มวลชนชาวจีนในยุคก่อนการก่อตั้งสาธารณรัฐ ระหว่างค.ศ.1921-1949 สามารถลุกขึ้นยืน และเกิดประเทศจีนใหม่ได้ ด้วยพลังขับเคลื่อนจากแนวคิดชี้นำของท่านประธานเหมา ในการเคลื่อนไหวต่อสู้ เพื่อปลดปล่อยประเทศจากการครอบงำของมหาอำนาจตะวันตก และระบบศักดินา โดยมี ‘ทฤษฎีความคิดเหมาเจ๋อตง’ ซึ่งเน้นการต่อสู้ในการปฏิวัติประชาชาติ และนำความเป็นไทมาสู่ประชาชนจีน เป็นธงชัย
เมื่อมาถึงยุคของเติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดรุ่นที่ 2 ประเทศจีนหลุดพ้นจากยุคของการต่อสู้ทางชนชั้น เข้าสู่ยุคของการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย พยายามบุกเบิกแผ้วถางเพื่อการสร้างสรรค์สังคมนิยมลักษณะเฉพาะของจีน
ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง
เติ้งเสี่ยวผิงได้นำเสนอแนวคิด การปลดปล่อยทางความคิด และค้นหาสัจจะจากความเป็นจริง ซึ่งกลายมาเป็น ‘ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง’ ที่เน้นการทำลายกรอบทางความคิด มุ่งเรียนรู้จากการปฏิบัติ จากสภาพที่เป็นจริง และพิสูจน์กันที่ ‘ผลของการกระทำ’ ได้ชักจูงให้ทุกฝ่ายเริ่มปฏิบัติจาก ‘ความเป็นจริง’ และยุติการถกเถียงที่ยึดถือแต่ ‘แนวทฤษฎี’
สาระสำคัญของ ‘ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง’ โดยสรุปคือ ปลดปล่อยความคิด ใช้การปฏิบัติเป็นเครื่องวัดความถูกต้องของสัจธรรม มองว่าสังคมจีนเป็นสังคมนิยมขั้นปฐม ที่มีลักษณะเฉพาะของตนเอง มีภารกิจในการสร้างสรรค์สังคมนิยม คือการปลดปล่อยกำลังการผลิต รวมไปถึง การรวมเกาะฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวันเข้ากับแผ่นดินใหญ่ โดยใช้หลักการ ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’
ปี 1997 ที่ประชุมใหญ่สมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ สมัยที่ 15 ได้ยอมรับ ‘ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง’ เป็นทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติของพรรค ที่บรรจุไว้ในธรรมนูญของพรรค พรรคคอมมิวนิสต์ได้ถือเป็นภารกิจสำคัญของชาติ ในการเป็นแกนนำสร้างสรรค์สังคมนิยมที่ทันสมัย ตามแนวทางของเติ้ง นับเป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่ผลักดันแนวคิดไปสู่การปฏิบัติ
การพัฒนาเศรษฐกิจ
เติ้งใคร่ครวญบทเรียนเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจที่แล้วมา ที่ยึดการวางแผนจากส่วนกลางเป็น ‘แม่แบบ’ ซึ่งดำเนินรอยตามแนวทางของอดีตสหภาพโซเวียต และได้เรียนรู้ว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างสรรค์รูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นลักษณะเฉพาะของตัวเอง
นโยบายที่เด่นชัดที่สุดในยุคเติ้งเสี่ยวผิง ที่เป็นส่วนหนึ่งใน ‘ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง’ คงหนีไม่พ้น การปฏิรูปเศรษฐกิจด้วยการปลดปล่อยกำลังการผลิต และ‘เปิดประเทศ’ ดูดซับทรัพยากรการผลิตจากภายนอก ซึ่งเติ้งเชื่อว่า จะเป็นวิถีทางสร้างสรรค์สังคมนิยมของจีนให้ทันสมัย ในเบื้องต้นแนวทางดังกล่าวนำมาซึ่งข้อโต้แย้งจากหลายฝ่าย ด้วยเห็นว่า ประเทศจีนที่ยึดถือระบบสังคมนิยมกำลังเดินเข้าสู่ปากทางของระบบทุนนิยมมากกว่า
ประเทศจีนภายใต้ผู้นำร่างเล็ก มีทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจโดยกำหนดเป้าหมาย ในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจีน ที่เริ่มต้นจาก ‘ขจัดความยากจน’ ไปจากสังคมจีน และค่อยๆพัฒนาไปสู่สังคม ‘พอมีพอกิน’ และ ‘กินดีอยู่ดี’โดยถ้วนหน้า จนกระทั่งเจริญขึ้นเป็น ‘สังคมที่รุ่งเรืองมั่งคั่ง’ ในที่สุด ที่เรียกว่า ‘ยุทธศาสตร์ 3 ก้าว’
ก้าวที่หนึ่ง ตั้งเป้าในปี ค.ศ.1990 เศรษฐกิจจีนจะโตเป็น 2 เท่าของปี 1980 สังคมพ้นจากสภาพความยากจน ก้าวที่สอง ปีค.ศ.2000 เศรษฐกิจจีนจะโตเป็น 2 เท่าของปี 1990 ประชาชนกินดีอยู่ดีโดยพื้นฐาน และก้าวที่สาม เมื่อถึงกลางศตวรรษที่ 21 จีนจะเจริญรุ่งเรืองระดับโลก สังคมโดยรวมมีความมั่งคั่งร่ำรวยถ้วนหน้า
นอกจากการพัฒนาเศรษฐกิจ ที่ถือเป็นแนวทางหลักของประเทศแล้ว ผู้นำเติ้งยังเล็งเห็นว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นพลังการผลิตอันดับหนึ่ง ที่ต้องส่งเสริมสนับสนุนให้ก้าวหน้า ควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพผู้ใช้แรงงานด้วย
‘การปลดปล่อยทางความคิด’ ตามทฤษฎีของเติ้ง ช่วยเปิดกว้างแนวทางต่างๆที่เป็นไปได้ ในอันที่จะเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งบทพิสูจน์จากแนวคิดดังกล่าว ได้เกิดผลในทางปฏิบัติกับประเทศที่ยากจนในอดีต ซึ่งกลายเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ร้อนแรงในปัจจุบันแล้ว.
สรุปความจาก : ‘ยุทธศาสตร์ 3 ก้าว หนทางสู่ความสำเร็จแบบจีน’ ‘อะเมซิ่งจูหรงจี’ และ ‘จากเจียงเจ๋อหมิน สู่หูจิ่นเทา’ โดย สันติ ตั้งรพีพากร