จะ‘เกาโกวหลี’ หรือ ‘โคคูเรียว’ ?
ชาวไทยที่เคยเรียนประวัติศาสตร์เกาหลี รู้จัก 1 ใน 3 อาณาจักรโบราณ นามว่า ‘โคคูเรียว’ ซึ่งเป็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของชาวเกาหลีในอดีตเป็นอย่างดี และ ‘เกาโกวหลี’ คืออีกชื่อหนึ่งในภาคภาษาจีน
คำว่า ‘เกาโกวหลี’ (高句丽‘句’ อ่านว่า โกว) มีชื่อย่อว่า โกวหลี (句丽 หรือ 句骊) หรือ เกาหลี (高丽) ภาษาจีนกลางหมายถึง ชนชาติโบราณที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ตามชายแดนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ราวคริสต์ศตวรรษที่ 1 – 7 หรือเป็นคำที่ชาวจีนใช้เรียกชาวเกาหลีโบราณนั่นเอง
สมัยจักรพรรดิฮั่นหยวนตี้ ปีที่ 2 แห่งรัชกาลเจี้ยนเจา (ราว 37 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก(202 ก่อนคริสต์ศักราช - ค.ศ.25) บรรพบุรุษชาวเกาหลีได้แผ้วถางสร้างเมืองขึ้นที่บริเวณอำเภอเกาโกวหลี (ปัจจุบันคือ อ.ซินปิน ในมณฑลเหลียวหนิงของจีน) หลังจากนั้นก็สถาปนาเมืองหลวงและขยายอำนาจจนมีอาณาเขตกว้างขวางไปทั่ว ตามที่รู้จักกันในชื่อ ‘อาณาจักรโคคูเรียว’
ยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของอาณาจักรโคคูเรียวหรือเกาโกวหลี ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 5 ได้แผ่อำนาจครอบคลุมภาคตะวันออกของมณฑลจี๋หลิน ตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลเหลียวหนิง จนถึงดินแดนทางตอนเหนือของคาบสมุทรเกาหลีในปัจจุบัน
หลายทศวรรษต่อมา อาณาจักรโคคูเรียวได้ผ่านสงครามและความขัดแย้งหลายครั้งหลายหน จนมาในปีค.ศ.668 ก็ถูกตีแตกและยึดครองโดยทหารพันธมิตรของราชสำนักถังและพวกซิลลา และตั้งแต่นั้นก็ตกอยู่ในการปกครองของราชสำนักจงหยวน และถูกกลืนอยู่ในการเมืองและวัฒนธรรมจงหยวนในที่สุด
อาณาจักรโคคูเรียวมีกษัตริย์ปกครองรวมทั้งสิ้น 28 รัชกาล* ระยะเวลาอันรุ่งเรืองจนถึงยุคเสื่อมอยู่ในช่วงเดียวกับราชวงศ์ฮั่นตะวันตกจนถึงราชวงศ์ถัง(ค.ศ.618-907)ของจีน รวมระยะเวลาราว 705 ปี
นี่คือส่วนที่บันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ชาติจีน เกี่ยวกับ ‘โคคูเรียว’ อาณาจักรของชนชาติส่วนน้อยตามชายแดนภาคอีสานของจีน ดังที่ระบุในหนังสือพิมพ์แนววิชาการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ‘กวงหมิงยื่อเป้า’ (光明日报)
การที่องค์การยูเนสโกผ่านมติและประกาศให้ โบราณสถานและสุสานจักรพรรดิและคนในตระกูลสูงศักดิ์แห่งอาณาจักรเกาโกวหลี (高句丽王城 王陵及贵族墓葬) เป็นมรดกโลกของจีนแห่งที่ 30 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ด้านหนึ่ง ได้นำความกระวนกระวายใจมาสู่นักวิชาการเกาหลีใต้โดยทันที เนื่องจากชาวเกาหลีโดยทั่วไปรู้จักอาณาจักรเกาโกวหลีที่จีนระบุนี้ ในฐานะอาณาจักรโคคูเรียว( Koguryo Kingdom 37 ปีก่อนคริสต์ศักราช - ค.ศ.668 ) 1 ใน 3 อาณาจักรโบราณของบรรพบุรุษเกาหลี** ที่ราชสำนักถังเข้ามาตียึดไป
ยังผลให้คณะผู้แทนจากเกาหลีใต้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการพิจารณามรดกโลก ครั้งที่ 28 ในวันที่ 2 ของการประกาศมติดังกล่าว เพื่อยืนยันถึงความเป็นเจ้าของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของบรรพบุรุษเกาหลีโบราณในแหล่งมรดกโลกนี้
เนื่องจากหลังการประกาศให้สุสานแห่งนี้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของจีน เท่ากับว่าเป็นการยอมรับสถานะของอาณาจักรโคคูเรียวว่า เป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ชนชาติจีน ซึ่งค้านกับความเห็นของนักวิชาการเกาหลีใต้
สื่อมวลชนนอกแผ่นดินใหญ่หลายแหล่ง ทั้งไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลีใต้ ต่างนำเสนอความเคลื่อนไหวดังกล่าวอย่างครึกโครม ซึ่งบางแห่งมีการอ้างถึง เว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศของจีน บทที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ประเทศเกาหลีใต้ ที่ก่อนหน้านี้ได้ลบข้อความส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ‘เกาโกวหลี’ หนึ่งในสามอาณาจักรเก่าแก่ของเกาหลีออกไป
รัฐบาลเกาหลีใต้จึงเรียกร้องให้รัฐบาลจีนยอมรับว่า อาณาจักรเกาโกวหลีเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ประเทศเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ และขอให้แก้ไขข้อมูลในเว็บไซต์ดังกล่าว (www.fmprc.gov.cn)
ทั้งนี้ คณะผู้แทนทางการเมืองจากเกาหลีใต้ยังขออนุญาตเดินทางมาเยี่ยมชมโบราณสถาน ณ สุสานเกาโกวหลีในมณฑลของจีน แต่ก็ได้รับการปฏิเสธเรื่องการออกวีซ่าจากทางการปักกิ่ง ทำให้ฝ่ายผู้แทนของเกาหลีใต้เคืองใจ และกลายเป็นข้อพิพาทที่ส่งผลให้รัฐบาลจีนสั่งปิดเว็บไซต์ทางการเกาหลีใต้(ภาษาจีน) 10 เว็บ เนื่องจากเกรงว่าสถานการณ์จะบานปลาย จนเกิดความขัดแย้งระหว่างชนชาติ หรือการอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของบนแผ่นดินใหญ่
รายงานข่าวเมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมาเพิ่มเติมอีกว่า ความขัดแย้งอันเนื่องมาจากมรดกโลกแห่งนี้ได้ผ่อนคลายลง เมื่อตัวแทนของทั้งสองรัฐบาลตกลงกันได้ เมื่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน นายอู่ต้าเหว่ย เข้าพบหารือกับนายบาน คีมุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้าระหว่างประเทศ ของเกาหลีใต้ ขณะเยือนกรุงโซล เป็นการประชุมที่ใช้เวลาเจรจากันยาวนานกว่า 10 ชม.
ทั้งสองฝ่ายคำนึงถึงมิตรภาพที่ดีระหว่างกัน และได้ตกลงหันหน้าเข้าหากันร่วมศึกษาวิจัยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของอาณาจักรโคคูเรียว โดยจัดให้มีการแลกเปลี่ยนทางวิชาการ เพื่อป้องกันการบิดเบือนประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความบาดหมางทางการเมืองในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวที่ว่า จีนยินยอมไม่อ้างอีกว่า ‘โคคูเรียวเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน’ ตามข้อตกลงด้วยวาจาที่กรุงโซลนั้น ไม่ได้รับการยืนยันในสื่อทางการแผ่นดินใหญ่แต่อย่างใด มีเพียงรายงานการศึกษาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ยืนยันตามเดิม ขณะที่บางแหล่งเห็นด้วยให้มีการร่วมมือเพื่อประโยชน์ทางวิชาการ พร้อมกับยอมรับว่า การควานหาตัวผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์เกาหลีในจีนทำได้ยากมาก !
นั่นเป็นข้อถกเถียงทางวิชาการ ที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองประเทศต้องใช้สติปัญญารอมชอมกัน เพื่อให้ได้ภาพรวมของข้อเท็จจริง และเป็นความรู้เชิงประวัติศาสตร์ต่อไป...
คลังศิลปะบรรเจิดแห่งเอเชียอีสาน
อีกด้านหนึ่งของความร้อนแรงของโบราณสถานในอาณาจักรแห่งนี้ คงต้องกล่าวถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม และความเป็นกรุศิลปะอันล้ำค่าในภาคอีสานของทวีปเอเชีย ที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สถานที่นี้กลายเป็น ‘มรดกของโลก’ และอาจเป็นข้อที่ทุกฝ่ายเบาใจได้ว่า มันไม่ได้เป็น ‘สมบัติ’ ของคนสัญชาติใดสัญชาติหนึ่ง ถึงแม้จะมีเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจท่องเที่ยวเข้ามาพัวพันอยู่บ้างก็ตาม
เป็นเวลากว่า 20 ปีมาแล้ว ที่นักโบราณคดีจีนทำการขุดค้นและศึกษาอาณาจักรโบราณในมณฑลทางอีสานของประเทศ และพบว่า มีโบราณสถานที่เป็นหลุมศพกระจายอยู่มากมายกว่า 7,000 แห่ง สำหรับโบราณสถานในอดีตอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปีนี้ ครอบคลุมซากเมืองเก่าอู๋หนี่ว์ซันซันเฉิง (五女山山城 ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเขตแคว้นราชธานีแห่งแรก เหอเซิ่งกู่เฉิง (纥升骨城) ของอาณาจักรโคคูเรียว เมื่อราว 37 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เมืองเก่ากั๋วเน่ยเฉิง (国内城) ราชธานีแห่งที่ 2 ของอาณาจักรโคคูเรียว (ค.ศ.3) และเมืองพิทักษ์ หวันตูซันเฉิง (丸都山城) ฐานกำลังทหารพิทักษ์เมืองหลวงกั๋วเน่ยเฉิง ที่เคยเป็นเมืองหลวงชั่วคราวถึง 2 ครั้ง สร้างขึ้นเป็นแนวยาวบนสันเขา 6,947 เมตร ปัจจุบันพบซากประตู เมืองเก่า 7 จุด
รวมไปถึงสุสานกษัตริย์และคนในตระกูลสูงศักดิ์แห่งอาณาจักรโคคูเรียว และซากพระราชวังเก่า นอกจากนี้ ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองจี๋อัน 5 กม. ที่ตีนเขาหลงซัน(龙山) เป็นที่ตั้งของสุสานหินรูปร่างคล้ายปีรามิดแห่งอียิปต์ เป็นหลุมฝังศพท่านนายพลที่ถูกเรียกขานว่า ‘ปีรามิดแห่งตะวันออก’
และส่วนที่สำคัญที่สุด ซึ่งเป็นที่มาของความหวงแหนในวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า อีกทั้งเป็นความภาคภูมิใจที่ฝังลึกอยู่ในจิตสำนึก ของทั้งลูกหลานชนชาติเกาหลีเฉกเช่นเดียวกับชนชาวจีน คือ ‘สุสานประดับภาพวาดฝาผนังแห่งโคคูเรียว’ (高句丽壁画墓) ที่เปรียบได้กับ ‘คลังศิลปะล้ำค่าแห่งเอเชียอีสาน’
สุสานประดับภาพวาดแห่งโคคูเรียวที่พบส่วนใหญ่อยู่ในยุคต้นคริสต์ศตวรรษที่ 4 เนื้อหาภาพวาดโดยทั่วไปในยุคแรกเป็นเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของกษัตริย์และบรรดาเจ้าขุนมูลนาย ความหรูหราของงานเลี้ยงสังสรรค์ การเต้นรำ ละครและการเดินทาง นอกจากนี้ ก็มีภาพของพระราชวัง ศาลา สระน้ำ คอกม้า ดอกไม้ใบหญ้า ดวงดาว พระอาทิตย์ พระจันทร์
โดยก่อนวาดภาพช่างเขียนจะฉาบปูนขาวที่ผนังหิน แล้วจึงวาดภาพลงสีตามต้องการ ภาพวาดที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์จะสะท้อนประเพณีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวชาติเกาหลีโบราณ เช่น ภาพการล่าสัตว์ กีฬามวยปล้ำ(คล้ายซูโม่ของญี่ปุ่น) และภาพสัตว์นานาชนิดที่อาศัยอยู่ในป่าแถบนั้น
ทั้งนี้ ภาพวาดแต่ละยุคสมัยสะท้อนเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของชนเผ่าด้วย อาทิ ในช่วงของการทำสงคราม ก็มีการบันทึกฉากการต่อสู้ในสงคราม ภาพกองทัพทหาร ตามผนังสุสานเป็นต้น ซึ่งสุสานประดับภาพวาดที่เมืองจี๋อัน มีหลุมหนึ่งที่มีห้องแสดงภาพ 3 ห้อง(三室墓) สร้างราวคริสต์ศตวรรษที่ 5 ภาพส่วนใหญ่โดดเด่นที่ภาพบุคคลซึ่งดูมีชีวิตชีวาเสมือนจริง
นอกจากนี้ ราวยุคคริสต์ศตวรรษที่ 4 ที่วัฒนธรรมการนับถือศาสนาพุทธจากอินเดียแผ่ขยายเข้ามาในดินแดนจงหยวน ก็ส่งอิทธิพลต่อภาพวาดในยุคนั้นเช่นกัน ดังที่นักโบราณคดีได้พบภาพวาดดอกบัวที่งดงามประณีตบนเพดานของสุสานยุคต้นๆ
ถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6 – 7 ฝีมือการวาดและการใช้สีของช่างเขียนพัฒนาก้าวหน้าไปมาก ช่างเริ่มวาดภาพลงบนผนังหินโดยไม่ต้องลงปูนขาว ฝีแปรงหนักแน่น สีสันเด่นชัดกว่าภาพเขียนในยุคแรกๆ และมีเฉดสีหลากหลายขึ้น ทั้งแดงเข้ม แดงตุ่น เหลือง เหลืองอ่อน ขาวคล้ายแป้งและเขียว เป็นสีหลัก
เนื้อหาภาพเป็นเรื่องราวทางพุทธศาสนา เต๋า และคำสอนของขงจื๊อ และภาพเทวดานางฟ้าในวัฒนธรรมความเชื่อของชาวจงหยวน ซึ่งมุ่งเน้นเพื่อการตกแต่งประดับประดาเป็นสำคัญ สุสานในยุคนี้ได้แก่ สุสานอู่คุยเฝิน(五盔坟)หมายเลข 4 และ 5 สุสานเทพทั้งสี่(四神墓) ในเมืองจี๋อัน และสุสานอีกหลายแห่งในเขตประเทศเกาหลีเหนือ
ภาพวาดในสุสานแห่งโคคูเรียวถูกทำลายไปตามกาลเวลา และยังถูกลักลอบไปขายต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบัน ภาพวาดที่เหลืออยู่บางส่วนถูกนำมาเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์มณฑลจี๋หลิน นอกจากนี้ภาพเขียนในสุสานแห่งโคคูเรียวก็มีแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ประเทศเกาหลีใต้ด้วย.
ข้อมูล
มรดกโลกทางวัฒนธรรม ปี 2004 มรดกโลกลำดับที่ 30 ในประเทศจีน
ที่ตั้งและอาณาเขต : เมืองเก่าแห่งอาณาจักรโคคูเรียวตั้งอยู่บนเขาอู๋หนี่ว์ซัน(五女山) ที่คาบเกี่ยวระหว่างพื้นที่อำเภอซินปิน(新宾县) และอำเภอปกครองตนเองของชนชาติแมนจู หวนเหริน(桓仁县) ในมณฑลเหลียวหนิง มาจนถึงเมืองจี๋อัน(集安市) ในมณฑลจี๋หลิน เป็นอาณาบริเวณของเมืองเก่าอู๋หนี่ว์ซันซันเฉิง เมืองเก่ากั๋วเน่ยเฉิง เมืองเก่าหวันตูซันเฉิง โบราณสถานสุสานกษัตริย์ 12 หลุม และสุสานคนในตระกูลสูงศักดิ์ 26 หลุม รวมถึงหลุมศพแม่ทัพและศิลาจารึกโบราณของกษัตริย์ห่าวไท่หวัง(好太王)
สร้างเมื่อ : เมืองเก่ากั๋วเน่ยเฉิง สร้างเมื่อค.ศ.3 เมืองเก่าหวันตูซันเฉิง สร้างราวค.ศ.198 สุสานกษัตริย์ห่าวไท่หวัง สร้างเมื่อค.ศ.391
ข้อมูลการเดินทาง : เมืองจี๋อันเพิ่งเปิดเป็นเมืองท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในภาคอีสานของจีนได้ไม่นาน ตั้งอยู่ทางใต้สุดของมณฑลจี๋หลิน ริมฝั่งแม่น้ำยาลู่เจียง(鸭绿江) ชายแดนประเทศเกาหลีเหนือ การเดินทางสู่เมืองจี๋อันสามารถโดยสารรถยนต์และรถไฟได้จาก ปักกิ่ง ชิงเต่า ต้าเหลียน เสิ่นหยัง ฉางชุน ลงที่สถานีรถไฟเมืองทงฮว่า(通化市) และเปลี่ยนรถต่อมาที่เมืองจี๋อัน จากทงฮว่าถึงจี๋อันใช้เวลาเดินทางราว 3 ชม.
ราคาบัตร : ตัวเลขยังไม่ระบุชัดเจน จากเดิมอยู่ระหว่าง 10 – 30 หยวน อาจมีการปรับขึ้นเป็น 340 หยวน
อุณหภูมิ : มณฑลจี๋หลินมี 4 ฤดูกาลชัดเจน อากาศค่อนข้างหนาว อุณหภูมิเฉลี่ย 3-5 องศาเซลเซียสตลอดปี อุณหภูมิต่ำสุดในเดือนมกราคม -18 องศาฯ อุณหภูมิสูงสุดในเดือนกรกฎาคม 20 องศาฯ เดือนตุลาคม-เมษายน เหมาะแก่การเล่นสกี
หมายเหตุ : คำเรียกชื่อเมืองโบราณที่เกี่ยวเนื่องกับอาณาจักรโคคูเรียว ใช้หลักการถอดเสียงในภาษาจีนกลาง ส่วนชื่อเฉพาะที่เป็นภาษาเกาหลีอาจเรียกผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง เนื่องจากข้อมูลหลายฉบับเรียกไม่ตรงกัน ขออภัยมา ณ ที่นี้
* ข้อมูลบางแหล่งระบุ อาณาจักรโคคูเรียวมีกษัตริย์ปกครอง 26 รัชกาล
** ประวัติศาสตร์เกาหลี สมัยสามอาณาจักร (57 ปีก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 668) คือ อาณาจักรโบราณทั้งสามของเกาหลี ประกอบด้วย โคคูเรียว แพ็กเจ (Baikje) และชิลลา (Silla) ปกครองตลอดคาบสมุทรเกาหลี และแผ่นดินส่วนใหญ่ในแมนจูเรีย
(ข้อมูลจาก : องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี ท่านสามารถติดตามประวัติศาสตร์เกาหลีเพิ่มเติมที่ คอลัมน์ ‘คุณถาม-พายัพตอบ’)
ที่มา : epochtimes.com / ซีน่าเน็ต / ซินหัวเน็ต / โซหูเน็ต / kimsoft.com / atarn.org