xs
xsm
sm
md
lg

กลองมโหระทึก จากหม้อหุงข้าวถึงกลองศักดิ์สิทธิ์ และโบราณวัตถุชิ้นเอกของชนชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เพชรภูมิปัญญาจีน / เมื่อกว่า 2,700 ปีก่อน กิจวัตรอย่างหนึ่งของบรรพชนผู้อาศัยอยู่ในแถบมณฑลหยุนหนันของจีนในปัจจุบัน ก็คือ หลังเสร็จสิ้นกิจการงานกลางป่าเขาในแต่ละวัน พวกเขามักจะออกมานั่งรอบกองไฟ ล้อมวงกินข้าวที่หุงต้มจากหม้อทองแดง กับข้าวในยุคนั้นก็แสนจะเรียบง่ายไม่ยุ่งยาก และเมื่อเวลาที่ท้องอิ่ม ใครบางคนอยากจะลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย ขยับกายาตามจังหวะ พวกเขาก็นำหม้อทองแดงอันเดียวกับที่ใช้หุงข้าวต้มแกงนี่แหละ มาคว่ำหน้าลง แล้วใช้เคาะเป็นเครื่องดนตรีบรรเลงจังหวะ...

ความอิ่มเอิบไพเราะสดใสของท่วงทำนองอันก้องกังวานออกมาจากกลองสำริด หรือ กลองมโหระทึก ( 铜鼓 ) ได้กลายเป็นความปรารถนาสูงสุดของช่างฝีมือในรุ่นแรกๆ ที่จะใช้เสกสรรปั้นแต่งเครื่องดนตรีชิ้นเอกนี้ ช่างหลอมจะนำทองแดงเหลวสุกมาหลอมเพื่อหวังว่าจะได้กลองที่สร้างเสียงก้องใกล้เคียงกับธรรมชาติ และยังใส่ใจตกแต่งบริเวณหน้ากลองด้วยภาพสัญลักษณ์รูปเปลวเพลิง ที่สะท้อนให้เห็นถึงที่มาของมันจากหม้อหุงต้มอาหาร ซึ่งมีเรื่องราวเชื่อมโยงกับเปลวไฟนั่นเอง

ต่อมา รูปเปลวเพลิงได้ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นภาพสัญลักษณ์ที่สูงส่ง ศักดิ์สิทธิ์ใกล้ชิดสวรรค์มากขึ้น คือ รูปดวงอาทิตย์ ซึ่งได้กลายมาเป็นรูปคลาสิกที่ประดับอยู่บนหน้ากลองมโหระทึกไปในที่สุด

รูปสัญลักษณ์ที่มีความสำคัญรองลงมาจากพระอาทิตย์ ก็คือ นกกระสา ตามตำราโบราณกล่าวว่า นกกระสาเป็นนกย้ายถิ่นตามฤดูกาลที่มักอาศัยอยู่ริมน้ำ สามารถพยากรณ์สภาพอากาศได้ล่วงหน้า ภาพนกกระสาที่บินอยู่รายล้อมดวงอาทิตย์ใจกลางกลองสำริด เป็นสัญลักษณ์ของฟ้าฝนน้ำท่าที่นำความความสมบูรณ์มาสู่สรรพชีวิตและความพร้อมในการแพร่พันธุ์

นอกจากนี้ ยังมีภาพคนแต่งกายด้วยขนนกร่ายรำอยู่รอบๆ และภาพลวดลายต่างๆ อาทิ ลายอัสนีบาต เหรียญกษาปณ์ รูปตาข่าย ดวงตา วงกลม บ้างก็เป็นรูปสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน เหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงความกตัญญูรู้คุณต่อธรรมชาติ ความรุ่มรวยทางประเพณีวัฒนธรรมของมนุษย์ในสมัยโบราณ

ความวิจิตรของรูปประดับบนกลองมโหระทึกได้ค่อยๆนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่บทบาทหน้าที่ในการใช้งานของกลองมากขึ้น จากเครื่องดนตรีกลองมโหระทึกได้กลายเป็นเครื่องมือทางจิตวิญญาณที่มนุษย์ใช้สื่อสารถึงเทพเจ้าบนชั้นฟ้า

ราว 100 ปีก่อนคริสตศักราช การตกแต่งบนหน้ากลองมโหระทึกเริ่มปรากฏเป็นรูปประติมากรรมลอยตัว ที่พบส่วนใหญ่เป็นรูปกบ ไม่ว่าจะเป็นรูปกบท่าทางทึ่มๆ กบคู่แฝด หรือกบตัวใหญ่ท่าทางเหนื่อยล้าแบกกบตัวเล็กอยู่บนหลัง ต่างก็เป็นการแสดงความเคารพต่อเจ้าสัตว์ชนิดนี้ทั้งสิ้น

ตามวิถีการดำเนินชีวิตของคนจีนทางใต้ กบเป็นสัตว์ที่พบเห็นได้โดยง่ายตามท้องทุ่งนา ภายหลังฤดูจำศีลของกบสิ้นสุดลงและเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ เป็นสัญญาณว่าพืชพันธุ์ที่ปลูกไว้กำลังจะเริ่มผลิดอกออกผล และเป็นนิมิตหมายของการเก็บเกี่ยวของชาวนา  ดังนั้น กบจึงเปรียบเสมือนทูตของความอุดมสมบูรณ์ของไร่นา

โดยเฉพาะชนชาติจ้วง ผู้มีถิ่นอาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเอง กว่างซี (กวางสี) เป็นกลุ่มคนที่ให้ความเคารพสัตว์ชนิดนี้อย่างมาก ทุกปีหลายหมู่บ้านจะประกอบพิธีบูชากบในวันเทศกาลที่เรียกว่า หม่าไกว่เจี๋ย (蚂拐节) พิธีดังกล่าวคือ การจำลองพิธีศพไว้อาลัยให้กับกบ ซึ่งมีที่มาตามตำนานว่า

กบซึ่งเชื่อว่าเป็นลูกสาวของเทพอสนีบาต ถูกมนุษย์ใจร้ายฆ่าตายด้วยความประมาท ทำให้เทพโกรธมากจนบันดาลให้เกิดภัยพิบัติลงมาทำโทษมนุษย์ ภายหลังเมื่อมนุษย์จัดพิธีศพให้กับกบตัวนั้น เทพเจ้าจึงหายโกรธ ตั้งแต่นั้น พิธีกรรมนี้จึงได้ถือปฏิบัติสืบทอดมาในหมู่บ้านของชาวจ้วง

ที่สำคัญก็คือ ระหว่างทำพิธีดังกล่าวจะมีการตีกลองมโหระทึกเพื่อประกาศให้เทพเจ้าอสนีบาตที่อยู่บนสวรรค์ได้รับทราบด้วย ทั้งนี้การตีกลองจึงต้องปีนขึ้นไปตีบนยอดเขาสูงๆ เพื่อให้ใกล้กับฟ้ามากที่สุดเจ้าจึงจะได้ยินชัดเจน

นานวันเข้า กลองมโหระทึกที่สามารถทำหน้าที่สื่อสารถึงเทพเจ้าได้ ก็ค่อยๆซึมซับความศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์หล่อหลอมขึ้นจนถูกยกย่องขึ้นเป็นถึงเทพเจ้า ต้องมีการบูชาเกิดขึ้น


นอกจากนี้ การเก็บรักษาเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์นี้ก็กลายเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นตามไปด้วย กล่าวคือ ต้องนำไปซ่อนในถ้ำหรือขุดลงไปในดิน ผู้นำไปซ่อนต้องมีเพียง 2-3 คนเท่านั้นที่ทราบตำแหน่ง นัยว่า หากเกิดเรื่องกับคนพวกนี้ ก็เป็นอันว่ากลองนั้นจะสาบสูญไปเลย  ด้วยเหตุนี้ กลองมโหระทึกที่เราเห็นในพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่จึงมักถูกพบโดยบังเอิญโดยคนรุ่นหลัง

กลองมโหระทึกยังเป็นเครื่องชี้วัดฐานะทางสังคมและเครื่องแสดงถึงอำนาจบารมีด้วย ตัวอย่าง ราชาแห่งกลองมโหระทึกที่มีความกว้างหน้ากลองถึง 165 เซนติเมตร ที่สร้างขึ้นโดยเน้นที่ความใหญ่และความสูง

ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 – 7 เป็นยุครุ่งเรืองที่สุดของวัฒนธรรมกลองสำริด รูปตกแต่งบนหน้ากลองจึงเต็มไปด้วยรายละเอียดวิจิตรหรูหรา คุณค่าของกลองมโหระทึกบางใบสูงถึงขนาดแลกเป็นวัวได้ถึง 1,000 ตัว

หลังคริสต์ศตวรรษที่ 10 ราวสมัยราชวงศ์ซ่ง กลองได้ปรับเปลี่ยนหน้าที่ไปเป็นสินค้าตามกระแสการค้าที่เกิดขึ้นในยุคนั้น การทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในพิธีกรรมเซ่นไหว้ตามประเพณีก็เริ่มจืดจางลดน้อยลง

ณ วันนี้ ประเทศจีนมีการเก็บรักษากลองมโหระทึกที่สร้างในแบบต่างๆไว้เกือบ 2,000 ใบ ซึ่งกลองเหล่านี้มีรายละเอียดการตกแต่งหน้ากลองที่แตกต่างกันไป โดยพิพิธภัณฑ์กลองมโหระทึกที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่เขตปกครองตนเองชนชาติจ้วงกว่างซี ในเมืองหนันหนิง  และเป็นเรื่องดีที่เสียงใสๆของกลองสำริดนี้ยังคงก้องกังวานอยู่ตามขุนเขาและหมู่บ้านชนชาติส่วนน้อยในชนบทตามมณฑลต่างๆของประเทศ อาทิ หยุนหนัน กว่างซี กุ้ยโจว และซื่อชวน เป็นต้น .

จากหนังสือ ‘ฉางเจอะเตอะจงกั๋ว’ (藏着的中国- ประเทศจีนที่ซ่อนเร้น) ของสำนักพิมพ์ ไป่ฮัวเหวินอี้ชูปั่นเส่อ (百花文艺出版社)
กำลังโหลดความคิดเห็น