"ไม่มีสวนที่ใดที่สามารถถ่ายทอด สถาปัตยกรรมของ 'สวนแบบจีน' ซึ่งต้องการสร้างสรรค์แและจำลองแบบภูมิประเทศตามธรรมชาติ ได้ดีกว่าสวนทั้งเก้าของเมืองประวัติศาสตร์แห่งซูโจวอีกแล้ว สวนเหล่านี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของสวนแบบจีน สวนเหล่านี้ที่ถูกสร้างสรรค์อย่างพิถีพิถันในช่วงเวลาของ ศตวรรษที่ 11-19 ได้สะท้อนถึงการให้ความสำคัญอันลึกซึ้งต่ออภิปรัชญาในความงดงามของธรรมชาติ ของวัฒนธรรมจีน ...." - จากรายงานการประชุมของคณะกรรมการองค์การยูเนสโกครั้งที่ 21 วันที่ 1-6 ธันวาคม 2540 ณ เมืองเนเปิล อิตาลี
หากกล่าวถึง สวนขุนนางผู้ถ่อมตน (จัวเจิ้งหยวน:拙政园) แล้ว ในลำดับต่อไปก็คงหลีกหนีไม่พ้นที่จะกล่าวถึง สวนอ้อยอิ่ง ในฐานะที่ต่างก็เป็น หนึ่งในสองสวนซูโจว ที่ติดอยู่ในอันดับสี่ยอดสวนแห่งแผ่นดินร่วมกัน
สวนอ้อยอิ่ง (หลิวหยวน:留园) เป็นสวนขนาดราว 2 เฮกตาร์ (20,000 ตารางเมตร) หรือถือว่าเป็นสวนที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของซูโจว อยู่ห่างออกมาจากย่านใจกลางเมืองมาทางทิศตะวันตกราว 4 กิโลเมตร
สวนอ้อยอิ่ง ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์หมิง โดยปัจจุบันถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือ ส่วนกลาง ส่วนตะวันออก ส่วนตะวันตก และส่วนเหนือ โดยส่วนกลางเป็นเนินเขาตัดกับสระน้ำ ส่วนตะวันออกเป็นที่พักอาศัยและสวนหิน ส่วนตะวันตกเป็นส่วนเนินเขากับป่ารก และส่วนเหนือเป็นทิวทัศน์ท้องนาในแบบชนบท*
จุดเด่นของการออกแบบสวนแห่งนี้ คือ การผสมผสานเอาหินแห่งไท่หู เข้ามาจัดเป็นสวนได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการนำมาจัดแต่งเป็น โต๊ะหิน เก้าอี้หิน ขั้นบันไดหิน หรือ ประติมากรรม ที่เมื่อมองในแต่ละทิศแต่ละมุมแล้วผู้มองจะสามารถจินตนาการไปได้หลายหลาก หรือเมื่อมองผ่านบานหน้าต่างที่จัดทำเอาไว้เสมือนเป็นกรอบรูปก็จะได้ภาพที่กลมกลืน และงดงาม
ทั้งนี้การนำหินมาจัดแต่งนั้นนับว่าเป็นศิลปะการจัดแต่งสวนอันเป็นเอกลักษณ์ของจีน โดยมีหินอันนับว่ามีชื่อเสียงที่สุดของ สวนอ้อยอิ่งแห่งนี้ก็คือ หินก้วนหยุนเฟิง (冠云峰) อันมีความสูงกว่า 6.5 เมตร
สำหรับสวนแห่งนี้นอกจากจะมีดีที่หินแล้ว ผู้ที่มีความหลงใหลในศิลปะการประดิษฐ์ตัวอักษรจีน (书法:Calligraphy) ก็ไม่ควรพลาดระเบียงยาวกว่า 700 เมตร ที่มีหินสลักตัวอักษรจีนโบราณกว่า 300 แผ่น จัดแสดงให้ชมตลอดทาง
เมื่อกล่าวถึงสวนหินแล้วก็คงหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึง ที่สุดของสวนหินแห่งซูโจวที่ชื่อว่า สวนสิงโต ไม่ได้
สวนสิงโต (ซือจึหยวน:狮子园) เดิมทีเป็นวัดที่ต่อมาถูกดัดแปลงเป็นสวน สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์หยวน (ปี ค.ศ.1342)* อยู่ห่างจากสวนขุนนางผู้ถ่อมตนเพียง 200 เมตรเท่านั้น สวนแห่งนี้แม้จะเล็กแต่ก็โดดเด่นด้วยการนำจัดวางหินให้เป็นรูปลักษณ์ต่างๆ โดยเฉพาะรูปสิงโตได้สวยงามอย่างน่าอัศจรรย์จนสวนแห่งนี้ได้ฉายาว่าเป็น "อาณาจักรแห่งสวนหิน (假山王国)"
เมื่อเดินมาถึงใจกลางของสวนสิงโต และเดินไปบนสะพานที่ทอดตัดไปบนผืนน้ำสีเขียว ผู้มาเยือนจะสามารถมองเห็นภาพในมุมกว้าง และความอลังการของ 'อาณาจักรแห่งสวนหิน' ได้อย่างเต็มตา
ฮ่องเต้ชิง ผู้เป็นที่รู้จักกันดีในหน้าประวัติศาสตร์อย่างเช่น คังซี และ เฉียนหลงต่างก็หลงใหลในสวนแห่งนี้ด้วยกันทั้งคู่ โดยเสด็จมาเยือนสวนแห่งนี้หลายครั้งหลายครา ทั้งนี้ฮ่องเต้เฉียนหลง นอกจากจะมาเยือน 'สวนสิงโต' มากถึง 6 ครั้ง พระองค์ยังนำรูปแบบของสวนแห่งนี้ไปจัดสวนส่วนพระองค์ของตนที่เมืองหลวง คือ พระราชวังฤดูร้อนแห่งเก่า (หยวนหมิงหยวน:圆明园) และ ตำหนักฤดูร้อนเฉิงเต๋อ (承德) ที่มณฑลเหอเป่ยของพระองค์อีกด้วย
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า ความประณีตในการออกแบบสวนจีนนั้นไม่เพียงต้องรักษาไว้ซึ่งความกลมกลืนระหว่าง อาคารและทิวทัศน์แบบธรรมชาติ แต่ยังจำเป็นต้องแฝงไว้ด้วยความลึกของปรัชญาความคิดแบบตะวันออก
เช่นที่สวนสิงโตก็มีสิ่งก่อสร้าง ภายใต้แนวคิดดังกล่าว คือ เก๋งถามเหมย (问梅阁) อันสร้างโดยมีแนวคิดมาจากพื้นฐาน เรื่องราวการถาม-ตอบระหว่างพระสงฆ์ของศาสนาพุทธ นิกายเซน
เนื่องจากในเรื่องเล่าดังกล่าวพระผู้รู้แจ้งในหลักธรรม แซ่เหมย (梅) ผู้สร้างจึงออกแบบ 'เก๋งถามเหมย' ให้ซ่อนไว้ด้วย 'ดอกเหมย' ทุกเหลี่ยมมุมไม่ว่าจะเป็น ประตู หน้าต่าง วงกบ โต๊ะ เก้าอี้ รวมไปถึงการตกแต่งด้วยภาพเขียน หรือ บทกวีบนฝาผนัง ด้วยเหตุนี้ 'เก๋งถามเหมย' จึงไม่เพียงทรงความงดงามในเชิงสถาปัตยกรรม และศิลปกรรม แต่หากได้มานั่งลงในห้องที่รายล้อมไว้ด้วย ดอกเหมยแห่งนี้ ผู้ที่เข้าใจถึงความหมายของคำว่า 'เหมย' ก็คงอดนึกทบทวนถึงหลักธรรมของนิกายเซนด้วยไม่ได้ ....
ดวงอาทิตย์ที่ทอแสงสีส้มนวลผ่านปุยเมฆ เริ่มลดระดับลงมาใกล้ขอบฟ้าขึ้นทุกทีๆ ผมเร่งฝีเท้าเดินเข้าตามซอยมาถึง สวนปรมาจารย์แห
สวนปรมาจารย์แห (หว่างซือหยวน:网师园) เป็นสวนเลื่องชื่อแห่งซูโจว ที่เรียกได้ว่ามีขนาดเล็กที่สุด โดยมีขนาดเพียงหนึ่งในสี่ของสวนตึกคลื่นคราม (沧浪亭) และเพียง หนึ่งในสิบของสวนขุนนางผู้ถ่อมตน อย่างไรก็ตาม สวนปรมาจารย์แห แม้จะเล็กแต่ก็ถือเป็น "เล็กพริกขี้หนู" โดย ฝรั่งผู้เขียนหนังสือนำเที่ยวจีน จาก Lonely Planet ถึงกับยกย่องว่า สวนแห่งนี้เยี่ยมกว่าสวนขุนนางผู้ถ่อมตน และยอดกว่าสวนซูโจวทั้งหมดรวมกันเลยทีเดียว**
สวนปรมาจารย์แห เริ่มสร้างครั้งแรกในปี ค.ศ.1174 สมัยราชวงศ์ซ่งใต้ อย่างไรก็ตามด้วยความทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ทำให้สวนที่เห็นในปัจจุบันนั้นเป็นสวนที่ถูกสร้างใหม่ในปี ค.ศ.1758 สมัยฮ่องเต้เฉียนหลง แห่งราชวงศ์ชิง
โดยชื่อ ปรมาจารย์แห นั้นมีผู้สันนิษฐานว่า ขุนนางผู้เป็นเจ้าของเดิมนั้น เมื่อลาออกจาราชการได้กล่าวถ้อยคำประชดประชันไว้ว่า ตนเองยินยอมที่จะเป็นชาวประมงผู้ต่ำต้อย ดีกว่าการเป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์ อย่างไรก็ตาม ต่อมาได้มีผู้อธิบายไว้ว่า ชื่อดังกล่าวมาจากเจ้าของสวนแห่งนี้ซึ่งเป็นขุนนางในสมัยราชวงศ์ชิงนามว่า ซ่งจงหยวน (宋宗元) ***
เรื่องมีอยู่ว่า ซ่งจงหยวนเดิมรับราชการอยู่ที่ปักกิ่ง เมืองหลวง ต่อมาเมื่อมารดาอายุมากเข้าจึงมีความคิดว่าจะสร้างสวนให้มารดาไว้ใช้พักผ่อนยามชรา ทั้งนี้ตั้งแต่เด็ก ซ่งจงหยวน มีความทรงจำอันงดงามเกี่ยวกับการตกปลาในบ่อน้ำบริเวณบ้านเกิด เขาจึงตัดสินใจสร้างสวนแห่งใหม่ขึ้นบนเนื้อที่แห่งเดิม ด้วยความกตัญญูและความมุ่งมั่นดังกล่าวเขาจึงลาออกจากราชการมาแต่งสวนและเลี้ยงดูมารดา (เมื่อมารดาเสียชีวิต เขาถึงกลับเข้ารับราชการอีกครั้ง) ทั้งนี้ เขาได้ให้ชื่อ สวนแห่งนี้ว่า เรือนหลังน้อยของปรมาจารย์แห (网师小筑)
ทั้งนี้ก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ถึง ชื่อ ปรมาจารย์แห ไว้อีกด้วยว่า ซ่งจงหยวนน่าจะดัดแปลงมาอีกที เนื่องจาก เสียงภาษาจีนกลางของคำว่าปรมาจารย์แห หรือ หว่างซือ (网师) นั้นใกล้เคียงกับคำว่า หวังซือ (王思) อันเป็นชื่อเดิมของตรอกแห่งหนึ่งในบริเวณนั้น
................................
การต้องเดินชมสวนซูโจวมาทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น แม้จะทำให้ขาทั้งคู่อ่อนล้าเกินกว่าที่จะเดินต่อ แต่ในใจผมกลับรู้สึกอิ่มเอิบไปกับ สัมผัสของความงดงามแห่งสวนจีน และ ภูมิปัญญาตะวันออกอันล้ำลึก
แสงแดดสุดท้ายของวัน ทอดผ่านลำต้นและกิ่งไม้ลงมากระทบกับพื้นดิน และต้นหญ้า .... ผมถือวิสาสะนั่งลงข้างเก๋งจีนบนเนินเขาเล็ก ซึมซับความสงัดของบรรยากาศรอบข้าง เสพความรู้สึกสงบของจิตใจ ในสวนสวยอย่างเงียบๆ
Tips สำหรับการเดินทาง:
- ค่าเข้าชม สวนอ้อยอิ่ง อยู่ที่ 30 หยวน ในช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว และ 40 หยวนในฤดูท่องเที่ยว, สวนสิงโต 20 หยวน ในช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว และ 30 หยวนในฤดูท่องเที่ยว, สวนตึกคลื่นคราม 10 หยวน, สวนปรมาจารย์แห 20 หยวน ในช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว และ 30 หยวนในฤดูท่องเที่ยว
- ควรวางแผนท่องเที่ยวสวนซูโจว ให้ละเอียดรอบคอบ อย่างเช่น เที่ยวชมสวนในเมืองอย่างเช่น สวนขุนนางผู้ถ่อมตน สวนอ้อยอิ่ง สวนสิงโต สวนตึกคลื่นคราม และ สวนปรมาจารย์แห ให้เรียบร้อย ก่อนเดินทางมานอกเมืองมาเก็บ สวนอ้อยอิ่ง ที่อยู่บริเวณชานเมือง
- ไม่ควรหลงกลบรรดารถรับจ้างที่แนะนำว่า มีสวนน่าสนใจแห่งอื่นๆ อย่างเช่น สวนประเพณีจีน (水乡风情民俗园) เนื่องจากเป็นสวนสร้างใหม่ที่ใช้รับนักท่องเที่ยวที่มากับกรุ๊ปทัวร์โดยเฉพาะ และบัตรค่าเข้าชมยังแพงเกินราคามาก
- ระมัดระวัง เวลาเปิด-ปิด ของสวนต่างๆ เนื่องจากแต่ละแห่งไม่เหมือนกัน และในแต่ละฤดูของปีก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย ทั้งนี้โดยเฉลี่ยแล้ว สวนซูโจวจะเปิดให้บริการในช่วง 8.00-17.00 น. หรือ 7.30-17.30 น. ขณะที่ในหน้าร้อนบางแห่งจัดแต่งไฟให้สามารถเข้าชมสวนในช่วงกลางคืนได้ด้วย
อ้างอิงจาก :
*หนังสือท่องเที่ยวเจียงซู-เจ้อเจียง ฉบับท่องเที่ยวด้วยตัวเอง (臧羚羊自助游) สำนักพิมพ์ 中国大百科全书出版社 ฉบับเดือนพฤษภาคม ปี 2004 หน้า 60-61
**หนังสือนำเที่ยวจีน ฉบับสมบูรณ์ Lonely Planet ส่วน เจียงซู-ซูโจว หน้า 303
***หนังสือเยือนสวนซูโจว (游访苏州园林•城市里的山水情怀) โดยหวังจงเหวย (王宗为) สำนักพิมพ์ 上海古籍出版社 เดือนเมษายน ปี 2004 หน้า 26