xs
xsm
sm
md
lg

หมื่นลี้ไร้เมฆ:หญิงสาวผู้ตามรอย 'ซำจั๋ง'(1)

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล


ลมฤดูใบไม้ร่วงที่ปักกิ่ง พัดเอา หญิงสาวผู้หนึ่งเข้ามาในห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่ผมนั่งเรียนอยู่ รูปร่างเล็ก ผมสั้น ดูมาดมั่น แต่แฝงไปด้วยรอยยิ้มอุ่นๆ เธอแนะนำตัวเองชื่อของตัวเองด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ..... ซูหยุน (书云)

แม้จะเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ น้ำเสียงน้อยๆ แต่ด้วยตัวตน มันสมอง ประสบการณ์ และเนื้อหาเรื่องราวที่เธอรับปากมาบรรยายเป็นวิทยาทานให้กับนักศึกษาตาดำๆ นั้นทำเอา ผมต้องนั่งลงฟังเธออย่างตั้งอกตั้งใจ ส่วนปากกาก็จรดลงบนแผ่นกระดาษ ได้ความว่า

ซูหยุน เป็นหญิงสาวชาวจีน ผู้ไปใช้ชีวิตอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มากกว่าสิบปี โดยประกอบอาชีพเป็นผู้ผลิตรายการ สารคดี เกี่ยวกับประเทศจีนเพื่อป้อนให้กับสถานีโทรทัศน์ของฝั่งอังกฤษ และฝั่งสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เธอจึงตัดสินใจเดินตามรอยความฝันอย่างมุ่งมั่นโดยใช้เวลาเกือบหนึ่งปีเต็ม เพื่อเดินทางตามรอยเส้นทางการไปและกลับ ของการอัญเชิญพระไตรปิฎก จากประเทศอินเดีย มายังประเทศจีนโดย พระถังเสวียนจั้ง (唐玄奘)

หลังจากจากกลับถึงบ้านในอังกฤษ เธอได้เขียนหนังสือบันทึกการเดินทางของเธอออกมาหนึ่งเล่มเป็นภาษาอังกฤษมีชื่อว่า Ten Thousand Miles Without a Cloud เมื่อปี 2546 ที่ผ่านมา และ เดือนตุลาคม ปี 2547 หนังสือเล่มดังกล่าวก็ถูกแปลและแก้ไขเพิ่มเติมใหม่ เพื่อตีพิมพ์เป็นฉบับภาษาจีน ในนามว่า หมื่นลี้ไร้เมฆ (ว่านหลี่อู๋หยุน:万里无云)

ทำไมต้องตามรอย พระถังซำจั๋ง?

สำหรับเด็กๆ ผู้เคยอ่านนวนิยายหรือการ์ตูน 'ไซอิ๋ว' หรือ ในชื่อภาษาจีนกลางคือ ซีโหยวจี้ (西游记) หนึ่งในสี่ยอดวรรณกรรมอมตะของแผ่นดินจีน ก็คงทราบดีว่า ตามท้องเรื่องนั้น พระถังซำจั๋งได้รับพระบัญชาขององค์ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ถัง ให้เดินทางไปยังดินแดนชมพูทวีป เพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกมายังแผ่นดินจีน โดยระหว่างการเดินทาง พระถังซำจั๋ง มีศิษย์คอยรับใช้เป็นสัตว์เดียรัจฉานสามตน คือ ลิงเห้งเจีย (ซุนอู่คง:孙悟空) สุกรตือโป๊ยก่าย (จูปาเจี้ย:猪八戒) และ ปลาซัวเจ๋ง (ซาอู้จิ้ง:沙悟净)

หลังผ่านภยันอันตรายนานับประการ สุดท้าย คณะของพระถังซำจั๋ง ก็บรรลุจุดมุ่งหมายเดินทางไปถึงชมพูทวีป อัญเชิญพระไตรปิฏกกลับถึงแผ่นดินจีนสำเร็จ

ไซอิ๋ว เป็นหนังสือที่เด็กๆ ชาวเอเชียตะวันออก รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทบจะทุกคนรู้จัก หากพูดถึงในการละเล่นของวัยเยาว์ เด็กผู้ชาย แทบจะทุกคนใฝ่ฝันอยากจะเป็นเห้งเจีย บ้างยอมเป็นซัวเจ๋ง ใครที่รูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ หน่อยก็จะถูกจับให้เป็น ตือโป๊ยก่าย (ทั้งๆ ที่เจ้าตัวก็รับมาอย่างไม่เต็มใจนัก) มีน้อยคนนักที่จะยินยอมเป็น 'พระถังซำจั๋ง'

แต่เด็กคนใด จะทราบบ้างว่า ในความเป็นจริงแล้วการเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกมาจากอินเดียนั้น พระถังซำจั๋ง บุกป่าฝ่าฟันอุปสรรค์นานับประการ ข้ามทะเลทราย สุดลูกหูลูกตาไปแต่เพียงผู้เดียว ....

พระถังซำจั๋ง มีตัวตนจริงเมื่อ 1,300 กว่าปีที่แล้ว โดยได้ฉายานามหลังจากออกบวชว่า เสวียนจั้ง (玄奘; ค.ศ.600-665)* พระเสวียนจั้ง ดำรงชีวิตอยู่ใน ช่วงปลายราชวงศ์สุยถึงช่วงต้นราชวงศ์ถัง ท่าน มีนามเดิมว่า เฉินอี (陈袆) เกิดที่ลั่วโจว (洛州; ปัจจุบันอยู่ในมณฑลเหอหนาน) ในครอบครัวที่บิดาเคร่งครัดลัทธิขงจื๊อมาก ท่านมีพี่น้องรวม 5 คน โดยท่านเป็นบุตรคนสุดท้อง

พออายุได้สิบขวบ บิดาของท่านก็เสียชีวิตตามมารดาที่เสียชีวิตไปก่อนหน้าแล้ว เนื่องจากชีวิตวัยเด็กอันลำบาก แต่ด้วยความเฉลียวฉลาด สนใจการศึกษาเรียนรู้ และความใฝ่ในธรรมะ พี่ชายของท่านสังเกตเห็นว่าน้องชายพอมีหัวทางศาสนาจึงฝากน้องไว้ศึกษาธรรมะที่วัดจิ้งถู่ (净土寺) ในนครลั่วหยาง พออายุได้ 13 ปี จึงบรรพชาเข้าสู่ร่มกาสวพัสตร์

ต่อมาเมื่อราชวงศ์สุยถึงจุดสิ้นสุด บ้านเมืองวุ่นวาย ท่านจำต้องย้ายสถานที่จำวัดจากนครลั่วหยาง ไปยังฉางอาน (ซีอานปัจจุบัน) แต่ด้วยความวุ่นวายในการแย่งชิงบัลลังก์ในนครหลวงทำให้ไม่เหมาะที่จะจำวัด ท่านและพี่ชายจึงมุ่งลงใต้ย้ายไปยังนครเฉิงตู

ต่อมาเมื่อบ้านเมืองสงบแล้ว พระเสวียนจั้งจึงตั้งใจว่าก็ย้ายกลับมาจำวัดที่นครฉางอานอันเป็นเมืองหลวง และศูนย์กลางของศาสนาพุทธในจีนขณะนั้น เพื่อเสาะหาพระอาจารย์ที่มีความรู้ลึกซึ้งในพระธรรม และฝากตัวเข้าศึกษาด้วย

ในประเทศจีนขณะนั้น ด้วยความที่ศาสนาพุทธ ได้เดินทางจากประเทศอินเดียผ่านเส้นทางสายไหมอันทุรกันดาร เข้ามาตั้งแต่สมัยฮั่นตะวันออก (东汉; ค.ศ.25-220) เวลาผ่านมาถึงสมัยถังรวม 500 กว่าปีแล้ว การตีความพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แตกแขนงออกไปเป็นหลากแนวทางหลายสำนัก เมื่อ พระเสวียนจั้งศึกษาพระคัมภีร์จนแตกฉานมากขึ้นก็บังเกิดข้อสงสัยขึ้นมากมาย แต่เมื่อหาคำตอบแล้วกลับพบว่า แต่ละสำนัก ต่างก็ตีความไปคนละทิศละทาง

ดังนั้นท่านจึงเกิดข้อสันนิษฐานขึ้นว่าการแปล พระไตรปิฎกจากต้นฉบับมาเป็นภาษาจีนนั้นอาจทำให้ความดั้งเดิมในพระไตรปิฎกคลาดเคลื่อน และตัดสินใจว่า จะต้องเดินทางย้อนไปยังดินแดนอันเป็นต้นธารกำเนิดของศาสนาพุทธ ซึ่งก็คือ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน เพื่อศึกษาพระไตรปิฎกฉบับดั้งเดิมและคัดลอกนำกลับมายังแผ่นดินจีนให้ได้

อย่างไรก็ตามการเดินทางออกจาก มหานครฉางอานในช่วงที่สงคราม การเปลี่ยนราชวงศ์เพิ่งสงบ และเกิดการแย่งบัลลังก์กันในราชสำนักนั้นกลับมิใช่เรื่องง่ายแต่ประการใด โดยเฉพาะในปี ค.ศ.627 อันเป็นปีแรกที่ หลี่ซื่อหมิน (李世民) เพิ่งแย่งบัลลังก์มาจากพี่ชายหลี่เจี้ยนเฉิง (李建成) และขึ้นครองราชย์แทนหลี่ยวน (李渊) ผู้พ่อได้สำเร็จ

ด้วยความที่แผ่นดินจีนในขณะนั้นยังไม่มีเสถียรภาพ องค์ฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินจึงควบคุมการเดินทางเข้าออกนครฉางอานอย่างเข้มงวด ทั้งนี้เมื่อ พระเสวียนจั้ง ได้ขออนุญาตเดินทางออกจากฉางอานไปยังอินเดีย (เหมือนกับขอพาสปอร์ตในปัจจุบัน) ถึง 3 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ ท่านจึงแอบลักลอบเดินทางออกจากฉางอานโดยผิดกฎหมาย

ในท่อนนี้ ซูหยุนกล่าวว่า "สำหรับรายละเอียดของการเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกของพระเสวียนจั้ง ชาวจีนทั่วไปที่อ่าน ไซอิ๋ว กันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ต่างก็คิดเช่นเดียวกันว่า พระเสวียนจั้งได้รับพระบัญชาการองค์ฮ่องเต้ถังไท่จง (หลี่ซื่อหมิน) ให้เดินทางไปยังตะวันตกเพื่อนำพระไตรปิฎกกลับมาเป็นมิ่งขวัญให้กับบ้านเมือง

"ทุกคนที่เคยอ่าน ไซอิ๋ว ต่างจินตนาการภาพกันว่า พระเสวียนจั้งถือโองการจากฮ่องเต้ในมือ เดินทางออกจากประตูเมืองฉางอานอย่างองอาจ โดยองค์ฮ่องเต้เองก็เดินทางออกจากเมืองมาส่งอย่างสมเกียรติถึง 10 ลี้ เมื่อถึงเวลาต่างฝ่ายต่างโบกไม้โบกมือกล่าวลาทั้งน้ำตา ..... ในความเป็นจริงแล้ว พระเสวียนจั้งต้องเดินทางในเวลาค่ำคืนออกจากนครฉางอาน เพื่อหลบหลีกการไล่ล่าของทหารตรวจคนเข้าเมือง .... เดินทางอย่างโดดเดี่ยว"

เรื่องจริง พระเสวียนจั้ง (หรือ พระถังซำจั๋งในไซอิ๋ว) มิได้มีเงินถุงเงินถังจากราชสำนักเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปอัญเชิญไตรปิฎกถึงอินเดีย มิได้มีผู้ช่วยเหลือเป็น เห้งเจีย ตือโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง แต่อย่างใด อย่างไรก็ตามอุปสรรคที่ท่านต้องประสบพบนั้นกลับมิได้ลดน้อยไปกว่า เรื่องราวที่วรรณกรรมระบุแม้แต่น้อย

ท่านเสวียนจั้ง เพียงมี ความศรัทธาต่อศาสนาพุทธ เป็นเข็มทิศ เป็นแรงผลักดันให้เท้าก้าวเดิน ฝ่าฟันข้ามดินแดนอันแห้งแล้งมุ่งไปยังจุดหมายข้างหน้าที่สายตามิอาจมองเห็น ....

หมายเหตุ :
*ปีเกิดและมรณภาพของพระเสวียนจั้ง นั้นหลายตำราระบุว่า คือ ค.ศ.602-664 อย่างไรก็ตาม ซูหยุนได้ระบุไว้ในหนังสือหมื่นลี้ไร้เมฆ (万里无云) ว่าจริงๆ แล้วประวัติศาสตร์ส่วนนี้ระบุไว้ไม่แน่ชัด แต่จากการค้นคว้าและคำนวณแล้ว ตัวเธอเห็นว่า น่าจะเป็น ค.ศ.600-665 มากกว่า เนื่องจากบทความนี้กล่าวถึงการเดินทางของซูหยุน ข้อมูลนี้ผมจึงอ้างอิงตามผู้เขียนหนังสือเล่มนี้
**ระยะเวลา และ ขั้นตอนการเดินทางออกจากฉางอานไปยังอินเดียของ พระเสวียนจั้งนั้น ผมก็ขออ้างอิงตามหนังสือหมื่นลี้ไร้เมฆ (万里无云) เช่นกัน

อ้างอิงจาก :
- หนังสือว่านหลี่อู๋หยุน (万里无云:Ten Thousand Miles Without a Cloud) โดย ซูหยุน (书云) สำนักพิมพ์จิงจี้รื่อเป้า (经济日报出版社)
- หนังสือ 世界文化史故事大系•中国卷 โดย จูอี้เฟย และ หลี่รุ่นซิน (朱一飞,李润新) สำนักพิมพ์ 上海外语教育出版社


กำลังโหลดความคิดเห็น