xs
xsm
sm
md
lg

‘ดอกไม้บาน’ ที่ปักกิ่ง

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล


'สักวันหนึ่งดอกไม้จะบาน' เคยเป็นชื่อคอลัมน์ยอดนิยมคอลัมน์หนึ่งในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ที่ผมต้องติดตามอ่านทุกครั้ง จนกระทั่งออกมาเป็นหนังสือ (ชื่อเดียวกัน) แล้ว ผมก็หวังว่า คุณรุ่งมณี เมฆโสภณ ผู้เขียนจะกลับมาเขียน 'สักวันหนึ่งดอกไม้จะบาน' อีกครั้ง เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของบุคคลจากทั่วโลก ที่ชีวิตของพวกเขาเผยอกลีบราวกับดอกไม้ เบ่งบาน กระจาย สีสันและกลิ่นหอม ให้ผู้คนได้เมียงมอง ดอมดม และ ชื่นชม
.............................
สัปดาห์นี้ ผมขออนุญาตลัดคิว เว้นวรรคเรื่อง 'ซิ่ง' เพื่อนำเรื่องสวยๆ งามๆ ของธรรมชาติมารับใช้ท่านผู้อ่าน กันสักหนึ่งตอน

ทุกๆ ปี กล่าวได้ว่า ชาวจีนทั่วทุกมุมโลกต่างก็เฝ้ารอช่วงเวลาแห่งความรื่นเริงและเบิกบานที่สุดของชีวิตครั้งหนึ่ง ..... ครับ! อาจกล่าวได้ว่าช่วงเวลานั้นก็คือ 'ฤดูใบไม้ผลิ' เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเปรียบเสมือนว่า ฤดูหนาวอันเย็นยะเยือกกำลังจะผ่านพ้นไป และชีวิตกำลังก้าวย่างเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความอบอุ่น ช่วงเวลาแห่งความสดชื่นเบิกบาน ช่วงเวลาแห่งการเพาะปลูก นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไม ชาวจีนจึงให้ความสำคัญกับ เทศกาลตรุษจีน หรือ เทศกาลแห่งฤดูใบไม้ผลิ (ชุนเจี๋ย:春节) มากที่สุด

ปีนี้แม้บรรยากาศของเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ หรือ ตรุษจีนจะผ่านพ้นไปตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์แล้ว แต่ ‘ฤดูใบไม้ผลิ’ อย่างเป็นทางการของปักกิ่งกลับเพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อต้นเดือนเมษายนนี้เอง โดย สัญญาณที่บ่งชี้ถึงการมาถึงดังกล่าวก็คือ บรรดายอดสีเขียวที่ผุดออกมาจากปลายสีน้ำตาลของกิ่งไม้ต่างๆ รวมไปถึงการชูช่อเบ่งบานของบรรดาพรรณไม้ดอกนานาชนิด

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา สวนสาธารณะหลายแห่งในปักกิ่งต่างก็เริ่มเปิดเทศกาลดอกไม้กันแล้ว เช่น

• เทศกาลดอกซากุระ (樱花) ที่สวนสาธารณะยู่ยวนถาน (玉渊潭公园)
• เทศกาลดอกทิวลิป (郁金香) และ เทศกาลดอกเหมย (梅花) ที่สวนสาธารณะจงซาน (中山公园)
• เทศกาลดอกโบตั๋น (牡丹) ที่สวนสาธารณะจิ่งซาน (景山公园)

สำหรับคนโลเลอย่างผม หลังจากลังเลใจอยู่นาน ตัดสินใจไม่ได้เสียทีว่าจะไป ชม 'ดอกไม้' ที่ใดดี บ่าย วันเสาร์ที่ผ่านมาก็ตกลงปลงใจตรงไปยังสวนพฤกษศาสตร์ปักกิ่ง (北京植物园) ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงปักกิ่ง

สวนพฤกษศาสตร์ปักกิ่ง (北京植物园:Beijing Botanical Garden) ตั้งอยู่ ณ ตีนเทือกเขาตะวันตก (ซีซาน:西山) ใกล้ๆ กับ เซียงซาน สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของปักกิ่ง โดย สวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้นั้นก่อตั้งเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2499 (ค.ศ.1956) ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีจีนเพื่อเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ไม้นานาชนิดภายในประเทศและจากทั่วทุกมุมโลก โดยปัจจุบันสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ได้มีการขยับขยายจนมีพื้นที่กว่า 400 เฮกตาร์ (4 ล้านตารางเมตร) แล้ว นอกจากนี้ยังบรรจุพรรณไม้ไว้มากกว่า 10,000 ชนิด และต้นไม้กว่า 1 ล้าน 5 แสนต้น*

สวนพฤกษศาสตร์ปักกิ่ง มีการจัดแบ่งพื้นที่ซึ่งเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม โดยเป็น 2 ส่วนหลัก ด้วยกัน คือ ส่วนการจัดแสดงพรรณไม้-พักผ่อนผ่อนหย่อนใจ และ ส่วนโบราณสถานทางประวัติศาสตร์

ในส่วนของ การจัดแสดงพรรณไม้ นั้นก็มีการแยกออกเป็นอีก 3 ส่วนย่อยด้วยกันคือ ส่วนไม้ดอกไม้ประดับ ส่วนไม้ยืนต้น และ ส่วนเรือนกระจกควบคุมอุณหภูมิ

ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ขนาดนี้ทำให้ ในสวนพฤกษศาสตร์ปักกิ่งสามารถจัดพื้นที่เป็น สวนพรรณไม้ย่อย เช่น สวนดอกซากุระ สวนดอกกุหลาบ สวนดอกแมกโนเลีย สวนดอกท้อ สวนดอกโบตั๋น สวนไผ่ สวนต้นเหมย ได้อย่างสะดวก

นอกจากชมดอกไม้ ต้นไม้แล้ว สำหรับชาวจีนที่มาเยือนสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้นั้นมักจะไม่พลาดที่จะเข้าเยี่ยมชม เรือนกระจกขนาดมหึมา ที่รวบรวมเอาบรรดาไม้เมืองร้อนเข้าไว้เพียบ ไม่ว่าจะเป็น พรรณไม้เขตร้อน พรรณไม้ในเขตทะเลทราย และพรรณไม้ในป่าดิบ โดยต้นไม้และไม้ดอก ที่ในเรือนกระจกแห่งนี้มีต่างก็สามารถพบเห็นได้ที่เมืองไทยทั้งสิ้น อย่างเช่น หน้าวัว เฟื่องฟ้า ปาล์ม มะพร้าว กล้วยไม้ ลั่นทม ชวนชม ฯลฯ

เมื่อลองนั่งนึกๆ ไปแล้ว ผมก็เห็นว่า คงคล้ายๆ กันกับที่คนไทยนิยมไปดูพันธุ์ไม้เมืองหนาวกันที่ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ แม่ริม เชียงใหม่ นั่นแล

ในส่วนของ โบราณสถานทางประวัติศาสตร์ ในบริเวณของสวนพฤกษศาสตร์ปักกิ่งมีสถานที่ซึ่งน่าสนใจ ประกอบด้วย วัดพระนอน (โว่โฝซื่อ:卧佛寺) หลุมศพของเหลียงฉี่เชา (梁启超) และ อนุสรณ์ของเฉาเสี่ยว์ฉิน (曹雪芹)

วัดพระนอน หรือชื่อเดิมคือ วัดโตวส้วย (兜率寺) เดิมทีเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง ก่อนที่จะมีการทำนุปฏิสังขรณ์กันครั้งใหญ่ในสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ.1271-1368) โดยในยุคที่จีนปกครองโดยราชวงศ์มองโกล ปี ค.ศ.1321 นี้เอง ได้มีการหล่อพระพุทธรูปจากสัมฤทธิ์ขึ้นโดยมีน้ำหนัก 54 ตัน ยาว 5.3 เมตร

สำหรับพระนอนองค์นี้ เป็นพระพุทธรูปนอนในท่าเดียวกับที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนจะเสด็จปรินิพพาน โดยหลักฐานระบุว่า การสร้างพระพุทธรูปนอนองค์นี้ ใช้เงินกว่า 10 ล้านก้วน (贯:คนจีนสมัยก่อนจะเอาเหรียญรูร้อยกับเชือก 1,000 เหรียญเท่ากับ 1 ก้วน)

ต่อมาในราชวงศ์ชิง สมัยฮ่องเต้หย่งเจิ้ง ค.ศ.1734 ก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อวัดนี้เป็น วัดสือฟังผู่เจี๋ยว์ (十方普觉寺) อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่วัดแห่งนี้มีพระนอนประดิษฐานอยู่ ชาวจีนทั่วไปจึงนิยมเรียกวัดแห่งนี้ด้วยชื่อสั้นๆ ว่า วัดพระนอน

หลุมศพของเหลียงฉี่เชา - เหลียงฉี่เชา (1873-1929) เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของประวัติศาสตร์จีนในยุคปลายของราชวงศ์ชิง ในฐานะปัญญาชน ผู้ที่ริเริ่มการปฏิรูปการปกครองของจีน โดย เหลียงฉี่เชาได้ร่วมมือกับ คังโอ่วเหวย (หรือ คังอิ่วเหวย:康有为) และ ฮ่องเต้กวงสู้ จนในที่สุดเกิดผลเป็นการปฏิรูปที่ถูกจารึกชื่อไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์ว่า "การปฏิรูปร้อยวัน" (ค.ศ.1898)

แม้การปฏิรูปครั้งดังกล่าวจะล้มเหลวไม่เป็นท่าเนื่องจากดำเนินการไปได้เพียง 103 วัน ก็ถูกพระนางซูสีไทเฮาล้มกระดาน แต่เหลียงก็ถือเป็นปัญญาชนชาวจีนกลุ่มแรกๆ ที่ลุกขึ้นมาแสดงเจตจำนงในการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชทีดำเนินต่อเนื่องยาวนานมากว่า 2,000 ปีของจีน เพื่อผลักดันให้ประเทศจีนก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการพัฒนาที่เทียบเคียงกับชาติตะวันตก

อนุสรณ์ของเฉาเสี่ยว์ฉิน (曹雪芹) - เฉาเสี่ยว์ฉิน ชื่อนี้เชื่อว่าไม่มีคนจีนคนใดที่ไม่รู้จัก รวมไปถึงคนไทยที่ชื่นชมในวรรณกรรมคลาสสิกของจีน เนื่องจาก เฉาเสี่ยว์ฉินผู้นี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนักประพันธ์นวนิยายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน โดย นวนิยายที่เฉาแต่งขึ้นก็คือ ความฝันในหอแดง (红楼梦) หรือ อีกชื่อหนึ่งคือ บันทึกของก้อนหิน (石头记)

ปัจจุบัน ความฝันในหอแดง ของเฉา ชาวจีนถือว่าเป็นหนึ่งในสี่ยอดวรรณคดีเอกแห่งแผ่นดินจีน ร่วมกับ ไซอิ๋ว (西游记) สามก๊ก (三国) และ ซ้องกั๋ง (水浒传) โดย ในบรรดาสี่เรื่องนี้ ความฝันในหอแดงเป็นวรรณกรรมที่ถูกประพันธ์ขึ้นที่หลังสุด ในช่วงปลายยุคสมัยของราชวงศ์ชิง โดย ความฝันในหอแดงนั้นถือว่าเป็นวรรณกรรมที่ตีแผ่ความเหลวแหลกของสังคมศักดินาของจีน โดยเป็นวรรณกรรมที่มีความซับซ้อนและลึกซึ้ง (เพียงแค่ตัวละครก็มีมากกว่า 350 ตัวแล้ว) ทั้งในแง่มุมทางวรรณกรรม และการถ่ายทอดวัฒนธรรมจีนในหลากหลายสาขาจีน

ความอัจฉริยะของเฉาเสี่ยว์ฉิน ที่ถ่ายทอดออกมาสู่ ความฝันในหอแดงนั้นทำให้ถึงปัจจุบันมีสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ นวนิยายเรื่องนี้โดยเฉพาะ และเรียกกันสั้นๆ ว่า หงเสียว์ (红学) โดยปัจจุบันในแวดวงวิชาการของจีนและทั่วโลกมีผู้ทำการวิจัยนวนิยายเล่มนี้นับเป็นหมื่นๆ คน

สำหรับอนุสรณ์ของเฉาเสี่ยว์ฉิน ที่สวนพฤกษศาสตร์ปักกิ่งนี้ ถูกสร้างและต่อเติมขึ้นจากโครงของบ้านโบราณหลังเดิมที่มีอยู่แล้วแต่ทรุดโทรม โดยจากการค้นคว้าหาหลักฐานของนักวิชาการทางด้านวรรณกรรมจีนที่ศึกษาเกี่ยวกับ เฉาเสี่ยว์ฉิน ชี้ว่า ในบั้นปลายของชีวิตเฉาเคยใช้ชีวิตและเขียนหนังสืออยู่ที่นี่ ......

ก่อนที่พระอาทิตย์จะโบกมือลาท้องฟ้า ...... ผมยืนมองดอกซากุระที่เพิ่งแย้มกลีบ อย่างพินิจพิเคราะห์สำหรับผมเพิ่งรู้สึกตัวเอาวันนี้ว่า ความงดงามที่แท้จริงของฤดูใบไม้ผลิ นั้นเป็นเช่นไร

มากกว่านั้น ดอกไม้ที่บานอยู่ตรงหน้ายังพาให้ผมคิดไปถึงสำนวนจีนสำนวนหนึ่งที่กล่าวว่า

"莺花犹怕春光老,岂可教人枉度春"**
อิงฮวาโหยวพ่าชุนกวงเหล่า ฉีเข่อเจี้ยวเหรินหวั่งตู้ชุน
อธิบายเป็นไทยแบบเข้าใจง่ายๆ ได้ คือ "แม้แต่นกขมิ้นกับดอกไม้ ก็ยังกลัวว่าช่วงเวลาของฤดูใบไม้ผลิจะผ่านพ้นไป แล้วคนเราล่ะจะยอมให้ช่วงเวลาที่มีค่าผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์เช่นนั้นหรือ ... "

เนื่องในวันสงกรานต์ ปีใหม่ไทยนี้ผมขออารธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก โปรดดลบันดาลให้ท่านผู้อ่านและครอบครัว สุขภาพกาย-ใจแข็งแรง พบแต่ความสุข สดชื่นสดใส และมีดอกไม้ผลิบานในใจกันทุกคนนะครับ ...... : )

Tips สำหรับการเดินทาง:
- การเดินทาง มีรถประจำทางสาย 331, 737, 854, 904, 360, 318, 714, 733 ผ่าน หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ (010) 62591283 62591561 หรือ เว็บไซต์ www.beijingbg.com
- บัตรชุดผ่านประตูราคา 55 หยวน เข้าได้ทุกแห่งทั้ง วัดพระนอน อนุสรณ์เฉาเสี่ยว์ฉิน ฯลฯ หากไม่สนใจจะเข้าเรือนกระจก (ค่าบัตรธรรมดา 50 หยวน คนชรา-นักเรียน 40 หยวน) ก็จะประหยัดได้มาก เพราะค่าบัตรผ่านประตูสำหรับผู้ใหญ่ราคาเพียง 10 หยวน มีบัตรนักเรียนลดครึ่งราคาเหลือ 5 หยวน

หมายเหตุ :
*จากหนังสือสวนพฤกษศาสตร์ปักกิ่ง (北京植物园) โดย หวงอี้ (黄亦) สำนักพิมพ์ 北京美术摄影出版社 จัดพิมพ์เดือนสิงหาคม 2547
**จาก 增广贤文 - [清]周希陶



















กำลังโหลดความคิดเห็น