จะกล่าวถึงสิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของ 'ซูโจว' หนึ่ง คงพลาดไม่ได้ที่จะต้องว่าถึง คลองซูโจว
ซูโจว มี ลำคลองล้อมรอบเมือง บวกกับที่ตัดผ่านตัวเมืองมากมายหลายหลายสิบสายและต่อเชื่อมกันจนเป็นเครือข่าย ประกอบกับสะพานหินหลายร้อยที่ทอดข้ามลำคลองเหล่านี้ ส่งให้ซูโจวได้ฉายานามว่า "เวนิสตะวันออก"
สำหรับเมืองที่มีพื้นที่ร้อยละ 55 เป็นพื้นที่ราบ ร้อยละ 3 เป็นเนินเขา และ ร้อยละ 42 เป็นน้ำ ฉายาว่า 'เวนิสตะวันออก' คงไม่เกินเลยไปนัก*
เสียงน้ำที่ถูกวักด้วยไม้พาย คล้ายเสียงปลาตัวเขื่องที่กระโดดขึ้นมาฮุบเหยื่อบนผิวน้ำ .... 'พี่เฉิน' นายท้ายของเรือลำเล็ก ฮัมเพลง ดอกมะลิ (โม่ลี่ฮวา:茉莉花) คลอไปกับเสียงจากวิทยุเครื่องกะทัดรัดที่ติดมากับเรือ
เมื่อได้ลงเรือล่องไปตามลำคลอง ทำเอาผมเกิดจินตภาพไปถึง กรุงเทพฯ ในสมัยก่อน ที่ผู้ใหญ่หลายคนเคยเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่กรุงเทพฯ จะกลายเมืองรถติด (แถม รถไฟฟ้าใต้ดินยังชนกัน) ดังเช่นปัจจุบัน เมื่อก่อนถนนหลายสายที่คนกรุงเทพเอาไว้จอดรถทุกเช้า-ทุกเย็นกันทุกวันนี้ เคยเป็นลำคลองที่หล่อเลี้ยงชีวิตของเมืองหลวงแห่งนี้มาก่อน
เวลาผ่านไป 'การคมนาคมทางน้ำ' กลายเป็นเรื่องที่อืดอาดเกินไปเสียแล้วสำหรับผู้คนในโลกยุคโลกานุวัตร ที่อยู่หายใจออกเป็นความเร่งรีบ เสน่ห์จาก 'ไอน้ำ' ที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้ชุ่มชื้นก็จำต้องลบเลือนไป กลายเป็นไอร้อน แห้งผากจากถนนและเครื่องยนต์ ซึ่งเข้ามาแทนที่
ขึ้นจากเรือ ผมเดินข้ามถนนไปยัง 'สวน' ที่มีชื่อเสียงที่สุดของซูโจว สวนขุนนางผู้ถ่อมตน (拙政园:Humble Administrator's Garden)
หากจะกล่าวถึงสิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของซูโจวอีกประการ คงหลีกไม่พ้นที่จะกล่าวถึง 'สวน' เพราะสวนซูโจวหลายแห่ง สวยเสียจนถูกยกย่องว่า ผู้มาซูโจวหากไม่ได้ไปเยือนก็นับว่ามาเสียเที่ยว เพราะ นอกจาก ฉายา เวนิสตะวันออกแล้ว ซูโจว ยังมีอีกฉายาหนึ่งที่ควบคู่กันกับ เวนิสตะวันออก ด้วย คือ 'ซูโจวเมืองแห่งสวน'
ในจำนวนสวนใหญ่-น้อย นับร้อยแห่งของซูโจว (รวมถึงเมืองรอบๆ ซูโจว) มีสวนอยู่ 9 แห่งที่เข้ามาตรฐานของการเข้าสู่ทำเนียบมรดกโลกที่ทางองค์กรยูเนสโกระบุ* และในเขตเมืองซูโจวเอง ก็มี สวน อยู่ 5 แห่งที่ถูกจัดเข้าสู่ทำเนียบมรดกโลกดังกล่าวแล้ว ประกอบไปด้วย สวนขุนนางผู้ถ่อมตน สวนอ้อยอิ่ง (留园) สวนปรมาจารย์แห (网师园) สวนตึกคลื่นคราม (沧浪亭) และ สวนสิงโต (狮子园)
และในสวนทั้ง 5 ก็มีสวนอยู่ 2 แห่งคือ สวนขุนนางผู้ถ่อมตน สวนอ้อยอิ่ง ที่ถูกยกย่องว่า ติดอยู่ในอันดับสี่ยอดสวนแห่งแผ่นดินจีน ร่วมกับ พระราชวังฤดูร้อนอี๋เหอหยวน (颐和园) ที่ปักกิ่ง กับ ตำหนักฤดูร้อนเฉิงเต๋อ (承德) ที่มณฑลเหอเป่ย โดย สวนสองแห่งหลังเป็นสวนของราชสำนัก สวนฮ่องเต้ ที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง ส่วน สวนขุนนางผู้ถ่อมตน และสวนอ้อยอิ่ง เป็นสวนของคนธรรมดา สามัญชน และที่สำคัญอยู่ในซูโจวทั้งคู่
มาถึงตอนนี้หลายคนอาจสงสัยแล้วว่า ทำไม สวนเล็กๆ เหล่านี้ มีดีอะไรจึงติดเข้าไปอยู่ในทำเนียบมรดกโลกได้? ก่อนมาถึงซูโจวผมก็สงสัยเช่นเดียวกันท่านๆ เช่นกัน ....
ประวัติศาสตร์การสร้างสวนโดยสามัญชน ที่ซูโจวนี้ สามารถย้อนรอยไปได้ไกลถึงสมัยจิ้น (晋) เมื่อผ่านยุค 5 ราชวงศ์ (五代) ซ่งเหนือ (北宋) เรื่อยมาจนถึง 3 ยุคท้ายของระบบศักดินาในจีน คือ หยวน หมิง และชิง ที่เศรษฐกิจของเมืองซูโจวรุ่งเรืองถึงขีดสุด บรรดา พ่อค้า-เศรษฐี ขุนนางที่ออกจากราชการ รวมถึงเหล่าศิลปินจากทุกสารทิศ ต่างก็มุ่งหน้ามายังที่นี่**
สวนขุนนางผู้ถ่อมตน (จัวเจิ้งหยวน:拙政园) ก็เช่นเดียวกัน สวนแห่งนี้โดยแรกเริ่ม สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1509 (บางตำราว่า ค.ศ.1530) ในสมัยหมิง โดยขุนนางผู้หนึ่งระดับจอหงวนผู้หนึ่ง นามว่า หวังเสี้ยนเฉิน โดยขุนนางหวังหลังจากผิดหวังกับการรับราชการในราชสำนัก เนื่องจากถูกฮ่องเต้มองข้ามความสามารถ จึงเดินทางกลับบ้านเกิด มา ปลูกต้นไม้ เลี้ยงปลา แต่งสวนของตนเอง โดยเขาใช้เวลาเสกสรรค์ปั้นแต่งสถานที่แห่งนี้อยู่นานถึงราว 20 ปี**
จะถือว่า สวนขุนนางผู้ถ่อมตน ว่าเป็น สัญลักษณ์ของสวนซูโจวก็ว่าได้ ด้วยขนาดที่ใหญ่กว่า 5.2 เฮกตาร์ (52,000 ตารางเมตร) โดยจุดเด่นอยู่ที่การใช้ 'น้ำ' เป็นแกน ใช้ 'ภูเขาจำลอง' เป็นฉาก และ ออกแบบสิ่งก่อสร้าง ตึก ศาลา ที่พักอาศัย ระเบียงเรียงรายอยู่รอบสระน้ำ ส่งให้บรรยากาศของสวนแห่งนี้ ดูเรียบง่ายและสดชื่น
อย่างไรก็ตาม ในความเรียบง่าย สวนแห่งนี้กลับซ่อนเร้นไว้ด้วยทัศนคติ ศิลปะ และปรัชญาแบบตะวันออกอันละเอียดละออ
ลึกอย่างไร? ละเอียดขนาดไหน? หลายคนอาจเห็นว่า ที่ผมกล่าวเป็นคำกล่าวอ้างแบบลอยๆ
ยกตัวอย่างเช่น กวีบทหนึ่งซึ่ง พรรณนา ว่า "ปลายฤดูใบไม้ผลิ นั่งฟังเสียงฝน ร่วงหล่นบนใบบัว" .... เจ้าของบ้านผู้ซาบซึ้งกับบทกวีนี้ก็ จินตนาการ ออกแบบและปลูกสร้างอาคารให้สอดคล้องกับบทกวีนี้ ที่เมื่อถึง ฤดูใบไม้ผลิจริงๆ ฝนตกจริงๆ แล้ว ตนจะสามารถมานั่งฟังเสียงฝนที่ร่วงหล่นบนใบบัวในสระน้ำได้ดังเช่นที่บทกวีว่า
สวนซูโจว นับได้ว่าเป็น ตัวแทนของสวนแบบจีน ที่คล้ายคลึงกับแนวคิดเซนของสวนญี่ปุ่น แต่แตกต่างจากสวนของทางตะวันตกอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจาก เมื่อเดินเข้ามาในสวนจีนนั้น ผู้มาเยือนจะไม่เห็นทัศนียภาพ ของดอกไม้บานสะพรั่งปลูกประดับประดาอยู่เต็มพรืด หรือ น้ำพุอลังการที่พุ่งน้ำกระเซ็นเป็นฝอยอยู่หน้าปราสาท แบบที่เห็นในสวนสไตล์ยุโรป แต่ สวนแบบจีน อันเป็นต้นแบบของสวนของเอเชียนั้น พยายามถ่ายทอดความสมบูรณ์แบบที่ถอดแบบออกมาจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะผ่านทาง ต้นมอส ต้นไม้ ก้อนหิน บ่อน้ำ โดยพยายามโน้มนำความรู้สึกของผู้อยู่อาศัยและผู้มาเยือนให้ดื่มด่ำ และตกอยู่ในภวังค์ความงดงามของธรรมชาติ .....
จะกล่าวว่า 'สวนจีนแห่งซูโจว' เป็นสถานที่รวบรวมเอา ความเรียบอันล้ำลึก ที่ผสาน ความรู้ ทั้งในเชิง สถาปัตยกรรม วิศวกรรม ศิลปกรรม และปรัชญาตะวันออก เข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืนก็คงไม่ผิดนัก
Tips สำหรับการเดินทาง:
- เมื่อมาถึงซูโจวแล้วไม่ควรพลาด นั่งเรือพายชมคลองโบราณที่มีอายุกว่า 2,500 ปีของซูโจว โดยค่าเช่าเรือขนาด 8-10 คน อยู่ที่ 120-150 หยวน ใช้เวลารา 40-60 นาที ทั้งนี้ฤดูกาลที่ดีที่สุดสำหรับการนั่งเรือชมคลองโบราณซูโจวนั้นคือ ราวเดือนเมษายนฤดูใบไม้ผลิที่ดอกไม้ทั่วไปเริ่มบาน และ ช่วงฤดูใบไม้ร่วงเดือนสิงหาคมช่วงบานของดอกกุ้ยฮวา
- ค่าเข้าชม สวนขุนนางผู้ถ่อมตน อยู่ที่ 50 หยวน ในช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว (เดือนมิถุนายน-สิงหาคม และ ธันวาคม-กุมภาพันธ์) ขณะที่ราคาจะขึ้นไปเป็น 70 หยวนในฤดูท่องเที่ยว (เดือนมีนาคม-พฤษภาคม และ กันยายน-พฤศจิกายน)
- การจัดบริการท่องเที่ยวสำหรับ สวนขุนนางผู้ถ่อมตนค่อนข้างทำได้ดี คือ มีแผนที่ และ เครื่องบรรยายอัตโนมัติภาษาอังกฤษ และญี่ปุ่นบริการฟรี โดยเสียค่ามัดจำเครื่องละ 200 หยวน (เมื่อใช้เสร็จก็จะคืนเงิน) แต่หากต้องการฟังภาษาจีนกลางต้องจ้างผู้บรรยายชาวจีนเพิ่มเติม
- จุดชมทิวทัศน์หลักๆ ใน สวนขุนนางฯ มี 25 จุด ด้วยขนาดของสวนที่ค่อนข้างใหญ่ หากเดินทางไปด้วยตนเองแนะนำให้เดินตามจุดที่ทางสวนเรียงลำดับไว้ให้ จุด 1 ถึง จุด 25 มิฉะนั้นอาจเสียเวลามาก และอาจได้ชมจุดสำคัญของสวนไม่ครบ ทั้งนี้ควรเผื่อเวลาไว้สำหรับเยี่ยมชมสวนแห่งนี้อย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง
อ้างอิงจาก :
*หนังสือท่องเที่ยวเจียงซู-เจ้อเจียง ฉบับท่องเที่ยวด้วยตัวเอง (臧羚羊自助游) สำนักพิมพ์ 中国大百科全书出版社 ฉบับเดือนพฤษภาคม ปี 2004 หน้า 51
**หนังสือเยือนสวนซูโจว (游访苏州园林•城市里的山水情怀) โดยหวังจงเหวย (王宗为) สำนักพิมพ์ 上海古籍出版社 เดือนเมษายน ปี 2004 หน้า 8-9 และ หน้า 60