ในประเทศตะวันตก ฮวงจุ้ย (风水) หรือเฟิงสุ่ยได้กลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ในกลุ่มชาวเมืองที่กระหายยกระดับชีวิตของพวกเขาให้ดีและเก๋ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเหล่าเซเลบริตี้ (คนมีชื่อเสียง) เช่น เดวิด เบ็กแฮม นักเตะแข้งทอง ไปจนถึงนักร้องสาวใหญ่ผู้หลงใหลกลิ่นอายตะวันออกอย่างมาดอนน่า กระโดดลงให้แสดงความสนใจอย่างจริงจังต่อศาสตร์นี้ เรื่อยไปจนถึงองค์กรทางธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น สายการบินและธนาคาร ต่างก็เรียกหาผู้เชี่ยวชาญมาเพื่อขอคำปรึกษาเช่นกัน

แต่สำหรับในฮ่องกง แผ่นดินใหญ่ และส่วนต่างๆ ของโลกที่มีชาวจีนอาศัยอยู่ การพูดถึงฮวงจุ้ย ไม่ใช่เรื่องของความเก๋ หรือความงมงาย แต่เรื่องราวเหล่านี้กลับเป็นส่วนสำคัญของพวกเขามาตั้งแต่เมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว ดังที่ ตงเจี้ยนหัว ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง เคยปฏิเสธที่จะเข้าพักอาศัยในบ้านพักประจำตำแหน่งของทางราชการที่ผู้ว่าการคนก่อนเคยอยู่ ด้วยเหตุผลว่าฮวงจุ้ยไม่ดี
“เราควรรู้โชคชะตาของเรา ยึดมั่นและยอมรับมัน แล้วใช้ฮวงจุ้ยเพื่อยกระดับตัวเรา ด้วยการปรับสิ่งแวดล้อม” ลีเซ่งทอง อาจารย์ฮวงจุ้ยชื่อดังแห่งเกาะฮ่องกงกล่าว พร้อมเสริมว่าชีวิตของคนเราไม่สามารถเดินหน้าเป็นเส้นตรงไปได้ตลอดกาล แต่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงมีทั้งขึ้นและลง เราจึงควรรู้ว่าจะควบคุมอารมณ์ของเราได้อย่างไร และจะพัฒนาศักยภาพของเราไปในทางไหน เช่นเดียวกับสุขภาพและความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ

อาจารย์ลีบอกเราว่า ฮวงจุ้ยเป็นสิ่งที่มากกว่าวันเดือนปีเกิด แต่ยังต้องพิจารณาถึงสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้โชคดำเนินไปด้วย โดยปัจจัย 5 ประการที่มีผลกระทบต่อชีวิตของเรา ได้แก่โชคชะตา โชค ฮวงจุ้ย ความมีเมตตาและการศึกษา ซึ่งสามข้อหลังเป็นสิ่งที่เรากำหนดขึ้นมาเองได้ แล้วโชคดีก็จะเป็นของเรา
ส่วนกุญแจสำคัญของฮวงจุ้ย นั่นคือการสร้างสมดุลระหว่างหยินกับหยาง ที่ยังมีธาตุทั้ง 5 อยู่ภายในนั้น คือ ดิน น้ำ ไฟ ไม้และโลหะ ดังเช่น คนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย ก็คือคนที่มีธาตุไฟสูง จำเป็นจะต้องตกแต่งที่อยู่อาศัยด้วยสีของธาตุน้ำ เช่น สีดำ หรือธาตุไม้ เช่น สีน้ำเงิน ซึ่งทั้งหมดก็จะต้องอาศัย ‘ชี่ ‘ พลังลมปราณแห่งชีวิตเป็นตัวขับเคลื่อนด้วย
กฎของฮวงจุ้ย ซึ่งโดยตัวอักษรแล้ว หมายถึงลม(风-เฟิง)และน้ำ(水-สุ่ย) ได้กำเนิดขึ้นมาในสมัยราชวงศ์ฮั่น( 206 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ.220 ) เป็นการประสานศาสตร์ชนิดต่างๆ ของจีนเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นปรัชญา การสังเกตสิ่งแวดล้อม สถิติ โหราศาสตร์ ตัวเลข ทฤษฏีทางการแพทย์ ภูมิศาสตร์ อุตุนิยม และแม้กระทั่งจิตวิทยา

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่เห็นว่าฮวงจุ้ยก็เป็นเพียงความเชื่อที่หาหลักฐานพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ดังที่ชานซุนซิง ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแปบติสท์ ฮ่องกง กล่าวว่า “หากคุณเชื่อในโชคชะตา และเชื่อว่ามีการกำหนดมาจากสิ่งที่อยู่เหนือโลกนี้ แล้วคุณจะพิสูจน์มันได้อย่างไร ? ”
แต่อาจารย์ลี กลับมีความเห็นว่า “ผู้คนทุกวันนี้เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ แต่รู้น้อยลงเกี่ยวกับฮวงจุ้ยที่มีพัฒนาการมาตลอดตั้งแต่สมัยโบราณ ดังนั้น พวกเขาจึงยังเข้าใจว่าฮวงจุ้ยเป็นเพียงความเชื่อที่ผิด ”
“หากผมให้คุณนำหินทั้งถ้วยไปวางบนโต๊ะแล้วบอกว่ามันจะเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณ นี่แหละคือความงมงาย เพราะว่ามันอธิบายไม่ได้ แต่ถ้าเราวิเคราะห์อย่างจริงจัง ทฤษฏีของฮวงจุ้ยเป็นผลลัพธ์จากประสบการณ์ของมนุษย์ วัฒนธรรม ปรัชญา สถิติ การแพทย์และสิ่งแวดล้อม เพียงแต่คุณยังไม่เข้าใจมันเท่านั้นเอง ”

สำหรับตัวอาจารย์ลีและพี่น้องอีก 7 คนเองนั้น เกิดในครอบครัวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยอยู่แล้ว ดังนั้นจึงได้รับการทำนายทายทักจากผู้เป็นบิดาตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งบิดาของเขาก็ได้ระบุไว้แล้วว่าก่อนอายุ 33 ลีจะประสบความสำเร็จในชีวิตเพียงเล็กน้อย แต่หลังจากนั้น ลีจะต้องเข้ามาสู่วงการฮวงจุ้ยและมีชื่อเสียงในศาสตร์นี้ รวมถึงมีทฤษฎีของตัวเองด้วย ซึ่งในที่สุด ชะตาของอาจารย์ลีก็เป็นไปตามที่พ่อของเขาพูดไว้ทุกประการ
“มันเป็นโชคชะตา” ลีระบุ พร้อมเสริมว่า “ผมไม่ค่อยตรวจดูดวงชะตาเท่าไหร่นัก ส่วนหนึ่งเพราะไม่ใช่ทุกครั้งที่โชคดี และหากคุณรู้ว่าคุณจะเจอเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี มันจะทำให้คุณเกิดความรู้สึกกดดัน หรืออาจจะผิดหวังได้ เราควรปล่อยให้โชคชะตามันดำเนินไป และยอมรับมันให้ได้ ” อาจารย์ลีทิ้งท้าย .
เรียบเรียงจาก เอเอฟพี
แต่สำหรับในฮ่องกง แผ่นดินใหญ่ และส่วนต่างๆ ของโลกที่มีชาวจีนอาศัยอยู่ การพูดถึงฮวงจุ้ย ไม่ใช่เรื่องของความเก๋ หรือความงมงาย แต่เรื่องราวเหล่านี้กลับเป็นส่วนสำคัญของพวกเขามาตั้งแต่เมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว ดังที่ ตงเจี้ยนหัว ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง เคยปฏิเสธที่จะเข้าพักอาศัยในบ้านพักประจำตำแหน่งของทางราชการที่ผู้ว่าการคนก่อนเคยอยู่ ด้วยเหตุผลว่าฮวงจุ้ยไม่ดี
“เราควรรู้โชคชะตาของเรา ยึดมั่นและยอมรับมัน แล้วใช้ฮวงจุ้ยเพื่อยกระดับตัวเรา ด้วยการปรับสิ่งแวดล้อม” ลีเซ่งทอง อาจารย์ฮวงจุ้ยชื่อดังแห่งเกาะฮ่องกงกล่าว พร้อมเสริมว่าชีวิตของคนเราไม่สามารถเดินหน้าเป็นเส้นตรงไปได้ตลอดกาล แต่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงมีทั้งขึ้นและลง เราจึงควรรู้ว่าจะควบคุมอารมณ์ของเราได้อย่างไร และจะพัฒนาศักยภาพของเราไปในทางไหน เช่นเดียวกับสุขภาพและความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ
อาจารย์ลีบอกเราว่า ฮวงจุ้ยเป็นสิ่งที่มากกว่าวันเดือนปีเกิด แต่ยังต้องพิจารณาถึงสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้โชคดำเนินไปด้วย โดยปัจจัย 5 ประการที่มีผลกระทบต่อชีวิตของเรา ได้แก่โชคชะตา โชค ฮวงจุ้ย ความมีเมตตาและการศึกษา ซึ่งสามข้อหลังเป็นสิ่งที่เรากำหนดขึ้นมาเองได้ แล้วโชคดีก็จะเป็นของเรา
ส่วนกุญแจสำคัญของฮวงจุ้ย นั่นคือการสร้างสมดุลระหว่างหยินกับหยาง ที่ยังมีธาตุทั้ง 5 อยู่ภายในนั้น คือ ดิน น้ำ ไฟ ไม้และโลหะ ดังเช่น คนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย ก็คือคนที่มีธาตุไฟสูง จำเป็นจะต้องตกแต่งที่อยู่อาศัยด้วยสีของธาตุน้ำ เช่น สีดำ หรือธาตุไม้ เช่น สีน้ำเงิน ซึ่งทั้งหมดก็จะต้องอาศัย ‘ชี่ ‘ พลังลมปราณแห่งชีวิตเป็นตัวขับเคลื่อนด้วย
กฎของฮวงจุ้ย ซึ่งโดยตัวอักษรแล้ว หมายถึงลม(风-เฟิง)และน้ำ(水-สุ่ย) ได้กำเนิดขึ้นมาในสมัยราชวงศ์ฮั่น( 206 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ.220 ) เป็นการประสานศาสตร์ชนิดต่างๆ ของจีนเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นปรัชญา การสังเกตสิ่งแวดล้อม สถิติ โหราศาสตร์ ตัวเลข ทฤษฏีทางการแพทย์ ภูมิศาสตร์ อุตุนิยม และแม้กระทั่งจิตวิทยา
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่เห็นว่าฮวงจุ้ยก็เป็นเพียงความเชื่อที่หาหลักฐานพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ดังที่ชานซุนซิง ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแปบติสท์ ฮ่องกง กล่าวว่า “หากคุณเชื่อในโชคชะตา และเชื่อว่ามีการกำหนดมาจากสิ่งที่อยู่เหนือโลกนี้ แล้วคุณจะพิสูจน์มันได้อย่างไร ? ”
แต่อาจารย์ลี กลับมีความเห็นว่า “ผู้คนทุกวันนี้เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ แต่รู้น้อยลงเกี่ยวกับฮวงจุ้ยที่มีพัฒนาการมาตลอดตั้งแต่สมัยโบราณ ดังนั้น พวกเขาจึงยังเข้าใจว่าฮวงจุ้ยเป็นเพียงความเชื่อที่ผิด ”
“หากผมให้คุณนำหินทั้งถ้วยไปวางบนโต๊ะแล้วบอกว่ามันจะเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณ นี่แหละคือความงมงาย เพราะว่ามันอธิบายไม่ได้ แต่ถ้าเราวิเคราะห์อย่างจริงจัง ทฤษฏีของฮวงจุ้ยเป็นผลลัพธ์จากประสบการณ์ของมนุษย์ วัฒนธรรม ปรัชญา สถิติ การแพทย์และสิ่งแวดล้อม เพียงแต่คุณยังไม่เข้าใจมันเท่านั้นเอง ”
สำหรับตัวอาจารย์ลีและพี่น้องอีก 7 คนเองนั้น เกิดในครอบครัวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยอยู่แล้ว ดังนั้นจึงได้รับการทำนายทายทักจากผู้เป็นบิดาตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งบิดาของเขาก็ได้ระบุไว้แล้วว่าก่อนอายุ 33 ลีจะประสบความสำเร็จในชีวิตเพียงเล็กน้อย แต่หลังจากนั้น ลีจะต้องเข้ามาสู่วงการฮวงจุ้ยและมีชื่อเสียงในศาสตร์นี้ รวมถึงมีทฤษฎีของตัวเองด้วย ซึ่งในที่สุด ชะตาของอาจารย์ลีก็เป็นไปตามที่พ่อของเขาพูดไว้ทุกประการ
“มันเป็นโชคชะตา” ลีระบุ พร้อมเสริมว่า “ผมไม่ค่อยตรวจดูดวงชะตาเท่าไหร่นัก ส่วนหนึ่งเพราะไม่ใช่ทุกครั้งที่โชคดี และหากคุณรู้ว่าคุณจะเจอเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี มันจะทำให้คุณเกิดความรู้สึกกดดัน หรืออาจจะผิดหวังได้ เราควรปล่อยให้โชคชะตามันดำเนินไป และยอมรับมันให้ได้ ” อาจารย์ลีทิ้งท้าย .
เรียบเรียงจาก เอเอฟพี