xs
xsm
sm
md
lg

‘อักขระนารี’ ภาษาเฉพาะผู้หญิงที่เจียงหย่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ชีวิตคนเมืองจีน/  เมื่อหลายพันปีที่ผ่านมา ในประเทศจีนปรากฏภาษาๆหนึ่ง ซึ่งจะสอนกันเฉพาะในหมู่ผู้หญิง เพื่อบอกเล่าหรือระบายความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ที่ต้องการเก็บงำเป็น 'ความลับ’ มาในวันนี้ เมื่อบริบทของสังคมเปลี่ยนไป ผู้หญิงสามารถพูดและทำสิ่งต่างๆได้ตามใจปรารถนา ภาษานี้จึงค่อยๆเลือนหายไปตามธรรมชาติ ทำให้เห็นว่า ภาษาเป็นดั่งกระจกบานใหญ่ ที่สะท้อนสภาพสังคมได้เป็นอย่างดี เฉกเช่นที่เราสามารถเรียนรู้ชีวิตผู้คนในยุคสมัยต่างๆ ผ่านทางภาษาที่อุบัติขึ้นในยุคสมัยนั้นๆ

ณ อำเภอเจียงหย่ง เมืองหย่งโจว มณฑลหูหนันในภาคกลางของประเทศจีน มีวัฒนธรรมการใช้อักขระจีนของชนชาติส่วนน้อย ที่สื่อสารกันในเฉพาะกลุ่มผู้หญิง และเป็นประเพณีสืบทอดจากยายสู่แม่ และแม่สู่ลูกสาว มาเป็นเวลากว่าพันปีแล้ว

รหัสลับของผู้หญิง

‘อักขระนารี’ หรือเรียกในภาษาจีนกลางว่า ‘หนี่ว์ซู’ (女书)  มีอีกชื่อว่า ‘หนี่ว์จื้อ’ (女字)เป็นตัวอักขระจีนที่ใช้กันในกลุ่มชนชาติส่วนน้อยมาแต่โบราณ เช่น ชาวจ้วง ต้ง และไป่เยี่ยว์ ซึ่งมีถิ่นอาศัยกระจายอยู่ในมณฑลหูหนัน กว่างซี(กวางสี) กุ้ยโจว บริเวณตอนกลางและใต้ของประเทศ นักวิชาการหลายคนเชื่อว่า ถิ่นกำเนิดตัวอักขระพิเศษนี้อยู่ในอำเภอเจียงหย่ง และคาดว่าอาจมีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 2,000 ปี

จากหลักฐานชี้ชัดว่า ถิ่นที่ใช้ภาษานี้มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ นักภาษาศาสตร์จีนจึงเชื่อว่า อักขระดังกล่าวมีวิวัฒนาการมาจากการผสมผสานอักษรของวัฒนธรรมชนชาติต่างๆ อาทิ ฉู่เหวินจื้อ ปาเหวินจื้อ และเยี่ยว์เหวินจื้อ นอกจากนี้ บางท่านยังสันนิษฐานว่า อักขระดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับจารึกโบราณบนกระดองเต่า หรือ ‘เจี๋ยกู่เหวิน' ที่มีอายุกว่า 3,000 ปีด้วย

อักขระรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนที่สง่างาม มีขีด 4 แบบเป็นองค์ประกอบหลัก ได้แก่ จุด เส้นนอน เส้นเอียง และเส้นโค้ง คาดว่า มีทั้งหมดราว 1,000 - 5,000 ตัว โดยสามารถใช้เป็นภาษาพูดที่สื่อความรู้สึกข้างใน และความยากเข็ญของผู้หญิง ตลอดจนถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิต หรือใช้คุยเรื่องสัพเพเหระ

‘หนี่ว์ซู’ มีรูปแบบภาษาเขียนเป็นหลัก บางส่วนเป็นเพลงกลอนและเพลงพื้นบ้าน เนื่องจากในสมัยโบราณผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนในโรงเรียนเหมือนผู้ชาย และยังอยู่ภายใต้การปกครองของเพศชาย ในขณะที่เด็กชายในเจียงหย่งได้เรียนภาษาราชการ เด็กสาวก็ใช้ภาษาดังกล่าวเป็นทางออกในการสื่อสารเรื่องราวต่างๆในชีวิตประจำวันระหว่างกัน โดยมียายและแม่เป็นครู และงานฝีมือของพวกเธอก็กลายเป็นตำราเรียนและสมุดการบ้าน

การใช้ภาษาเฉพาะในหมู่หญิงสาวอำเภอเจียงหย่ง บางครั้งก็นำมาซึ่งความเสี่ยงถึงชีวิต โดยเฉพาะในช่วงยุค ‘ปฏิวัติวัฒนธรรม’ ซึ่งการกระทำดังกล่าวถูกวิพากษ์ว่าเป็น ‘กากเดนของระบบศักดินา’ ดังที่ หญิงสาวคนหนึ่งในอำเภอนี้ถูกกล่าวหาว่าเป็นจารชน และถูกตำรวจนอกพื้นที่จับตัวไป หลังจากตำรวจตรวจพบชิ้นงานที่มีอักขระพิศวงที่เขาอ่านไม่เข้าใจในกระเป๋าเดินทางของเธอ

นักวิชาการจีนต่างชี้ว่า ความเป็นระบบสัญลักษณ์ที่มีลักษณะเฉพาะของสตรีเพศ และไม่เหมือนที่ใดในโลกของอักขระผู้หญิงนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างเพื่อนหญิงด้วยกัน ในการแสดงความรู้สึกนึกคิดในห้วงลึกของอารมณ์ ซึ่งเพศชายยากที่จะเข้าใจได้

ขณะที่นักจิตวิทยาชาวตะวันตก เสนอว่า รูปแบบการสื่อสารดังกล่าว เป็นการขยายช่องว่างทางภาษาที่เป็นความลับของผู้หญิง ในสังคมชายเป็นใหญ่


แม่เฒ่าคนสุดท้ายของ ‘อักขระนารี’

ข่าวการถึงแก่กรรมของหยังห้วนอี๋ ในวัย 98 ปีเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา นำความสูญเสียทางวัฒนธรรมมาสู่วงการภาษาศาสตร์ และกระตุ้นให้สื่อมวลชนของจีนตื่นตัวหันมาสนใจภาษาประหลาดนี้กันอย่างครึกโครม เนื่องจากแม่เฒ่าผู้ได้ชื่อว่าเป็นปูชนียบุคคลด้าน‘อักขระนารี’ นับเป็นคนสุดท้าย ที่เก็บงำความรู้เรื่องอักษรดังกล่าวไว้มากที่สุดและมีความน่าเชื่อถือที่สุด โดยไม่มีลูกหรือหลานคนใดรับช่วงความเชี่ยวชาญพิเศษนี้จากท่านเลย

คุณยายหยัง เกิดที่หมู่บ้านหยังเจีย ในอำเภอเจียงหย่ง เรียนรู้การอ่านและเขียน‘อักขระนารี’ ตั้งแต่ยังเล็ก เมื่ออายุ 14 ปี (ก่อนแต่งงาน) เธอเคยเขียนจดหมายโต้ตอบกับเพื่อนสาวรุ่นพี่ชื่อ เกาหยินเซียน สาวจากหมู่บ้านซิ่งฝู ซึ่งเป็นเจ๊ใหญ่หนึ่งใน ‘สตรีเจ็ดพี่น้องร่วมสาบาน’ ที่ร่ำเรียนและสืบทอดการใช้ ‘อักขระนารีสื่อความนัย’ ในหมู่บ้านของเธอ ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่ได้สาบานตนเป็นพี่น้องกัน ในวัยเยาว์หยังก็ได้เรียนภาษาผู้หญิงจากเกาอยู่ 3 ปี จนเกิดเป็นมิตรภาพอันลึกซึ้ง

ปลายทศวรรษที่ 90 แห่งศตวรรษที่แล้ว หญิงสาวเจ็ดพี่น้องได้เสียชีวิตลง อำเภอเจียงหย่งจึงเหลือแต่ หยังห้วนอี๋ ที่สามารถอ่านเขียนและร้องเพลงด้วยภาษาผู้หญิงได้เพียงคนเดียว และเธอก็กลายเป็นบุคคลที่ถ่ายทอดอักขระพิเศษสืบมาทั้งในหมู่บ้านและละแวกใกล้เคียง

ปีค.ศ.1995 แม่เฒ่าหยังได้รับเชิญไปร่วมในงานสัมมนาสตรีสากล ที่จัดขึ้นโดยองค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็น) ที่มหาวิทยาลัยชิงหัวในกรุงปักกิ่ง โดยได้นำผลงานวรรณกรรมทั้งบทกวี จดหมาย และบทร้อยแก้วต่างๆไปแสดงด้วย ซึ่งนักภาษาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยชิงหัว ได้เก็บรวบรวมงานเขียนของแม่เฒ่าไว้เพื่อการศึกษาวิจัย ซึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้ตีพิมพ์ผลงานดังกล่าวออกสู่สาธารณชน

ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์กล่าวว่า ภาษาผู้หญิงที่แม่เฒ่าหยังใช้ มีมาตรฐานตามประเพณีดั้งเดิม ซึ่งไม่พบว่าได้รับอิทธิพลจากภาษาฮั่นหรือภาษาจีนกลางแต่อย่างใด ทั้งนี้เนื่องจากคุณยายไม่เคยเข้าโรงเรียนนั่นเอง

แม่เฒ่าหยังห้วนอี๋ เคยให้สัมภาษณ์เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ว่า “ตอนที่ฉันเรียนภาษาผู้หญิง ก็เพื่อใช้เขียนจดหมาย และแลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดกับพวกพี่ๆน้องๆผู้หญิง ฉันใช้มันเขียนความคิดที่แท้จริงที่ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ แต่สมัยนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องเรียนภาษานี้อีกต่อไปแล้ว”


งานอนุรักษ์ภาษาถิ่น ความหวังริบหรี่

นอกจากการถึงแก่กรรมของคุณยายหยังจะดับอนาคตการศึกษาเรื่องภาษาผู้หญิงแล้ว ปัจจุบัน ต้นฉบับวรรณกรรมอักขระนารี ก็ยังเป็นงานเขียนที่หายากมากด้วย เนื่องจากในประเพณีของชนส่วนน้อยเชื่อว่า หากผู้หญิงเสียชีวิตลงจะนำงานฝีมือ ซึ่งส่วนใหญ่มีอักขระนารีประดับอยู่ เผาหรือฝังไปพร้อมกับศพด้วย ทั้งนี้ งานศึกษาวิจัยที่ทำอยู่ อาศัยการสัมภาษณ์เจ้าของงานศิลปะเหล่านี้เป็นสำคัญ

ตามที่เจ้าหน้าที่หอจดหมายเหตุ แห่งมณฑลหูหนัน ระบุ มีต้นฉบับงานเขียนอักขระเช่นนี้ อย่างน้อย 100 ชิ้นเก็บรักษาอยู่ในต่างประเทศ และกำลังเป็นที่สนใจไปทั่วโลก ซึ่งทางการจีนกำลังเอาจริงเอาจังกับการอนุรักษ์ภาษาถิ่นที่กำลังจะสาบสูญนี้ โดยมีการเก็บรวบรวมผ้าเช็ดหน้า พัด ภาพเขียนลายสือศิลป์ ผ้าพันคอ กระเป๋าถือ และผ้ากันเปื้อน ที่มีการจารึกหรือปักลวดลายด้วยอักขระพิศวงนี้

ซึ่งปัจจุบัน หอจดหมายเหตุของมณฑลหูหนัน สามารถรวบรวมงานมีค่าได้ 303 ชิ้น จากอำเภอเจียงหย่ง ซึ่งบางชิ้นเก่าแก่นับย้อนไปถึงต้นทศวรรษ 1900 สมัยราชวงศ์ชิง และมีที่ผลิตในช่วงยุค 1960 – 1970 รวมถึงผลงานของโจวซั่วอี้ ข้าราชการปลดเกษียณวัย 79 ปี ชายคนแรกที่ใช้เวลากว่าครึ่งศตวรรษศึกษา‘อักขระนารี’ และกำลังเรียบเรียงพจนานุกรมศัพท์ภาษาผู้หญิง ประกอบคำอธิบายด้านไวยากรณ์ด้วย.

ข้อมูลจาก : หย่งโจวซิตี้ ดอท คอม / ซินหัวเน็ต / พีเพิลเน็ต / เชียนหลงเน็ต

กำลังโหลดความคิดเห็น