บุคคลในสามก๊กคนหนึ่ง ซึ่งมีชื่อค่อนข้างคุ้นหูคุ้นตาผู้อ่านผู้ฟังและผู้ชมมากพอสมควรคือ..ม้าเจ๊ก แม้ว่าคนผู้นี้จะโผล่ออกมาเพียงฉากสองฉากเท่านั้น
คุยถึงเรื่องชื่อของเขาก่อน ชื่อในภาษาจีนกลางคือ..หม่าซู่ 马谡 ma su คำหลังถ้าเป็นแต้จิ๋วออกเสียง “ สก, เฉ็ก ” ถ้าเป็นกวางตุ้งออกเสียง “ ซก ” พอมาเป็นฮกเกี้ยนแบบไทยๆ ในสามก๊กฉบับท่านเจ้าพระยาจึงกลายเป็น “ เจ๊ก ”
ซู่ หมายถึง ลุก, ลุกขึ้น
หม่าซู่ หรือ ม้าเจ๊ก ย่อมหมายถึง ม้าลุก , ม้าลุกขึ้น หรือม้าซู่ซ่านั่นแหละครับ
ม้าเจ๊กทำตัวได้เหมือนชื่อจริงๆ ในเรื่องสามก๊ก เพียงแต่ว่าที่ทำซู่ซ่าได้นั้น เฉพาะตอนที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา หรือ พูดให้ถูกต้องคือทำหน้าที่เป็นลูกขุนพลอยพยักของท่านมหาอุปราชขงเบ้ง
ด้วยความที่เป็นเด็กในคาถาของขงเบ้ง เจ้าสำนักมังกรหลับตั้งแต่ม้าเจ๊กยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยก ม้าเจ๊กจึงซึมซับลีลาการพูดการเขียนต่างๆ ของขงเบ้งอย่างแน่นแฟ้นและมีความเก่งเสมอเหมือนเทียบเท่ากับท่านอาจารย์ไม่ผิดเพี้ยน หรือ เพี้ยนเหมือนอาจารย์ไม่มีผิด
ยิ่งการพูดการอภิปรายในที่ประชุมนัดสำคัญๆ ม้าเจ๊กสามารถใช้ลีลาโวหารสะกดให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้มคล้อยตามได้อย่างน่าทึ่ง ขนาดท่านอาจารย์มังกรหลับยังคอพับคออ่อนหลับตาพริ้มยิ้มเผล่ที่มุมปากด้วยความชื่นชมในศิษย์รักคนโปรด
ขงเบ้งยังเคยคาดหวังไว้ว่าหากตนเองจำเป็นต้องล้างมือในอ่างทองคำ ก็จะเป็นม้าเจ๊กนี่แหละที่จะรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคมังกรหลับแทนตัวเขาได้อย่างไม่มีที่ติ เพราะสามารถหาที่ติคนอื่นได้แบบไม่มีชิ้นดี
ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านได้อย่างอมตะนิรันดร์กาล
ม้าเจ๊กจึงเป็นม้าเด็กๆเล็กๆ ที่เจริญเติบโตลุกขึ้นทำตัวซู่ซ่าได้รวดเร็วกว่าใครในสำนักมังกรหลับ เพราะมีสเป๊กถูกต้องตรงกับรสนิยมวิไลของท่านหัวหน้าพรรคซึ่งนิยมชมชอบพวกนักจ้อ
ทว่า ชีวิตจริงกับชีวิตในนวนิยายขายความฝันนั้นมันเป็นหนังคนละเรื่อง ฟิล์มคนละม้วน เมื่อเหตุการณ์จริงในยุคสามก๊กนั้น จะต้องออกกรำศึกรบกันในสมรภูมิแบบถึงเลือดถึงเนื้อถึงชีวิต
ผู้เชี่ยวชาญการรบด้วยน้ำลาย แบบ “ จอมเขฬายุทธ์ ” อย่างม้าเจ๊กเด็กวานซืนซึ่งยืนขึ้นวาดลีลาสะกดให้ผู้คนหลับใหลได้ในห้องประชุมเมืองเอ๊กจิ๋ว พอไปเจอของจริงในการออกศึกครั้งแรกก็ต้องทำให้ขงเบ้งน้ำตาตก
เมื่อขงเบ้งตัดสินใจกรีธาทัพใหญ่จากเสฉวนขึ้นสู่ภาคเหนือเพื่อประกาศศักดาว่าเป็นยอดเสนาธิการอันดับหนึ่งของแผ่นดิน..เทียนเซี่ยตี้ยีจวุนซือ 天下第一军师 Tian xia di yi jun shi .
ขงเบ้งจึงเรียกประชุมขุนศึกนายกองทั้งหลายที่กระโจมท่านแม่ทัพใหญ่ ตามฤกษ์ดีมีชัยที่ตนเองคิดคำนวณไว้แล้ว เพื่อให้ทุกคนมาแบมือรอรับมอบถุงวิเศษสอดใส่อุบายนำไปปฏิบัติตามยุทธวิธีสุดยอดของแม่ทัพหนึ่งเดียวคนนี้ที่ทำงานใหญ่ใดๆ ได้สำเร็จลุล่วงโดยไม่ต้องฟังความคิดเห็นของใครทั้งนั้น
ขอเพียงผู้รับปฏิบัติมีความสามารถเพียงแค่แกะเชือกผูกถุงออกได้แล้วนำเอาอุบายที่เขียนไว้ในถุงออกมาอ่านให้ออกเท่านั้น ก็จะทำการสัมฤทธิ์ผลได้ตามอุบายที่อาจารย์มังกรหลับคาดการณ์ล่วงหน้าได้แม่นยำราวกับเทพยดา
หมายความว่า แม่ทัพนายกองของขงเบ้งนั้น ไปออกศึกได้โดยไม่ต้องใช้สมองของตนเอง แค่เพียงมีเรี่ยวแรงแกะถุงออกดูอุบายก็ไปทำการใหญ่ได้แล้ว
ดูจากวิธีนี้คิดว่าคนขี่ซาเล้งเก็บของเก่าขายที่มีความชำนาญในการแกะดูถุงต่างๆ น่าจะไปสมัครเป็นแม่ทัพนายกองของขงเบ้งดูบ้าง คงมีโอกาสทำงานใหญ่ได้เป็นท่านแม่ทัพนายกองอะร้าอร่ามกันไปหมดเชียวหละ
กลับมาคุยเรื่องม้าเจ๊กดีกว่าครับ
วันนั้น สงสัยขงเบ้งจะเจ็บคอพูดไม่ค่อยออกเหมือนอย่างเคย ในที่ประชุมแม่ทัพนายกองจึงกลายเป็นม้าเจ๊กเดี่ยวมือสองรองจากขงเบ้งทำหน้าที่ในการชี้แจงต่อที่ประชุมซึ่งแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างนั่งกุมอวัยวะส่วนสำคัญของตนเองไว้อย่างเรียบร้อยเพียงแค่คอยเงี่ยหูฟังแล้วรอรับถุงอุบายเหมือนอย่างก่อนๆ
ม้าเจ๊กคุยโขมงโฉงเฉงแล้วปิดท้ายดื้อๆ ว่างานนี้ตนเองขออาสาเป็นแม่ทัพหน้าไปรักษาด่านเกเต๋ง ( เจียถิง ) 街亭 jie ting คนอื่นๆ นึกหมั่นไส้ม้าเจ๊กมานานแล้วที่เก่งแต่พูดฉอดๆ ในที่ประชุมจึงปล่อยให้ม้าเจ๊กไปทำหน้าที่สำคัญตามคำคุย
ผลปรากฏว่าจบลงด้วยการที่ ขงเบ้งหลั่งน้ำตาฆ่าม้าเจ๊ก..ข่งหมิงฮุยเล่ยจ่านหม่าซู่
孔明挥泪斩马谡 kong ming hui lei zhan ma su .
คุยถึงเรื่องชื่อของเขาก่อน ชื่อในภาษาจีนกลางคือ..หม่าซู่ 马谡 ma su คำหลังถ้าเป็นแต้จิ๋วออกเสียง “ สก, เฉ็ก ” ถ้าเป็นกวางตุ้งออกเสียง “ ซก ” พอมาเป็นฮกเกี้ยนแบบไทยๆ ในสามก๊กฉบับท่านเจ้าพระยาจึงกลายเป็น “ เจ๊ก ”
ซู่ หมายถึง ลุก, ลุกขึ้น
หม่าซู่ หรือ ม้าเจ๊ก ย่อมหมายถึง ม้าลุก , ม้าลุกขึ้น หรือม้าซู่ซ่านั่นแหละครับ
ม้าเจ๊กทำตัวได้เหมือนชื่อจริงๆ ในเรื่องสามก๊ก เพียงแต่ว่าที่ทำซู่ซ่าได้นั้น เฉพาะตอนที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา หรือ พูดให้ถูกต้องคือทำหน้าที่เป็นลูกขุนพลอยพยักของท่านมหาอุปราชขงเบ้ง
ด้วยความที่เป็นเด็กในคาถาของขงเบ้ง เจ้าสำนักมังกรหลับตั้งแต่ม้าเจ๊กยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยก ม้าเจ๊กจึงซึมซับลีลาการพูดการเขียนต่างๆ ของขงเบ้งอย่างแน่นแฟ้นและมีความเก่งเสมอเหมือนเทียบเท่ากับท่านอาจารย์ไม่ผิดเพี้ยน หรือ เพี้ยนเหมือนอาจารย์ไม่มีผิด
ยิ่งการพูดการอภิปรายในที่ประชุมนัดสำคัญๆ ม้าเจ๊กสามารถใช้ลีลาโวหารสะกดให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้มคล้อยตามได้อย่างน่าทึ่ง ขนาดท่านอาจารย์มังกรหลับยังคอพับคออ่อนหลับตาพริ้มยิ้มเผล่ที่มุมปากด้วยความชื่นชมในศิษย์รักคนโปรด
ขงเบ้งยังเคยคาดหวังไว้ว่าหากตนเองจำเป็นต้องล้างมือในอ่างทองคำ ก็จะเป็นม้าเจ๊กนี่แหละที่จะรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคมังกรหลับแทนตัวเขาได้อย่างไม่มีที่ติ เพราะสามารถหาที่ติคนอื่นได้แบบไม่มีชิ้นดี
ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านได้อย่างอมตะนิรันดร์กาล
ม้าเจ๊กจึงเป็นม้าเด็กๆเล็กๆ ที่เจริญเติบโตลุกขึ้นทำตัวซู่ซ่าได้รวดเร็วกว่าใครในสำนักมังกรหลับ เพราะมีสเป๊กถูกต้องตรงกับรสนิยมวิไลของท่านหัวหน้าพรรคซึ่งนิยมชมชอบพวกนักจ้อ
ทว่า ชีวิตจริงกับชีวิตในนวนิยายขายความฝันนั้นมันเป็นหนังคนละเรื่อง ฟิล์มคนละม้วน เมื่อเหตุการณ์จริงในยุคสามก๊กนั้น จะต้องออกกรำศึกรบกันในสมรภูมิแบบถึงเลือดถึงเนื้อถึงชีวิต
ผู้เชี่ยวชาญการรบด้วยน้ำลาย แบบ “ จอมเขฬายุทธ์ ” อย่างม้าเจ๊กเด็กวานซืนซึ่งยืนขึ้นวาดลีลาสะกดให้ผู้คนหลับใหลได้ในห้องประชุมเมืองเอ๊กจิ๋ว พอไปเจอของจริงในการออกศึกครั้งแรกก็ต้องทำให้ขงเบ้งน้ำตาตก
เมื่อขงเบ้งตัดสินใจกรีธาทัพใหญ่จากเสฉวนขึ้นสู่ภาคเหนือเพื่อประกาศศักดาว่าเป็นยอดเสนาธิการอันดับหนึ่งของแผ่นดิน..เทียนเซี่ยตี้ยีจวุนซือ 天下第一军师 Tian xia di yi jun shi .
ขงเบ้งจึงเรียกประชุมขุนศึกนายกองทั้งหลายที่กระโจมท่านแม่ทัพใหญ่ ตามฤกษ์ดีมีชัยที่ตนเองคิดคำนวณไว้แล้ว เพื่อให้ทุกคนมาแบมือรอรับมอบถุงวิเศษสอดใส่อุบายนำไปปฏิบัติตามยุทธวิธีสุดยอดของแม่ทัพหนึ่งเดียวคนนี้ที่ทำงานใหญ่ใดๆ ได้สำเร็จลุล่วงโดยไม่ต้องฟังความคิดเห็นของใครทั้งนั้น
ขอเพียงผู้รับปฏิบัติมีความสามารถเพียงแค่แกะเชือกผูกถุงออกได้แล้วนำเอาอุบายที่เขียนไว้ในถุงออกมาอ่านให้ออกเท่านั้น ก็จะทำการสัมฤทธิ์ผลได้ตามอุบายที่อาจารย์มังกรหลับคาดการณ์ล่วงหน้าได้แม่นยำราวกับเทพยดา
หมายความว่า แม่ทัพนายกองของขงเบ้งนั้น ไปออกศึกได้โดยไม่ต้องใช้สมองของตนเอง แค่เพียงมีเรี่ยวแรงแกะถุงออกดูอุบายก็ไปทำการใหญ่ได้แล้ว
ดูจากวิธีนี้คิดว่าคนขี่ซาเล้งเก็บของเก่าขายที่มีความชำนาญในการแกะดูถุงต่างๆ น่าจะไปสมัครเป็นแม่ทัพนายกองของขงเบ้งดูบ้าง คงมีโอกาสทำงานใหญ่ได้เป็นท่านแม่ทัพนายกองอะร้าอร่ามกันไปหมดเชียวหละ
กลับมาคุยเรื่องม้าเจ๊กดีกว่าครับ
วันนั้น สงสัยขงเบ้งจะเจ็บคอพูดไม่ค่อยออกเหมือนอย่างเคย ในที่ประชุมแม่ทัพนายกองจึงกลายเป็นม้าเจ๊กเดี่ยวมือสองรองจากขงเบ้งทำหน้าที่ในการชี้แจงต่อที่ประชุมซึ่งแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างนั่งกุมอวัยวะส่วนสำคัญของตนเองไว้อย่างเรียบร้อยเพียงแค่คอยเงี่ยหูฟังแล้วรอรับถุงอุบายเหมือนอย่างก่อนๆ
ม้าเจ๊กคุยโขมงโฉงเฉงแล้วปิดท้ายดื้อๆ ว่างานนี้ตนเองขออาสาเป็นแม่ทัพหน้าไปรักษาด่านเกเต๋ง ( เจียถิง ) 街亭 jie ting คนอื่นๆ นึกหมั่นไส้ม้าเจ๊กมานานแล้วที่เก่งแต่พูดฉอดๆ ในที่ประชุมจึงปล่อยให้ม้าเจ๊กไปทำหน้าที่สำคัญตามคำคุย
ผลปรากฏว่าจบลงด้วยการที่ ขงเบ้งหลั่งน้ำตาฆ่าม้าเจ๊ก..ข่งหมิงฮุยเล่ยจ่านหม่าซู่
孔明挥泪斩马谡 kong ming hui lei zhan ma su .