xs
xsm
sm
md
lg

หางโจว:ตามรอย'พระบ้า' (2)

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล


ผ่านมาถึงศตวรรษที่ 10 ยุคสมัยที่ แคว้นอู๋เยว่ (吴越) ปกครองดินแดนในแถบหางโจว วัดหลิงอิ่นก็มีชื่อเสียงขจรกระจายเป็นอย่างมากโดย มีพระสงฆ์จำวัดอยู่มากถึง 3,000 รูป (ถึงปัจจุบันวัดแห่งนี้ก็ถือว่าเป็นวัดพุทธ-เซน ที่ใหญ่ติดอันดับหนึ่งในสิบของจีน)

สมัยชิง องค์ฮ่องเต้คังซี (康熙;ค.ศ.1662-1722) ทรงโปรดปรานทิวทัศน์ สายหมอกที่ลอยปกคลุมต้นไม้และอารามของวัดหลิงอิ่นแห่งนี้อย่างยิ่ง จนถึงขนาดที่ว่าหากเสด็จประพาส หางโจวครั้งใดจำต้องเสด็จมาเยือน ทั้งนี้ยังทรงพระอักษรไว้เป็นที่ระลึกถึงปัจจุบันด้วยว่า

"อารามแห่งเมฆหมอกและพงไพร (云林禅寺)"*

ความใหญ่โตของอุโบสถ และความร่มรื่นจากต้นไม้ใหญ่ภายในเป็นเครื่องบ่งชี้อย่างดีถึงสถานะของวัดหลิงอิ่น นอกจากนี้ยังประกอบด้วยมรดกล้ำค่าทางศาสนามากมาย ทั้ง เสาหินสลักพระสูตร 2 ต้นที่มีอายุมากกว่า 1,000 ปี พระนั่งแกะสลักจากไม้การบูร 24 ต้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนโดยมีความสูงถึง 24.8 เมตร รูปแกะสลักไม้เจ้าแม่กวนอิมอันวิจิตร กำแพงหินสลักรูปพระพุทธเจ้าประทับอยู่บนสิงโต (โดยบนกำแพงเดียวกันนี้มีการสลักสิงโตทั้งใหญ่เล็กไว้นับเป็นร้อยๆ ตัว)

ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม (ค.ศ.1966-1976) อารามอายุมากกว่า 16 ศตวรรษแห่งนี้ พร้อมเหล่ามรดกทางวัฒนธรรมของโลก รอดพ้นจากเงื้อมมือการเผาทำลายของ เรดการ์ดมาได้ก็ด้วยบารมีของบุคคลที่ชื่อ โจวเอินไหล .... คงต้องขอบคุณอดีตนายกรัฐมนตรีจีนคนนี้ที่ยังทำให้เราๆ ยังคงได้ชื่นชมกับวัดพุทธอันเก่าแก่แห่งนี้อยู่
...............................
ด้วยความแตกต่างจากพระสงฆ์รูปอื่นๆ ในทุกๆ ด้าน หลังจากจำวัดอยู่ที่วัดหลิงอิ่นได้เพียงระยะหนึ่งเมื่อพระอาจารย์ เจ้าอาวาสฮุ้ยหย่วนมรณภาพ จี้กงจึงถูกขับออกจากวัด โดยจี้กงจำต้องย้ายมาจำวัด ณ วัดจิ้งฉือ (净慈寺) ที่อาณาบริเวณติดอยู่กับ เจดีย์เหลยเฟิง

วัดจิ้งฉือ แม้จะเป็นวัดเล็กๆ ที่สร้างหลังวัดหลิงอิ่นหลายร้อยปี (วัดจิ้งฉือสร้างเมื่อ ค.ศ.954 ในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้) แต่ด้วยสถานที่ตั้ง คือ บริเวณเนินเขาทิศใต้ของซีหู และ 'ระฆังดี' ที่ถูกยกย่องว่าเป็น หนึ่งในสิบของดีแห่งซีหู ทำให้วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงขจรกระจายไปไกลเสียกว่ารัศมีของเสียงระฆังเสียอีก

จีนมีสำนวนหนึ่งระบุว่า "วัดชั้นยอดมิอาจขาดระฆังชั้นเยี่ยม (名刹不可无钟)"**

วันละสองครั้ง เช้าและเย็นระฆัง (ใบแรกมีชื่อว่า เทพเก้ามังกร) ที่วัดจิ้งฉือ จะถูกเคาะคราวละ 54 ครั้ง รวมทั้งสิ้นวันละ 108 ครั้ง ...... เล่าขานกันว่า ด้วยเนินเขาทิศใต้อันตระหง่านเป็นกำแพงอยู่ด้านหลังวัดและบรรจุถ้ำเล็กโพรงน้อยเอาไว้มากมาย ได้สะท้อนให้เสียงไพเราะกังวาน ไปทั่วบริเวณรอบทะเลสาบซีหูจนได้ชื่อว่า 'เสียงระฆังยามสายัณห์ที่เนินหนานผิง (南屏晚钟)'

กลับมาถึงเรื่องราวของ พระจี้กงกันต่อ ....

มีอยู่ปีหนึ่ง วัดจิ้งฉือ ประสบกับเหตุอัคคีภัยใหญ่จนอารามต่างวอดวายไปเสียสิ้น ทำให้พระสงฆ์ในวัดต่างต้องกระจายออกบิณฑบาตไม้เพื่อนำมาสร้างวัดขึ้นใหม่ ด้านจี้กงก็ออกบิณฑบาตไม้เช่นเดียวกับพระรูปอื่นๆ

วันหนึ่งเมื่อจี้กง เดินทางออกนอกเขตเมืองหางโจว มาถึงเขตภูเขาฟู่ชุน (富春山) ที่ภูเขาทั้งลูกเขียวครึ้มไปด้วยไม้ไหญ่ผลิใบสีเขียวอ่อน เมื่อจี้กงเหลือบไปที่ตีนเขา และสังเกตเห็นบ้านใหญ่หลังหนึ่งก็ทราบทันทีว่าเป็นบ้านของเศรษฐีผู้ครอบครองภูเขาฟู่ชุน

ทราบดังนั้น จี้กงจึงเดินไปที่ประตูบ้านหลังดังกล่าว ยืนสวดมนต์ พร้อมกับเคาะปลาไม้ (木鱼; เครื่องเคาะให้จังหวะเวลาพระ หรือ แม่ชีสวดมนต์)

เจ้าของบ้านหลังนี้เป็นยายแก่ผู้ถือศีลกินผัก เมื่อได้ยินเสียงเคาะปลาไม้จึงออกมายังหน้าประตูเมื่อพบกับพระจี้กงที่รูปลักษณ์มอมแมมจึงเอ่ยถามว่า "หลวงพ่อ ต้องการบิณฑบาตข้าวสาร อาหารแห้ง หรือ เงินทอง"

"อาตมา หนึ่ง ไม่ต้องการอาหาร สอง ไม่ต้องการเงินทอง แต่วัดจิ้งฉือประสพภัยพิบัติ ถูกอัคคีเผาเสียสิ้น เจ้าอาวาสสั่งให้อาตมาออกมาบิณฑบาตไม้ เพื่อนำไปสร้างวัดใหม่"

"ไม่ทราบว่า หลวงพ่อต้องการไม้จำนวนเท่าไหร่" ยายแก่เจ้าของบ้านถามต่อ

จี้กงชี้นิ้วมาที่จีวรของตัวเองแล้วกล่าวต่อว่า "อ้อ! แค่จีวรนี้บรรจุได้ก็น่าจะพอแล้วโยม"

ยายแก่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกขบขันในใจเป็นอันมากถึงคำตอบของจี้กง จึงกล่าวไปว่า "อย่างนั้นก็เชิญหลวงพ่อตามสบายก็แล้วกัน เอาไปเยอะสักหน่อยก็ไม่เป็นไร"

พอได้ยินคำตอบดังนั้น จี้กงจึงพนมมือกล่าว "อมิตพุทธ" ถอดจีวรของตนออก โยนจีวรให้ลอยขึ้นไปเหนือภูเขาฟู่ชุน จากนั้นจึงท่องคาถา เมื่อยายแก่เงยหน้าขึ้นมองตามทิศทางที่จีวรถูกขว้างออกไปก็พบว่า จีวรยิ่งถูกกระแสลมพัดปลิวไปไกลยิ่งขยายใหญ่ จนสุดท้ายก็หล่นลงมาคลุมภูเขาไว้ทั้งลูก

เมื่อเห็นดังนั้น ยายแก่ก็ตกใจเป็นอย่างมาก และทราบในใจทันทีว่าพระสงฆ์รูปลักษณ์มอมแมมที่ยืนอยู่ข้างหน้าตนนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ที่มาโปรดสัตว์เป็นแน่แท้ แต่เนื่องจากยายแก่ยังมีบุตรชายอีก 3 คน ยายแก่จึงกล่าวขอความกรุณากับจี้กงว่า บุตรชายของตนยังมีความจำเป็นต้องสร้างบ้าน ประกอบธุรกิจต่อไปอีก ขอให้จี้กงเหลือไม้บนภูเขาไว้บ้าง ...... จี้กงก็ตกปากรับคำ

วันถัดมาจี้กงก็สั่งให้คนงานไปตัดบนภูเขาเสียสิ้น จากนั้นจึงเด็ดยอดของต้นไม้เหล่านั้นมาปักไว้บนบนตอไม้ที่ถูกตัด หยิบพัดใบลานมาโบกพร้อมกับท่องคาถา เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่เพียงแค่คืนเดียวยอดไม้บนตอไม้เหล่านั้นก็กลับเติบโตกลายเป็นไม้ใหญ่ดังเดิมอีกครั้ง

เมื่อหาไม้สร้างวัดได้สมใจ จี้กงพร้อมกับคนงานก็ขนไม้ล่องแม่น้ำกลับสู่เมืองหางโจว ......

อย่างไรก็ตามเมื่อมาถึงกลับพบว่าประตูน้ำของเมืองหางโจวนั้นปิดอยู่ พอป่าวร้องเรียกเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูก็กลับได้คำตอบว่า ไม้ทั้งหมดเหล่านี้จำต้องเสียภาษีเสียก่อนมิฉะนั้นจะไม่อนุญาตให้นำเข้ามาในเมือง แม้จี้กงจะอธิบายว่าเป็นไม้ดังกล่าวนั้นนำมาสร้างวัดวามิได้นำไปค้าขาย อย่างไรก็ไม่สำเร็จ ..... ดังนั้น จี้กงจึงแสดงอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง จัดการให้ไม้ที่ลอยน้ำเหล่านั้นจมลงไปใต้น้ำเสีย

วันเดียวกัน ขณะที่เจ้าอาวาสและหมู่พระ ที่ยืนรอคอยจี้กงกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อพบภาพจี้กงเดินมาเอื่อยๆ พร้อมกับตะโกนว่า "พระอาจารย์ ไม้สร้างวัดได้มาแล้ว" ก็รู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะ นอกจากตัวเปล่าๆ ของจี้กงแล้วทุกคนกลับไม่เห็นเงาของไม้สร้างวัดที่ว่าแม้แต่ท่อนเดียว

จี้กง เห็นดังนั้นจึงกล่าวตอบคลายความสงสัยว่า "ไปดูที่บ่อน้ำในวัด เอาคนมาขนขึ้นมาก็เรียบร้อย"

เหล่าพระต่างก็วิ่งไปดูที่บ่อน้ำของวัดจึงก็พบว่ามีท่อนไม้ผุดขึ้นมาจากบ่อน้ำจริง ดังนั้นจึงช่วยกันคนละไม้ละมือขนออกจากบ่อเพื่อนำไปสร้างวัด อย่างไรก็ตามหลังจาก ขนกันอยู่สามวันสามคืนไม้ก็ไม่หมดเสียที จนมีพระรูปหนึ่งตะโกนว่า "พอแล้ว พอแล้ว!" ไม้จึงหยุดผุดขึ้นมาจากบ่อน้ำ

ทั้งนี้มีเรื่องเล่าขานเป็นตำนานถึง "บ่อโบราณที่วัดจิ้งฉือ" อีกด้วยด้วย คือ ขณะที่สร้างวัดนั้นช่างกลับพบว่าขาดไม้ไปหนึ่งท่อน ไม้ท่อนสุดท้ายดังกล่าว พระสงฆ์และชาวบ้านต่างเชื่อกันว่ายังหลงเหลืออยู่ใต้บ่อแห่งนี้จวบจนปัจจุบัน
............................
ผมเดินผ่านกำแพงสีเหลืองสด ที่ชาวจีนเชื่อกันว่าเป็นสีตัวแทนของ ศาสนาพุทธ เข้าไปในบริเวณวัด ..... ด้วยตำนาน อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์มากมายของพระจี้กงที่เคยจำวัดอยู่ที่นี่ วัดจิ้งฉือ ปัจจุบันจึงมีชื่อเล่นที่เรียกในหมู่ชาวบ้านว่า วัดจี้กง (济公庙)

ผู้รู้บางท่านกล่าวไว้ว่า "แม้จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์และพ้นจากการเกิดดับแล้ว ถ้าหากอยู่ในโลกมนุษย์แล้วไม่มีลูกเล่น แสดงบทบ้าๆ บ๊องๆ จะแสดงพระธรรมให้กระจ่างแจ้งได้อย่างไร เพราะอภิญญายากที่จะเปิดเผย นับเป็นพฤติกรรมที่ต้องการให้พวกโง่หลงงมงายได้รู้สึกตัว .... " (นำมาจากตอนต้นของ ประวัติพระอรหันต์จี้กง จากเว็บไซต์ www.vithi.com)

เรื่องราวและตำนานพิสดารต่างๆ ของจี้กง สำหรับคนกลุ่มหนึ่งอาจมีความหมายเพียงการเล่าขานต่อกันไปเพียงเพื่อความบันเทิง เอาสนุก แต่สำหรับ บางคน เรื่องราวเหล่านี้กลับเป็นเสมือน ข้อเตือนใจชั้นเยี่ยม เครื่องกล่อมเกลาจิตใจชั้นดี ..... ที่มิจำเป็นต้องเรียนรู้ผ่านการสั่งสอนกันทางตรง หรือ บทบาลีอันซับซ้อน แต่อย่างใด

Tips สำหรับการเดินทาง:
- วัดจิ้งฉือ (净慈寺) อยู่ตรงข้ามกับทางเข้าของ เจดีย์เหลยเฟิง (雷峰塔) ฤดูหนาวเปิดให้เยี่ยมชมระหว่าง 7.30-16.30น. ส่วนฤดูร้อนเปิดให้เยี่ยมชมระหว่าง 6.30-17.30น. ค่าเข้าชม 10 หยวน

อ้างอิงจาก :
*หนังสือ 大杭州旅游新指南 (Greater Hangzhou A New Travel Guide) โดย เฉินกัง (陈刚) สำนักพิมพ์เจ้อเจียงเส้อหยิ่ง (浙江摄影出版社) หน้า 124-132
**, ***หนังสือ 大杭州名胜古迹民间故事集 โดย เจี่ยงสุ่ยหรง (蒋水荣) สำนักพิมพ์เจ้อเจียงเส้อหยิ่ง (浙江摄影出版社) ** หน้า 50-51 และ *** หน้า 47-48






กำลังโหลดความคิดเห็น