xs
xsm
sm
md
lg

ซ่งชิ่งหลิง: ยอดหญิงหัวใจเพชร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ซ่งชิ่งหลิง(宋庆龄) สตรีผู้สร้างคุณประโยชน์แก่แผ่นดินจีนอย่างใหญ่หลวง ทั้งยังเป็นภรรยาของดร.ซุนยัดเซ็น หากเธอยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในวันที่ 27 มกราคม ก็จะเป็นวันครบรอบอายุ 112 ปีของวีรสตรีจีนท่านนี้แล้ว

ซ่งชิ่งหลิงเป็นลูกสาวคนกลาง ในบรรดาพี่น้อง 5 คนแห่งตระกูลของ ซ่งเจียซู่ (宋嘉树)หรือชาร์ลี ซ่ง พ่อค้าผู้มีชื่อเสียงแห่งเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งขณะนั้นเป็นเพื่อนคนสำคัญ ผู้ให้การสนับสนุนต่อการปฏิวัติของดร.ซุนยัดเซ็น

ในวัยเด็ก บิดาผู้มองการณ์ไกลได้ส่งตัวเธอพร้อมกับซ่งอ่ายหลิง(宋霭龄) ซ่งเหม่ยหลิง(宋美龄) พี่สาวและน้องสาวไปร่ำเรียนไกลถึงประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่อายุเพียง 10 กว่าขวบ ทำให้สามศรีพี่น้อง เป็นผู้หญิงรุ่นแรกๆ ของจีนที่ได้รับการศึกษาจากตะวันตก ประกอบกับการสอนสั่งจากบิดาที่มีหลักการ 3 ข้อว่า จะไม่ทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูล หญิงชายเท่าเทียมกัน และพ่อแม่คือเพื่อนของลูก จึงหล่อหลอมให้ซ่งชิ่งหลิง กลายเป็นผู้หญิงสมัยใหม่แห่งยุคนั้น ที่รักอิสระ ความยุติธรรม และเป็นตัวของตัวเองสูง

ระหว่างที่เรียนอยู่ต่างประเทศ บิดามักส่งจดหมายและข้อมูลที่ตัดจากหนังสือพิมพ์อันมีเนื้อหาเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศ ซึ่งในยุคนั้นมีดร.ซุนยัดเซ็นเป็นหัวหอกสำคัญของการก่อตั้งระบบการปกครองแบบสาธารณรัฐ ซึ่งค่อยๆ กลายเป็นสะพานเชื่อมโยงซ่งชิ่งหลิงกับดร.ซุนยัดเซ็นให้เข้ามาสู่เส้นทางเดียวกัน

กระทั่งปลายเดือนสิงหาคมปี 1913 ซ่งก็ได้กลับถึงมาตุภูมิหลังสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเวสลีย์แอน เมืองมาคอน มลรัฐจอร์เจีย และในวันที่สองของการมาเยือนบ้าน บิดาก็ได้พาเธอไปเยี่ยมดร.ซุนยัดเซ็นที่บ้าน และเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นเลขานุการของวีรบุรุษประจำใจเธอ

ซ่งชิ่งหลิงช่วยงานดร.ซุนยัดเซ็นเรื่อยมาจนถึงปี 1915 ที่เธออายุได้เพียง 21 ปีก็ตัดสินใจแต่งงานกับดร.ซุนยัดเซ็น ท่ามกลางเสียงคัดค้านของครอบครัว เนื่องจากขณะนั้น ดร.ซุนอายุมากกว่าฝ่ายหญิงถึง 27 ปี ทั้งยังมีภรรยาและลูกอีก 3 ที่อายุมากกว่าตัวซ่งชิ่งหลิงเองด้วย แต่ในที่สุดด้วยความยืนหยัด ทั้งสองก็ได้ประกอบพิธีแต่งงานกันอย่างเรียบง่ายที่ประเทศญี่ปุ่น และมีผู้ร่วมงานเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

หลังจากแต่งงานแล้ว ซ่งชิ่งหลิงก็เข้ามาช่วยงานการปฏิวัติอย่างเต็มตัวมากขึ้น และร่วมทุกข์ร่วมสุขกับดร.ซุนยัดเซ็นบนเส้นทางการปฏิรูปมาโดยตลอดอย่างไม่ลังเล แต่แล้วชีวิตคู่ก็ต้องสิ้นสุดลงหลังแต่งงานมาได้ 10 ปีโดยไม่มีบุตร เมื่อดร.ซุนเสียชีวิตลงที่ปักกิ่งด้วยโรคมะเร็งตับ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 1925 โดยทิ้งปณิธาน ‘สันติภาพ มุมานะ ช่วยประเทศชาติ ‘ (和平 、奋斗、救中国 ) ไว้กับภรรยาและเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ท่ามกลางความไม่สงบของบ้านเมือง

บุคคลที่เข้ามามีอำนาจเหนือแผ่นดินจีนหลังการสิ้นชีพของดร.ซุน คือนายพลเจียงไคเช็ค(蒋介石) ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องเขยของมาดามซ่งชิ่งหลิงเอง(สามีซ่งเหม่ยหลิง) และเป็นผู้นำกลุ่มขวาใหม่ในพรรคก๊กมินตั๋ง แต่แล้วเมื่อเจียงไคเช็คใช้กำลังกวาดล้างพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งใหญ่ที่เซี่ยงไฮ้ในปี 1927 จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากมาย ก็กลายเป็นจุดอวสานของความร่วมมือระหว่างก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์ และความเกี่ยวดองระหว่างเจียงไคเช็คกับซ่งชิ่งหลิงด้วย

หลังจากนั้น ซ่งชิ่งหลิงซึ่งไม่เห็นด้วยกับแนวคิดและการกระทำของน้องเขยจึงหันไปสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเต็มตัว โดยเห็นว่าพรรคคอมมิวนิสต์มีศักยภาพมากกว่าในการกู้ชาติและต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นที่กำลังบุกเข้ามายึดจีน

ระหว่างนั้นในปี 1927 มาดามซ่งก็เริ่มออกเดินทางไปโซเวียตและยุโรป ซึ่งการเดินทางครั้งนี้กินเวลาทั้งสิ้นประมาณ 4 ปี และเป็นช่วงเรียนรู้ เปรียบเทียบประเทศที่ใช้ระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์กับทุนนิยม รวมทั้งศึกษาลัทธิมาร์กซิสม์ และสร้างสัมพันธ์อันดีกับบรรดาชาวตะวันตกหลายกลุ่ม เช่นนักหนังสือพิมพ์ นายแพทย์ ทั้งจากสหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ เยอรมนี ซึ่งต่อมาเธอก็เป็นตัวประสานให้คนเหล่านี้เข้าไปในเขตของพรรคคอมมิวนิสต์ และถ่ายทอดเรื่องราวออกมาสู่โลกภายนอก

การยืนหยัดสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์มาตลอดนับสิบปีของมาดามซ่งชิ่งหลิง มีส่วนทำให้พรรคคอมมิวนิสต์มีชัยชนะเหนือพรรคก๊กมินตั๋งอย่างสิ้นเชิง และในวันสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อ 1 ตุลาคม 1949 เธอจึงได้รับเชิญมาร่วมพิธีด้วย และหลังจากนั้นก็ยังได้รับตำแหน่งทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเธอก็ปฏิบัติภารกิจได้เป็นอย่างดี และยังทุ่มเทเป็นพิเศษต่อการพัฒนาด้านวัฒนธรรม การศึกษา และสาธารณสุขในกลุ่มเด็กและสตรีมาอย่างต่อเนื่องด้วย

แต่แล้วในวันที่ 14 พฤษภาคม ปี 1981 เมื่ออาการของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบและมะเร็งเม็ดเลือดขาวเข้ามาคุกคามมาดามซ่งชิ่งหลิงอย่างหนักหน่วง หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ในค่ำคืน 20.18 น.ของวันที่ 29 พฤษภาคม มาดามซ่งก็จากโลกนี้ไปอย่างสงบ ณ กรุงปักกิ่ง .

* * * * * * * * * * * * * * * * * *

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับมาดามซ่ง

ในช่วงชีวิตของคนแต่ละคน ย่อมมิใช่มีเพียงเรื่องงาน หรือภารกิจที่ทำเพื่อประเทศชาติเท่านั้น แต่ยังมีแง่มุมอื่นๆ ที่หลายคนคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะเป็นตัวสะท้อนทัศนคติต่อการดำรงชีวิตของบุคคลนั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น...

ตำนานความรักดร.ซุน-ซ่งชิ่งหลิง

ในวันหนึ่งของปี 1894 เป็นวันแรกที่ดร.ซุนยัดเซ็นได้พบกับเด็กน้อยวัย 1 ขวบที่ชื่อซ่งชิ่งหลิง ณ เวลานั้นจะมีใครคิดว่าอีก 21 ปีข้างหน้า หนูน้อยคนนี้จะฝ่าฟันการกีดกันจากพ่อแม่ หนีออกมาแต่งงานกับบุรุษแห่งการปฏิวัติคนนี้จนได้…

หลังจากที่สาวน้อยซ่งชิ่งหลิงจบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา ในช่วงแรก เธอยังเป็นเพียงผู้ช่วยของดร.ซุนด้านเอกสารภาษาอังกฤษ แต่เมื่อซ่งอ่ายหลิง พี่สาวคนโตกำลังจะไปแต่งงานกับข่งเสียงซี ซ่งชิ่งหลิงจึงมารับหน้าที่เลขานุการแทนพี่สาว และตลอดช่วงเวลาทำหน้าที่นี้ เธอยังเขียนจดหมายติดต่อกับซ่งเหม่ยหลิง น้องสาวคนสุดท้องในสหรัฐฯอย่างสม่ำเสมอ โดยในจดหมายมักเล่าถึงความหวังและความสุขในการทำงาน

เอดการ์ สโนว์ ผู้แต่งหนังสือ ‘ดาวแดงเหนือแผ่นดินจีน’ ได้เคยสัมภาษณ์ซ่งชิงหลิงว่า ทำไมจึงรักดร.ซุนยัดเซ็น คำตอบที่ได้ คือ “ขณะนั้นฉันไม่ได้รักเขา แต่มันเริ่มต้นจากความศรัทธา ฉันหนีออกมาก็เพื่อช่วยเขาทำงาน เป็นเพียงความคิดที่แสนจะโรแมนติคของสาวน้อยคนหนึ่งเท่านั้น แต่ว่าก็เป็นความคิดที่ดีนะ ”

เดือนมิถุนายนปี 1915 เมื่อตัดสินใจว่าจะแต่งงานกับดร.ซุน ซ่งชิ่งหลิงจึงรีบรุดกลับบ้านที่เซี่ยงไฮ้เพื่อบอกกล่าวกับพ่อและแม่ โดยไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากพ่อ โดยเฉพาะแม่ที่ร้องไห้พร้อมเตือนเธอว่า ดร.ซุนเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว ทั้งยังมีลูกที่อายุมากกว่าตัวซ่งชิ่งหลิงเอง นอกจากนั้นสองคนอาจมีช่องว่างเรื่องอายุที่ห่างกันถึง 27 ปี อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความคิดของสาวน้อยได้ พ่อและแม่จึงเริ่มต้นกักบริเวณเธอไว้ในบ้าน

ทางด้านดร.ซุนยัดเซ็น แม้ว่าจะได้รับเสียงคัดค้านจากเพื่อนฝูงด้วยเช่นกัน แต่ดร.ซุนกลับตอบว่า “ไม่ หากได้แต่งงานกับเธอ แม้ต้องตายในวันถัดมาก็จะไม่เสียใจ ” และในเดือนมิถุนายน ดร.ซุนก็ไปรับภรรยาคนแรกจากมาเก๊าเพื่อไปทำการหย่าที่ญี่ปุ่น

ส่วนซ่งชิ่งหลิงที่ถูกขังในบ้าน คืนหนึ่งในเดือนตุลาคม ด้วยการช่วยเหลือจากสาวใช้ในบ้าน เธอก็หลบออกมาทางหน้าต่าง แล้วหนีไปญี่ปุ่น ที่ดร.ซุนรอรับอยู่ที่เมืองโตเกียว และวันที่ 2 ของการไปเหยียบแดนซามูไร 25 ตุลาคมปี 1915 ทั้งสองคือ ดร.ซุนยัดเซ็นวัย 49 ปีและซ่งชิ่งหลิงวัย 22 ปี ก็ได้ไปจดทะเบียนสมรสที่บ้านทนายวาดะ และเข้าพิธีมงคลสมรสอย่างเรียบง่ายในช่วงบ่ายที่บ้านซาโยชิ เพื่อนชาวญี่ปุ่น

ซ่งผู้พ่อเมื่อได้ยินว่าลูกสาวคนรองหนีออกจากบ้าน ก็รีบพาภรรยาลงเรือตามมาถึงญี่ปุ่น ถึงตอนนี้ ซ่งชิ่งหลิงเล่าให้เอ็ดการ์ สโนว์ฟังว่า “เมื่อพ่อของฉันถึงญี่ปุ่น ก็ด่าดร.ซุนไปยกหนึ่ง และขอตัดความเป็นพ่อลูกกับฉัน ” ด้านลูกสาวของบ้านซาโยชิจำความตอนนี้ได้ว่า พ่อของซ่งชิ่งหลิงมายืนอยู่หน้าบ้าน แล้วตะโกนออกมาด้วยความโมโหว่า “ฉันต้องการพบไอ้นายกฯคนที่พาลูกสาวฉันหนี ! “

พ่อแม่ตระกูลซาโยชิกลัวว่าเรื่องราวจะบานปลาย จึงคิดออกไปคุยกับซ่งเจียซู่ แต่ดร.ซุนบอกกับพวกเขาว่า นี่เป็นเรื่องของเขาเอง และขอออกไปเจอหน้ากับเพื่อนเอง เมื่อเผชิญหน้ากัน ดร.ซุนถามซ่งว่า “ไม่ทราบมีธุระอะไรกับผม ? ” ทันใดนั้น ซ่งเจียซู่ที่กำลังเดือดกลับคุกเข่าลงต่อหน้า แล้วพูดว่า “ขอฝากลูกสาวที่ไม่รู้เรื่องของผมด้วย ขอให้ดูแลแกอย่างดี ” เมื่อพูดจบก็โขกศีรษะกับพื้น 3 ครั้งแล้วลุกขึ้นจากไป

ซ่งชิ่งหลิงระลึกถึงเรื่องราวตอนนั้นแล้วเคยพูดว่า “ฉันรักพ่อ และก็รักซุนเหวิน (อีกชื่อของดร.ซุน) ด้วย วันนี้คิดถึงเรื่องนี้แล้วยังรู้สึกไม่ดี ยังเสียใจอยู่เลย ”

อย่างไรก็ตาม แม้ซ่งเจียซู่และภรรยาขัดขวางการแต่งงานไม่สำเร็จ แต่สุดท้ายก็ได้มอบเครื่องเรือนโบราณและผ้าไหมให้เป็นของขวัญแต่งงานแก่ลูกสาว ด้วยจิตใจของคนเป็นพ่อแม่ที่หวังว่าลูกสาวจะมีความสุขกับคนที่รัก.....

ประณามเจียงชิง ‘โสเภณีที่ไร้ยางอาย'

เพียงแค่ได้ยินว่ามาดามซ่งชิ่งหลิงกล่าวหาคน แถมยังใช้คำว่าโสเภณีที่ไร้ยางอาย แน่นอนย่อมมีคนจำนวนมากไม่เชื่อ เนื่องจากภาพลักษณ์ของมาดามซ่งชิ่งหลิง คือคนที่อ่อนหวาน เรียบร้อย จนเป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างเธอจะใช้คำที่รุนแรงเช่นนี้ ... แต่นี่คือเรื่องจริง และมีลายลักษณ์อักษรมายืนยัน นั่นคือในจดหมายที่เธอเขียนถึงริชาร์ด เอ.ยัง เพื่อนที่สหรัฐอเมริกา ลงวันที่ 5 มิถุนายนปี 1978

“...เสื้อผ้าแบบฝรั่งของฉันให้ลูกสาวของน้องชายไปทั้งหมดเถอะ เพราะในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมที่เจียงชิง โสเภณีที่ไร้ยางอายปลุกขึ้นมา ทำให้พวกเขาถูกเรดการ์ดไล่ออกมาจากบ้าน ทรัพย์สมบัติทั้งหมดก็ถูกริบไป...”

ด้วยคำพูดเหล่านี้ เอปสไตน์ ผู้เรียบเรียงชีวประวัติของซ่งชิ่งหลิงวิเคราะห์ว่า เป็นการแสดงออกถึงความเกลียดชังอย่างลึกซึ้ง

อย่างไรก็ตาม คนใกล้ชิดของซ่งชิ่งหลิงคนหนึ่งเล่าว่า ในครั้งแรกที่ซ่งพบกับเจียงชิง เธอมีความรู้สึกที่ดีต่อภรรยาของเหมาเจ๋อตงคนนี้ไม่น้อย โดยชมว่าผู้หญิงคนนี้มีมารยาท และนั่นเป็นช่วงที่มาดามซ่งไปปักกิ่งเพื่อร่วมพิธีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 เหมาได้มอบหมายให้เจียงชิงไปส่งเธอที่สถานีรถไฟ ปีนั้น ซ่งชิ่งหลิงอายุ 56 ปีและดำรงตำแหน่งรองประธานแห่งรัฐบาลจีน ขณะที่เจียงชิงอายุ 34 ปี ไม่มีตำแหน่งทางการเมืองใดเลย

แต่หลังจากนั้น ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม แม้กองทัพเรดการ์ดจะไม่ได้บุกเข้ามาในที่อยู่ของมาดามซ่งชิ่งหลิง แต่ก็ใช้วิธีต่างๆกดดันเธอไม่น้อย กระทั่งประธานเหมาเจ๋อตงยังต้องสั่งให้ภรรยาไปเยี่ยมซ่งถึงที่บ้าน เพื่ออธิบาย ‘การปฏิวัติใหม่‘ครั้งนี้ ที่มีเจียงชิงเป็นหัวหอกนำทัพกองกำลังเรดการ์ดบุก ’กำจัด 4 เก่า ' คือ ความคิดเก่า วัฒนธรรมเก่า ประเพณีเก่า และ ความคุ้นเคยเก่า

จากบันทึกของเอปสไตน์ ระบุถึงเหตุการณ์ช่วงนั้นว่า เจียงชิงผลักดันเรดการ์ดจนมีอำนาจล้นฟ้า และเมื่อภรรยาท่านเหมาได้ยินคำพูดของซ่งที่กล่าวว่า ควรมีการควบคุมความประพฤติของเรดการ์ด อย่าให้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ “สีหน้าของเจียงชิงก็เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว”

ด้วยพื้นฐานทางการอบรมของครอบครัวและการศึกษาของมาดามซ่งชิ่งหลิง หล่อหลอมให้ความรู้สึกรักอิสระหยั่งลึกลงไปถึงจิตวิญญาณของเธอ ดังนั้น เมื่อเห็นคนอย่างเจียงชิงกำลังทำลายวัฒนธรรมอันดีงาม ย้อนกลับคืนสู่ความป่าเถื่อน ในใจของซ่งย่อมเจ็บปวดอย่างมิต้องสงสัย

นอกจากนั้น การปฏิวัติวัฒนธรรม ไม่เพียงปฏิวัติสิ่งดีๆ ที่ส่งสมกันมา ยังปฏิวัติเสื้อชุดสูทแบบตะวันตก ปฏิวัติความสวยงาม กระทั่งปฏิวัติความรู้สึก และชีวิตของคน ....

เรดการ์ดเซี่ยงไฮ้เข้ารื้อทำลายหลุมฝังศพของพ่อและแม่ของซ่งชิ่งหลิง

เรดการ์ดบังคับให้ญาติที่ซ่งสนิทด้วยต้องฆ่าตัวตายในวันหนึ่งของเดือนพฤษภาคม ปี 1969...


ในคราแรก สตรีผู้รอบรู้ท่านนี้ พยายามเข้าใจการปฏิวัติครั้งใหม่ของนางเจียงชิง แต่แล้วก็ยังหาคำตอบไม่ได้ และต้องคับแค้นใจถึงขนาดเอ่ยปากพูดถึงเจียงชิงกับเพื่อนสนิทว่า ประหนึ่งเป็น ‘จักรพรรดินี’ ทั้งยังระบายออกมาเป็นตัวอักษรในจดหมายว่า โสเภณีที่ไร้ยางอาย ....

เรียบเรียงจาก ซินหัวเน็ต , songchingling.nector.com.cynet.com, เที่ยวสือช่าไห่ แวะบ้าน "ซ่งชิ่งหลิง"/manager.co.th

ซ่งชิ่งหลิง และเกียรติประวัติที่หอมหวลนับร้อยปี
111 ปี ซ่งชิ่งหลิง
เที่ยวสือช่าไห่ แวะบ้าน "ซ่งชิ่งหลิง" (2)
เที่ยวสือช่าไห่ แวะบ้าน "ซ่งชิ่งหลิง" (3)
เที่ยวสือช่าไห่ แวะบ้าน "ซ่งชิ่งหลิง" (4)
กำลังโหลดความคิดเห็น