใดเราได้เต็มอิ่มกับสาระเกี่ยวกับการดูหนังจีนในบ้านเรา ที่สอดแทรกอยู่ในทัศนะของเขาตลอดการสนทนากว่า 1 ชั่วโมง จนอยากจะแบ่งปันให้ชาวเว็บ ‘มุมจีน’ ได้รับประสบการณ์นั้นด้วย....
ดาราจีนที่พี่ชื่นชอบตอนนี้คือใครคะ
เก่อโยว (葛优) เขาเป็นนักแสดงที่หน้าตาจริงๆไม่หล่อนะ แต่เขาเป็นนักแสดงหมายเลขหนึ่งฝ่ายชายของจีน คนที่เล่น ‘Farewell to My Concubine’ เป็นก๊กมินตั๋ง ที่เป็นขุนทหารที่ชอบงิ้ว เล่น ‘หัวเจอะ’ 活着 เป็นตัวเอก เขาจะเป็นดาราคู่บุญกับผู้กำกับชื่อ เฝิงเสี่ยวกัง (冯小刚) เก่อโยวเป็นนักแสดงที่เมื่อเข้าไปอยู่ในบทไหนเราจะคิดไม่ถึงว่าเรื่องที่แล้วเขาเป็นยังงั๊น มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วเขาก็เนียน หนังที่เก่อโยวเล่นก็ค่อนข้างมีเนื้อน่าสนใจ เขาเล่นได้ทุกแนวเลย เขาเป็นตั้งแต่ มาเฟียเรียกค่าไถ่เครื่องบิน จนเป็นขุนนาง จนเป็นคนไม่เอาไหน เป็นได้ทุกบท
ที่พี่ชอบเขาที่สุดบทอะไรคะ
ผมเริ่มตามงานเขาจากเรื่อง ‘หัวเจอะ’ (活着) To Live หลังจากนั้นผมมาเห็นเขา ไม่รู้ว่าดูเรื่องไหนก่อนนะ ใน Farewell to My Concubine ผมคิดไม่ถึงว่าเป็นคนเดียวกัน แล้วผมก็ตามเจอหนังเรื่องอื่นๆของเขา เขาเป็นคนเล่นหนังสนุก ในจีนนี่เขาดังอันดับหนึ่งเลย เขาเป็นดาราหมายเลขหนึ่งทั้งทำเงินทั้งเก่ง คนไทยไม่รู้จัก เพราะว่าคนไทยรู้จักหนังจีนน้อย แต่ว่าถ้าคนที่ดูหนังจีนที่ไม่ใช่คนไทย เท่าที่ผมอ่านบทความนี่เขาจะชื่นชมเก่อโยวสูง คนไทยรู้จักหนังจีนเฉพาะกลุ่มเล็กมาก อย่างเช่น ผู้กำกับก็รู้จักแต่ จางอี้โหมว ซึ่งมันมีอีก มันมีคนอื่นอีก
พี่ช่วยแนะนำให้เรารู้จักดีไหมคะ
อย่างเช่น ผู้กำกับ ที่ผมสนใจคนหนึ่งคือ เฝิงเสี่ยวกัง เขาจะได้โปรแกรมประมาณตรุษจีนหรือปีใหม่ทุกปี เป็นผู้กำกับที่ทำเงินมาก ป๊อปมาก แต่ว่าหนังเขาก็จะมีอะไรแปลกๆ ที่น่าสนใจ หนังของเขาเป็นหนังกึ่งๆตลาด กึ่งๆนอกตลาด แต่เป็นหนังทำเงินที่ดูสนุก แล้วมีอะไรให้คิด
เหมาะกับตลาดของจีนเหรอคะ
ตลาดแบบของเราเลยแหละ เราไม่รู้จักเอง อย่างเช่น มันมีอยู่เรื่องนึงของ เฝิงเสี่ยวกัง ชื่อ ปู๋เจี้ยนปู๋ซ่าน (不见不散) เป็นหนังดูเฮฮามาก ปู๋เจี้ยนปู่ซ่าน มันเป็นเรื่องแบบ เมโลดราม่า แบบหลอกให้หัวเราะ นี่ก็เป็นเรื่องนึงที่เก่อโยวเล่น หนังของเฝิงเสี่ยวกังเป็นหนังที่ค่อนข้างโทนแบบแล้วแต่ใครจะดูเอาสนุกอย่างเดียว หรือบางเรื่องก็มีอะไร Satire (เหน็บแนม เสียดสี) จะเป็นคนที่ทำหนังที่มันมีอารมณ์ตลก อย่างเช่นที่ผมค่อนข้างชอบมากคือ เจี่ยฟางอี่ฟาง (甲方乙方) เขาจะจับเอาการ satire คนชอบบอกว่า เอ้ย ! เรารวยเราไม่ชอบ เราชอบไปอยู่แบบไม่กินเนื้อไม่กินอะไร หนังมันก็จะสมมติสถานการณ์ แล้วก็ตัวเก่อโยวนี่จะเปิดบริษัทเพื่อเปลี่ยนสถานการณ์ให้
สมมติ เป็นคนไม่ชอบเป็นข่าว ก็จับมันไปอยู่ในที่ๆไม่เป็นข่าวจริงๆเลย เซ็นสัญญาเลย หนังมันจะสร้างเรื่องสมมติ จับเอาสิ่งที่คนรวยคนมีชื่อเสียงชอบพูดพร่อย เพื่อเอาเท่ ไปทิ้งไว้ในสถานการณ์นั้น แล้วจะเปิดด้านมืดของคน เป็น black humour ตลกที่ขมขื่นหนะ ซึ่งผมรู้สึกว่า คนนี้มองโลกแบบมันดี แล้วเขาทำได้สนุก เป็นหนังที่ดูง่ายมาก ดูแค่ไม่คิดก็สนุก แต่บางเรื่องก็ดูแบบมึนเหมือนกัน มีหลายเรื่อง
เขาเป็นผู้กำกับรุ่นไหนคะ ยุคใหม่หรือเปล่า
ยุคใหม่เลย เขาเป็นผู้กำกับดังประเภทว่า เราไปเมืองจีนแล้วเราซื้อหนังเขาได้เป็นแพ็ค หนังของเฝิงเสี่ยวกังนี่หาง่าย เผลอๆจะหาง่ายกว่าจางอี้โหมวอีก ถ้าเทียบกับจางอี้โหมว ผมว่าเฝิงเสี่ยวกังน่าจะได้รับการยอมรับในวงกว้างของประชาชน จางอี้โหมวอาจจะเป็นผู้ได้รับการยอมรับในลักษณะข้ามชาติ หรือว่าฝรั่ง(ยอมรับ) แต่ว่าเฝิงเสี่ยวกังน่าจะเป็นฮีโร่ของคนจีน
พี่คิดว่าหนังของเขา (เฝิงเสี่ยวกัง) ฝรั่งยอมรับได้ไหม ถ้าจะออกนอกประเทศ
ฝรั่งเนี๊ยะ จะมีจุดอ่อนอยู่จุดนึง ฝรั่งมีลัทธิเหยียดผิวอยู่ในใจ และเฝิงเสี่ยวกังนี่ลักษณะหนังของเขามีลักษณะที่เอื้อให้ฝรั่งรู้สึกดูถูก เพราะมันเหมือนหนังตลาด ไม่เหมือนหนังของเฉินข่ายเกอ ซึ่งพยายามไปเอารสนิยมอเมริกัน แต่เฝิงเสี่ยวกังไม่สนเลย ทำแบบชาวบ้านจีนเลย แบบออกงิ้วออกอะไรได้หมด ซึ่งผมค่อนข้างชื่นชมว่าเขากล้ากว่า เขาชัดกว่าว่าเขาเป็นคนจีนที่ทำหนังให้คนจีนดู ไม่ประจบฝรั่ง แต่เฝิงเสี่ยวกังเคยไปทำหนังชุดคนจีนในนิวยอร์ก เคยทำหนังที่เมืองนอก
แล้วถ้าหนังเขามาเมืองไทยล่ะคะ
ถ้าหนังเขามาเมืองไทย นักวิจารณ์ไทยคงไม่ทึ่ง เพราะนักวิจารณ์ไทยมีทัศนะตามฝรั่ง เพราะมันเป็นเหมือนหนังไทยสมัยก่อน หนังเขาเทียบกับหนังไทยตอนนี้นึกไม่ออก แต่ไม่มีโทนของผู้กำกับไทยในปัจจุบัน
ถ้าเทียบกับ ‘แฟนฉัน’ อาจพอได้ไหม
ไม่ได้ ‘แฟนฉัน’ เป็นหนังโฆษณา ไม่ใช่หนังเรื่อง ถ้าเทียบเฝิงเสี่ยวกัง ผมว่าดูถูกเฝิงเสี่ยวกังมากไปหน่อย เพราะหนังเฝิงเสี่ยวกังมีเนื้อ ‘แฟนฉัน’ ไม่มีเนื้อ ถ้าเราเปรียบเทียบหนังจีนกับหนังไทยนะ จุดหนึ่ง หนังจีนยังอยู่ในคติของ ‘เหวินอี่ไจ่เต้า' (文以载道 ) ก็คือ คติของจีน ถ้าเขียนหนังสือมันก็ต้องนำพาหลักคิดเนื้อหาไป หนังก็เหมือนกัน หนังจีนถึงยังไงมันก็จะมีเนื้อ มันไม่ใช่ทำเท่เฉยๆ ซึ่งตรงนี้มันต่างกันกับหนังไทย ต่างกับ ‘แฟนฉัน’
‘แฟนฉัน’ เริ่มต้นโจทย์โดยเอาเทปมากี่เพลงเรียง แล้วก็ร้อยให้มันเป็นเรื่อง ซึ่งมันเป็นวิธีหนึ่งของการทำหนังของเรา ซึ่งผมว่าเฝิงเสี่ยวกังไม่มีวิธีคิดเช่นนั้น เฝิงเสี่ยวกังมักจะเริ่มต้นคิดจากจุดจุดหนึ่งที่เป็นเนื้ออะไรซักอย่างนึง อย่าง 甲方乙方 (เจี่ยฟางอี่ฟาง) มันชัดมาก เริ่มต้นจาก สมมติว่าวันหนึ่งฉันไปอยู่ในที่ๆไม่มีนักข่าว แล้วมันก็เดินเรื่อง มันคือเนื้อความคิด เพียงแต่เขาปรุงเนื้อนั้นให้เป็นเรื่องสนุก เรื่องตลก
อ่านต่อหน้า 2
ชื่อเรื่องนี้สะท้อนอะไรคะ ‘เจี่ยฟางอี่ฟาง’
มันเป็นภาษากฎหมาย ฝ่าย ก. ฝ่าย ข. ฝ่ายโจทก์ ฝ่ายจำเลย แต่จริงๆในนั้น (ในหนัง) คือฝ่ายสัญญา เจี่ยฟาง กับอี่ฟาง คือ ฝ่ายผู้รับสัญญา บริษัทนี้ก็ทำตามความฝันคุณ ที่คุณพูดพร่อยๆว่าคุณอยากไม่เป็นข่าว คนกินเนื้อเลี่ยนแล้วคุณอยากไปกินอย่างคนจน บริษัทเขาก็จัดให้ ซึ่งผมดูหนังแบบนี้แล้วรู้สึกว่าสะใจ มันเป็นตลกที่เออ มันตบหน้าคนชั้นกลางได้ตรงดี
ผมตามหางานของผู้กำกับอีกคน ชื่อ หลี่เส้าหง ( 李少红 ) ได้ดูแค่เรื่องเดียว รุ่นเดียวกับจางอี้โหมว พวกนี้เป็นพวกเพื่อนจางอี้โหมว ผมได้ดูหนังเขาเรื่องเดียว ชื่อเรื่อง ‘เสี่ยว์เซ่อชิงเฉิน’ ( 血色清晨 The Bloody Morning ค.ศ.1990 ) ถ้าจำไม่ผิดทำมาจากเรื่องสั้นของ กอร์กี้ ชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘Bloody Sunday’ ผู้กำกับเป็นผู้หญิง ซึ่งน่าสนใจสำหรับวิธีคิดผม เป็นคนทำหนังที่จริงจังมาก ไม่ค่อยบันเทิง อาจจะเพราะจริงจังก็เลยไม่ทำเงิน แต่ว่าน่าสนใจ
ถ้าหนังจีนไม่แยกประเทศนะ ผมก็พยายามตามหาหนังของจางอ้ายเจีย (张艾嘉) จางอ้ายเจีย เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเริ่มจากบทนางเอก วันหนึ่งจางอ้ายเจียขยับไปเป็นผู้กำกับ ที่น่าสนใจสำหรับผม หนังเขาถึงจะไม่ลงตัวเต็มที่แต่ว่าบางเรื่องก็ทำได้รางวัล
พี่ได้มีโอกาสดูหนังเก่าๆบ้างไหมคะ
ดูฮะ อย่างที่หนังที่ หร่วนหลิงอี้ว์ (阮玲玉) เล่นก็เคยดู หนังที่โจวเสวียน (周璇 ) เล่นก็ดู
ความเป็นอมตะของดาราจีนหรือหนังจีนยุคเก่าคืออะไร
เราต้องกลับไปมองวัฒนธรรมพื้นฐานของจีน จีนมีห้องสมุดตั้งแต่ยุคของจิ๋นซีฮ่องเต้ ก่อนหน้านั้นอีก เมื่อ 2, 000-3,000 ปีที่แล้วประเทศนั้นมีห้องสมุด การมีห้องสมุดมันต่างจากการเรียนหนังสือ ห้องสมุดก็เอาหนังสือจัดเป็นกลุ่มเข้าตู้แล้ว แม้รูปแบบหนังสือจะเป็นม้วนๆแต่มันมีการจัดหมวดหมู่ เพราะฉะนั้นระบบคิดของคนมันต่างกัน เมื่อมันมีห้องสมุดมีระบบคิดพวกนี้ มันจะไม่เป็นมวยวัด
การเข้ามาของวัฒนธรรมหนัง มันไม่ได้เข้าไปในฐานะของเล่นอย่างเดียว ของเรานี่มันเข้ามาในฐานะของเล่นนะฮะ แต่หนังหรือเพลงมันเข้าไปในฐานะศาสตร์และศิลป์ มันมีสถาบันรองรับ มีบทความวิชาการรองรับ มีการเรียนรู้เชิงวิชาการ
เมืองไทยเพิ่งมายุคใกล้ๆ 2000 นี้ถึงมีการเรียนรู้ แต่ประเทศไทยก็ยังไม่มีห้องสมุดเป็นจริงเป็นจัง แต่ของเขามีห้องสมุดมาเมื่อ 2000-3000 ปี แล้วเมื่อเพลงแจ๊สเข้าไป เพลงคลาสิกเข้าไป เขาเปิดโรงเรียน เขาไม่ได้สอนแค่ลีลาศ เขาสอนทฤษฎี ดนตรี เขาปรับเครื่องดนตรีเข้ากับโน้ตสากล แล้วเขาก็สร้างทฤษฎีของเขากับของตะวันตก มันมีทฤษฎี มันมีวิชาการรองรับอยู่ เมื่อมันมีทฤษฎีมีวิชาการมันจะเริ่มต้นจากรากตรงนั้น ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเขามีราก
เขาดูหนังฝรั่งเขาก็เรียนรู้ด้วย แล้วก็ไปประกอบกับวิชาทางด้านการร้องงิ้ว มันก็จะค่อยๆเคล้ากัน
พี่สนใจหนังกำลังภายในหรือเปล่าคะ
ผมชอบมาก
ช่วยเล่าเรื่องของบริษัท ชอว์ บราเดอร์ส ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ
ชอว์ บราเดอร์ส ( 邵氏- Shaw Bros (HK) Ltd. ) เดิมก่อนที่จะมาฮ่องกงมันอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ตระกูลชอว์ หรือ เส้า (สำเนียงจีนกลาง 邵 ) เขาเป็นตระกูลใหญ่ที่มีตังค์และก็ชอบหนัง เขาทำบริษัททำหนัง ทำโรงหนังมาก่อนที่เซี่ยงไฮ้ ชื่อบริษัทเทียนอี (天一) นั่นคือ ยุคก่อนที่จะเป็นชอว์ บราเดอร์ส เขาก็ทำหนังมาก่อน เขาลงทุนในกิจการหนัง แล้ว วันนึงก็เกิดสงครามก็ย้ายฐานมาฮ่องกง กับมาเลเซีย สิงคโปร์ เขาทำโรงถ่าย ก็ย้ายคนจำนวนหนึ่งที่เป็นบุคลากรจากเมืองจีน เขาใช้ลักษณะแบบโรงถ่ายแบบผูกสัญญากัน มีคนมีฝีมือเยอะในชอว์ บราเดอร์ส
ยุคแรกๆส่วนหนึ่งก็มาจากเซี่ยงไฮ้ พวกผู้กำกับรุ่นแรกเบื้องต้น อย่างเช่น หลี่ฮั่นเสียง (李翰祥) หูจินเฉวียน (胡金铨) พวกนี้เป็นนักศึกษาที่เรียนศิลปะสมัยตั้งแต่อยู่เมืองจีน แล้วก็เข้ามาทำงานในกองถ่าย จนไต่ขึ้นมาเป็นผู้กำกับ เบสิกเชิงศิลปะพวกนี้จะดี และพวกนี้เป็นนักอ่าน เป็นนักค้น เป็นปัญญาชนนักคิด ก็จะมีเนื้อความคิดที่ค่อนข้างมีเนื้อเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วก็ประวัติศาสตร์จีน มันมีเนื้อเรื่องให้หยิบมาทำเยอะ นิทานพื้นบ้านมันมีให้หยิบมาทำเยอะ หลี่ฮั่นเสียง ก็จะหยิบอย่างเช่น ‘เจียงซันเหม่ยเหยิน’ ( 江山美人ชื่อไทย ‘จอมใจจักรพรรดิ’ The Kingdom and the Beauty ค.ศ.1959 ) หยิบมาจากเรื่อง ‘เฉียนหลงเจี้ยเจียงหนัน’ มาจีบสาวชาวบ้าน ทำสาวชาวบ้านท้อง ท้องแล้วทิ้ง
แรกๆเขาชอบทำเรื่องจักรๆวงศ์ๆ
ใช่มันเป็นจุดขาย แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ทำแต่เฉพาะหนังแบบนั้น ก็ทำหนังสมัยใหม่ด้วย หนังสายลับ เขาทำหนังทุกประเภท แต่เขาเป็นบริษัทใหญ่ ที่มีโรงถ่ายของตนเอง มีวิธีการจัดการเชิงธุรกิจที่แบบล้ำสมัยในเวลาของเขา เขามีทุกอย่างเลย แล้วก็มีนักแสดงในสังกัด แล้วก็มีชั้นเรียน แบบอย่างที่ไทยเรามีโรงเรียนการแสดงก็รับอิทธิพลวิธีคิดจากพวกนั้นมา แล้วการที่เขาจับตลาดเรื่องที่มันเกี่ยวกับขนบธรรมเนียม เกี่ยวกับเทพนิยาย มันเป็นช่วงเวลาที่คนจีนที่อพยพออกมาหลังสงคราม เหมือนได้ชดเชยด้วย มันเป็นความบันเทิงที่ทำให้หายคิดถึง
หนังชอว์ บราเดอร์ส เรากลับไปดูเราจะเห็นบางอย่างที่พิถีพิถัน แม้ว่ามันจะดูพ้นสมัย หรือว่าเชย แต่หลายเรื่องบทมันดีมาก การถ่ายทำดี อย่างเช่นหลังสุด ผมเอาหนังมาเทียบ ผมเอาหนังเรื่อง 倩女幽魂 (เชี่ยนหนี่ว์โยวหุน) ซึ่งตอนหลังมันมาทำอีกทีนึง โดยฉีเคอะ (徐克 สีว์เค่อ ) ชื่อไทยเป็น ‘โปเยโปโลเย’ ผมดูหนังสองอันนี้เทียบกัน แล้วผมไม่ทึ่งฉีเคอะเลย ผมทึ่งอันเดิมมากว่า เพราะมันบนเทคนิคพื้นๆ ตั้งกล้องธรรมดา มันทำได้จริงจังแล้วสวย ถ่ายสวยมาก แล้วเรื่องมันแข็งแรง แบบเขย่าแล้วไม่ล้มง่ายๆ แล้วยังดูสนุก และที่สำคัญกว่านั้นคือ มันถอดกลิ่นในหนังสือออกมา เรื่องเสียดสีสังคม น่าสนใจในแง่บท
คนที่รู้จักหนังชอว์ บราเดอร์ส แบบไม่ใช่หนังกำลังภายในก็มีเยอะ แต่คนพวกนั้นเป็นคนที่ดูหนังเสียงในฟิล์มไม่ใช่ดูหนังพากย์ ถ้าไปถามคนที่ดูหนังแบบไม่ต้องพากย์ เขาจะจำ ‘เหลียงซันป๋ออี่จู้อิงไถ’ (梁山伯与祝英台 ชื่อไทย ‘ม่านประเพณี’ The Love Eterne ค.ศ.1963 ) ได้ เขาจะจำ ‘ซานเกอเลี่ยน’ (山歌恋 ค.ศ.1964 ) ได้ เขาจะจำ ‘สือเอ้อจินไผ’ ( 十二金牌 ราวค.ศ.1970-73 ) แต่คนที่ดูโดยต้องดูพากย์ บางทีมันไปประทับใจเรื่องรายละเอียดทางถ้อยคำไม่ได้
อย่างถ้าเราไปดู ‘เหลียงซันป๋อฯ’ มันก็เหมือนเพลงยาวที่เพราะๆ ซึ่งใครไปอ่านซับไตเติ้ลไทย จะไปประทับใจเท่าคนฟังออกได้ยังไง ถึงจะแปลดียังไงก็จริง มันผ่านอีกชั้นนึง มันก็ธรรมดาที่เราจะประทับใจกับหนังกำลังภายในมากกว่า เพราะเรื่องคุณธรรมมันจะแจ้งกว่า
ไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้ชอว์ฯยังทำหนังอยู่หรือเปล่า
ชอว์ บราเดอร์สยังอยู่ แต่เขาปรับนโยบาย ก่อนที่เทคโนโลยีมันจะเปลี่ยนมาถึงวันนี้ ผู้บริหารของชอว์ บราเดอร์ส เป็นคนที่มีวิชั่นสูงมาก เพราะว่าเทคโนโลยีวีดิโอมันเข้ามา มันก็ทำให้คนเดินไปโรงหนังน้อยลง ซึ่งชอว์ บราเดอร์ส เขามองเห็นตรงนั้นเร็วมากแล้วเขาตัดสินใจเร็ว บริษัทที่เคยสร้างหนังเป็นร้อยๆเรื่องต่อปี วันนึงก็ไปลงทุนในกิจการโทรทัศน์ที่ฮ่องกง โทรทัศน์ฮ่องกงดังๆที่เราดูกันอยู่ทุกวันนี้ หนังชุดนี่แหละ ผมไม่แน่ใจ ทีวีบีหรือเอทีวีนี่แหละอันใดอันหนึ่ง มันคืออีกภาคหนึ่งของชอว์ บราเดอร์
เขาหันไปทำทีวี เขาลดปริมาณการทำหนังโรงลง เขาจะเปลี่ยนนโยบายจากทำหนังเยอะๆมาทำหนังเยี่ยมๆ อย่างเช่น ‘เปี่ยนเหลี่ยน’ ( 变脸 The King of Masks ค.ศ.1996 ) ยุคหลังนี่หนังที่ปั๊ม ‘ชอว์ บราเดอร์ส’ เป็นหนังที่รับประกัน
หนังที่พี่ประทับใจของชอว์ บราเดอร์ส มีเรื่องอะไรบ้างคะ
โห ผมชอบเยอะครับ ถ้ากำลังภายในผมชอบ ‘เดชไอ้ด้วน ภาคแรก’ ( 独臂刀 ค.ศ.1967 ) บทมันดีมาก เดชไอ้ด้วนภาคหวังอยู่ภาคแรกหนะ แล้วก็เดชไอ้ด้วนภาคเดวิด เจียงก็ดีมาก เดชไอ้ด้วนสองภาคนี่ดีมาก หนังชอว์ บราเดอร์ส ดีๆเยอะมาก โดยเฉพาะเดชไอ้ด้วนนี่ ถ้ากลับไปดูด้วยใจสงบ และดูบท ดูความเป็นหนังโดยไม่ต้องดูเอฟเฟค มันเยี่ยมมาก
แล้วคนเล่นแสดงดีไหมคะ
ดี ลงตัวหมดเลย ลงตัวทั้งการกำกับ ทั้งการถ่ายทำ คือ เป็นหนังที่สมบูรณ์ แล้วเป็นหนังตลาดสนุกด้วย เก่ง ยิ่งถ้าเราดูเดชไอ้ด้วน ฉบับแรก กับฉบับเดวิดเจียง ก็ยิ่งทึ่ง เพราะเป็นผู้กำกับคนเดียวกัน และพยายามลบเดชไอ้ด้วนอันเก่าเพื่อทำเดชไอ้ด้วนอันใหม่ มันยิ่งเห็นเนื้อของสมองกับฝีมือ ดูแบบไม่ใช่ดูหนังเรื่องเดียว ดูไปถึงการคิดของคน มันยิ่งสนุก
ดาราดังๆของชอว์ บราเดอร์สมีหวังอยู่ ( 王羽 หวังอี่ว์ ) หลินปอ เจิ้งเพ่ยเพ่ย จริงๆแล้วก่อนหน้านั้นคือ หลินไต้ กวนซัน แล้วค่อยมายุคหลัง เดวิดเจียง ตี้หลุง
อ่านต่อหน้า 3
ตอนนี้พี่ติดตามดูหนังอะไรหรือประเภทไหนโดยเฉพาะอยู่หรือคะ
เอ่อ ดูเป็นเรื่อง ถ้าผู้กำกับก็พยายามตามหา ของเฝิงเสี่ยวกัง กับหลี่เส้าหง จางอี้โหมวนี่ตามมาต่อเนื่อง แต่บางคนคงไม่ตามแล้ว คงไม่สนใจแล้ว อย่างเช่น เฉินข่ายเกอ คิดว่าเขาคงไม่มีอะไรที่ผมอยากดู อีกคนที่อยากดู คือ จางหยวน (张元) อยากดูงานเก่า งานเริ่มต้น ที่เป็นขาวดำ เรื่อง ‘กว่างฉั่ง’ (广场) กับเรื่อง ‘มามา’ ( 妈妈 ) หรือ ‘หมู่ชิน’ ไม่แน่ใจ จริงๆยังมีอีกแหละ ของไต้หวันก็มีน่าสนใจ บางคนก็ตายไปแล้ว อย่าง หูจินเฉวียน แต่ยังหาหนังไม่ครบ เป็นผู้กำกับที่ผมสนใจมาก แต่หาหนังไม่ได้ครบ เป็นหนังกำลังภายในที่ไม่บู๊ มันออกมาฟอร์มกำลังภายในแต่ว่าฟันกันน้อยมาก เป็นหนังแบบเชิงความคิด เชิงปรัชญา เชิงเซ็น เชิงเต๋า
หนังแนวนี้มันจะเริ่มเห็นตั้งแต่เรื่อง A Touch of Zen 侠女 (เสียหนี่ว์) มันเริ่มออกอิทธิพลวิธีคิดแบบเต๋าแบบเซน เรื่องนี้ได้รับรางวัลด้านเทคนิค ที่เมืองคานส์
ถ้าเราดู 侠女 (เสียหนี่ว์) อย่างละเอียด เราจะเห็นเงาของ เสียหนี่ว์ อยู่ใน Crouching Tiger เราจะเห็นการก๊อปปี้ลีลาหลายๆอย่างอยู่ในนั้น แต่ว่ามันสร้างคนละยุค มันก็ได้เปรียบกว่า มันทันสมัยกว่า เสียหนี่ว์ ยังดูแบบเชยๆอยู่ แต่ว่าหลังจากนั้น หูจินเฉวียน ทำหนังอีกสองสามเรื่องที่น่าสนใจ เคยดูแต่ว่าหาดูใหม่ไม่ได้ โดยเฉพาะ ‘คงซันหลิงอี่ว์’ มันถ่ายเหมือนภาพวาด แล้วถ้าจำไม่ผิดมันเหมือนกับคล้ายๆกับ ‘เชี่ยนหนี่ว์โยวหุน’ (โปเยโปโลเย) มีปิศาจ แต่ว่ามันไม่ใช่ออกมาในโทนหนังผี ออกมาในโทนหนังปรัชญาให้คิด หลังจากนั้นก็มีรุ่นใหม่ๆ รุ่นใหม่ๆก็ยังดูไม่เยอะของไต้หวันอย่าง หยังเต๋อชาง
หนังพวกนี้แผ่นดินใหญ่จะมีแผ่นขายไหมคะ
มี เมืองจีนนี่เยอะ จริงๆผมว่ามาเลเซีย สิงคโปร์นี่ก็น่าจะมี ถ้าเราไปเดินถูกแหล่ง ถูกร้าน หนังพวกนี้คนดูหนังจีนเขาดูกัน ต้องแยกให้ออกนะว่า คนดูหนังจีนนี่ไม่ใช่คนดูหนังจีนในประเทศไทย คนดูหนังจีนในประเทศไทยดูหนังจีนแบบฝรั่ง คนดูหนังจีนที่ไม่ดูแบบฝรั่งมันจะไม่ได้ดูแบบที่เราดูอยู่
เพราะว่าเราอยู่ภายใต้วิธีคิดแบบดูหนังตามนักวิจารณ์ตามกระแสหนัง แต่พวกมาเลย์ สิงคโปร์คนที่เขาดูหนังจีนเขาดูตามความสนใจของเขา เพราะเขา หนึ่ง เขามีช้อยส์เลือก ตลาดที่เขาจะซื้อมันกว้างกว่า และภาษาจีนในมาเลย์ในสิงคโปร์ มันใช้งานได้จริงมากกว่า ไม่ได้หมายความว่าเขาเก่งนะ แต่ว่าเขาดูหนังรู้เรื่องกว่า ขนาดที่เรามีคนเรียนภาษาจีนแล้วดูหนังไม่รู้เรื่องเยอะกว่า
ภาษาในบ้านเราก็เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงหนังจีน เพราะฉะนั้นหนังที่ดังๆในบ้านเราก็มักเป็นหนังแอ็คชั่นที่ดูง่ายๆด้วยหรือเปล่า
ส่วนหนึ่งมันอยู่ที่ปัญหาของนายทุนที่ซื้อหนัง นายทุนของเราไม่ยอมรับคลื่นความรู้ การกำหนดหนังฉายเรื่องไหน มันกำหนดจากวิธีคิดของคนซื้อหนัง ไม่ได้กำหนดจากเนื้อหนัง บางทีรสนิยมหรือว่าการตัดสินมันมีข้อจำกัด ถ้าเขาไม่ชอบหนังแบบนี้แล้วเขาดูชื่อหนังแบบนี้แล้วเพราะว่ามันไม่ขาย ซึ่งมีจริงผมเจอจริง แล้วหนังหลายเรื่องเขาเลหลังทิ้งไปเป็นวีซีดี 18 บาท ซึ่งมันดีกว่าหนังที่ฉายในโรงเยอะแยะเลย แต่เขาเชื่อว่าเจ๊ง
เราไปซื้อหนัง 18 บาทตามแผงเนี่ย ผมซื้อบ่อยมาก แล้วผมเจอหนังแบบที่จางอ้ายเจียกำกับที่เขาได้รางวัลอยู่ในแผง 18 บาท อย่าไปติดว่าหนัง 18 บาทเป็นหนังเลว หนังดีๆเยอะมาก
ส่วนใหญ่นะ ปกมันจะไม่หวือหวา ปกมันจะเรียบๆ แล้วบางทีมันไม่พากย์ด้วยซ้ำไป ซึ่งพวกแบบนั้นมักจะดี ดูจากโทนปกนะ ยิ่งเราอ่านชื่อเรื่องออก อ่านชื่อผู้กำกับ ชื่ออะไรต่ออะไรได้ พอจะเดาได้ระดับหนึ่ง ผมเจอหนังดีบ่อย
ตอนนี้พี่เขียนแนะนำหนังจีนอยู่บ้างหรือเปล่าคะ
ไม่เป็นทางการฮะ ก็เก็บๆไว้บ้าง แอบไปเขียนในชื่ออื่น
ประเภทหนังในกอง 18 บาท
มี มี ผมพยายามจะเก็บๆไว้ คิดเล่นๆว่าวันหนึ่งอาจจะออกหนังสือคู่มือดูหนังเหมือนแคทตาล็อก มีปก แล้วก็มีอะไรนิดๆหน่อยๆ
ผมเจอหนังของบริษัทอะไรแปลกๆ บริษัทเล็กๆก็มี แต่บางทีเราต้องทนรำคาญการพากย์ แต่บางเรื่องก็พากย์ดี บางเรื่องก็เจอวีซีดี บางเรื่องเจอดีวีดี อย่างเช่น เรื่องหนึ่งผมเจอวีซีดีพากย์แล้วผมหงุดหงิดมาก ชื่อ ภาษาอังกฤษ Ordinary Hero ชื่อจีนอะไรไม่รู้ ตอนนี้ยังมีขายอยู่เป็นดีวีดี 49 บาท มันพากย์ไปทางหนึ่งเลย แต่ว่าถ้าเราดูอีกทีหนึ่งมันเป็นหนังดีมาก หนังดีมาก จริงๆแล้วมันเป็นหนังอิงข้อมูลสังคมจริงๆของฮ่องกงด้วย พอบริษัทหนังไม่มีภูมิหลัง หรือนักวิจารณ์ไม่มีภูมิหลัง ก็จะดูหนังเรื่องนี้อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งถ้าเราดูว่ามันคือ ภูมิหลังของสังคมจริงๆของฮ่องกง
เราจะเห็นเงาของวันที่รำลึกเทียนอันเหมิน การประท้วงโน้น บรรณาธิการคนนี้เคยเป็นนักข่าวที่ถูกติดคุกที่เมืองจีน อะไรแบบนี้ จะเห็นเงาพวกนี้หมดเลย มันอยู่ในแผงดีวีดี 49 บาท หรืออย่าง ‘หร่วนหลิงอี้ว์’ นี่ มันพากย์ไปเลอะเหมือนกัน แต่พอเราไปดูจริงๆนี่ หนังมันดีมาก ก็มีหนังแบบนี้เยอะ
นอกจากร้านแถวเยาวราชแล้ว พี่ยังไปหาซื้อหนังตามที่ไหนอีกบ้าง
ผมหาตามห้าง อย่างเช่น เดอะมอลล์ ท่าพระ อย่างเช่น พระประแดง ห้างคนจนทั้งหลายนั่นแหละฮะ ในกระบะที่เขาขายคนจนทั้งหลาย ผมเจอของดีบ่อยๆ
คลองถมก็มี บางทีก็ไอ้ที่กองๆข้างถนนหนะ ในห้างคาเธย์สมัยก่อน ไม่รู้สมัยนี้ยังมีอยู่หรือเปล่า 4 แผ่น 100 ห้างคาเธย์นี่ดีอย่าง ซาวน์แทรกซ์เลย หิ้วมาจากเมืองจีน เป็นหนังฮ่องกง หิ้วมาเลย เราก็ไม่ต้องรำคาญเรื่องเสียงพากย์ มีทั้งกวางตุ้งทั้งจีนกลาง เยาวราชนี่เยอะ เฉพาะดูหนังร้านเฮียคิม กับร้านที่อยู่หน้าร้านทำฟัน สองเจ้านั้นหนะ ผมเจอหนังดีๆ เรื่องละ 100 กว่าบาท อย่างเจอหนัง ‘ชิวเจวี๋ย’ (秋决) ของ หลี่สิง ก็เป็นหนังดีที่ผมตามหามานาน ก็มาเจออย่างนี้ริมถนน
ที่เล่ามานี่พี่มีหนังประทับใจเยอะเลย คำถามสุดท้ายนี้ อยากทราบว่าหนังที่พี่ประทับใจที่สุดคือเรื่องอะไรคะ
หนังที่ชอบอยู่ในใจนะ มีอยู่เรื่องนึง เรื่อง 月光少年 (เย่ว์กวงเส้าเหนียน) Moonlight Boy เป็นหนังของไต้หวัน หลายปีแล้ว คิดว่าน่าจะ 10 ปีได้ เป็นหนังที่ ผมเล่าไม่ค่อยถูก มันเอาการ์ตูนมาปนในเรื่อง แล้วก็เป็นการเติบโตของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ถ้าใช้ศัพท์แบบพวกเรียนหนังก็เป็นหนังลักษณะ Coming of Age ก็คือการเติบโตจากวัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่ แต่เป็นหนังที่มีเสน่ห์สำหรับผม แนะนำให้คนหลายคนดูก็สนุก เจอในเลเซอร์ดิสก์ครั้งแรกที่เจอ ยังไม่เจอดีวีดี ถ้าเจอก็จะซื้อ
Happy Time ก็ชอบ ของจางอี้โหมว 有话好好说 (โหย่วฮว่าเฮ้าห่าวซัว) ก็ชอบ แต่ Happy Time เป็นหนังที่ดูแล้วอบอุ่น ชีวิตแบบมีความหวัง เห็นความเก่งของจางอี้โหมว 甲方乙方 (เจียฟางอี่ฟาง) ชอบค่อนข้างชอบมาก....
เราจบการสนทนากับคุณเรืองรองด้วยหนังจีนดีๆในดวงใจของเขา ซึ่งคงต้องตามหามาดูกันซักเรื่องสองเรื่องแล้วหละคะ แต่ไม่ทราบว่าจะมีใครแอบหวังเหมือนเราหรือเปล่าว่า จะมีนายทุนใจกล้าเอาหนังจีนดีๆ(ในสายตาคนดู)แบบนี้ เข้ามาฉายในโรงหนังบ้านเราบ้าง ?
** สารคดีชุด ‘ศตวรรษภาพยนตร์จีน’ เนื่องในโอกาสครบ 100 ปีกำเนิดภาพยนตร์จีน นำเสนอทุกบ่ายวันพฤหัสบดี โปรดติดตามตอนหน้า 'ผู้กำกับหนังต่างยุค (1) : เสาเอกแห่งจอเงินจีน'