อาหารซานซีแท้ๆ มื้อแรกของผม เป็นอาหารง่ายๆ รวดเร็วแบบฟาสต์ฟู้ดสไตล์ตะวันออก ก็คือ เมี่ยน (面) ที่ผมขอเรียกรวมๆ ว่า ก๋วยเตี๋ยว* ให้เข้าใจง่ายๆ และเห็นภาพนะครับ
ไม่บอกก็ไม่รู้ เพราะกินไปเกือบหมดชามแล้วก็เพิ่งทราบว่า ของดีของ 'ซานซี' อีกอย่างหนึ่งนั้นก็ คือ อาหารเส้นๆ ที่แพร่หลายไปทั่วโลกนั่นเอง เพราะแม้แต่ สปาเกตตี้ของอิตาลีอันโด่งดัง นักประวัติศาสตร์จำนวนมากก็เชื่อว่า อิตาลีไปเอาอย่างมาจากจีน
คนจีนมีคำกล่าวอยู่ว่า "世界面食在中国,中国面食在山西" เรียบเรียงเป็นไทยแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ "หากชาวโลกกล่าวถึงก๋วยเตี๋ยวก็ต้องคิดถึงจีน และหากชาวจีนกล่าวถึงก๋วยเตี๋ยวก็ต้องนึกถึงซานซี"
ไม่ว่าเดี๋ยวนี้คนบ้านอื่นเมืองอื่นจะคิดค้นและทำ ก๋วยเตี๋ยวได้เอร็ดอร่อยไปกว่าคนจีนแล้วอย่างที่หลายคนว่า (เพราะผมก็ว่ากับเขาด้วยเหมือนกัน) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า 'บ้านเกิด' ของก๋วยเตี๋ยวยังไงก็ต้องเป็น 'จีน' อยู่วันยังค่ำ
มีคนเล่าว่า ซานซี กับ ก๋วยเตี๋ยว นั้นอยู่คู่กันมาตั้ง 2,000 กว่าปีแล้ว โดยประเภทของก๋วยเตี๋ยวที่ยังหลงเหลือก็แพร่หลายกระจายออกไปสร้างความนิยมอยู่ทั่วเมืองจีน

ทั้งนี้ ก๋วยเตี๋ยว ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของซานซี นั้นมีชื่อเรียกว่า "เตาเซียวเมี่ยน (刀削面)" หรือที่ผมเรียกเล่นๆ ส่วนตัวว่า "เตี๋ยวมีดบิน"
เตาเซียวเมี่ยน นั้นมีจุดเด่นอยู่ตรงที่วิธีการทำครับ ปกติหลายคนอาจเห็นวิธีการทำบะหมี่ของชาวจีนว่า เป็นแบบเอาก้อนแป้งมานวดไปนวดมา ม้วนแล้วดึงเป็นเส้นให้ยาวๆ นำมาทบกันไปทบกันมา แต่วิธีการทำของเตาเซียวเมี่ยนไม่เหมือนกันครับ เขาไม่เสียเวลายืดแป้งให้ยืดยาดครับ เพราะเขาเอาก้อนแป้งที่นวดเสร็จแล้วมา 'เจื๋อน' ลงหม้อกันเห็นๆ ครับ ซึ่งถ้าหากพ่อครัวมีฝีมือหน่อย ความรวดเร็วของการใช้มีดก็จะทำให้คล้ายๆ แป้งบินลงไปในหม้อ และไอ้ความแปลกตรงวิธีการทำนี้เองที่บางคนก็เรียก เตาเซียวเมี่ยนเล่นๆ ว่า "เตาเซียวเมี่ยนบิน หรือ 飞刀削面"
พูดกันอย่างนี้แล้วทำเอาผมนึกไปถึง พี่ลี้คิมฮวง จากฤทธิ์มีดสั้น พระเอกในดวงใจของผมและใครหลายๆ คน
ถามผมว่ารูปลักษณ์ของเตาเซียวเมี่ยนเป็นอย่างไร? คำตอบอาจจะยากอยู่เพราะ เส้นของเตาเซียวเมี่ยน เป็นเส้นแบนๆ หนาเล็กน้อย ยาวประมาณ 1-2 นิ้ว อยู่ในน้ำซุปขลุกขลิก เส้นก็จะนุ่มๆ ลิ้น ไม่ค่อยเหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยวหรือเส้นบะหมี่สักเท่าไหร่ ส่วนน้ำซุปนั้นจะเป็นน้ำซุปข้นๆ เหนียวประมาณราดหน้า โดยมากแล้วจะมีส่วนผสมของมะเขือเทศเป็นหลัก ส่วนรสชาติก็จะเปรี้ยวนิดๆ เค็มหน่อยๆ
เปรี้ยวนิดๆ นี่จากมะเขือเทศ ส่วน เค็มหน่อยๆ นั้นสงสัยมาจากมือคนทำ ..... : )
เอาเป็นว่าใครอยากกิน "เตาเซียวเมี่ยน" ก็ลงทุนบินมาลองกินเอาเองนะครับ ผมคิดว่ามีทุกที่ในเมืองจีน ส่วนใครเคยกินแล้วมีความเห็นอย่างไรก็เชิญแสดงความเห็นกันตามสะดวก
หลังจากฟาด "เมี่ยน" ลงท้อง เสียเวลาย่อยเล็กน้อย สองขาก็มีแรงเดินต่อ ....
จุดหมายถัดไปของผมตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เพราะห่างจากตัวเมืองต้าถงเพียง 16 กิโลเมตร มีความสำคัญสำหรับชาวพุทธ และมีชื่อติดอยู่ในทำเนียบ มรดกโลกทางวัฒนธรรม (World Cultural Heritage:世界文化遗产) ด้วย
สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า "ถ้ำหินสลักหยุนกัง (Cloud Ridge Caves:云冈石窟)"

การก่อสร้างถ้ำหินอันมีพระพุทธรูปสลักอยู่ภายในที่อยู่ในจีนนั้นได้รับอิทธิพลมาจาก อินเดียแหล่งกำเนิดของพุทธศาสนา ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น (ก่อนคริสตกาล 206 ปี ถึง ค.ศ.220) และต่อเนื่องเรื่อยมาตั้งแต่สมัย เป่ยเว่ย สุย จนถึงถัง ที่มีการก่อสร้างกันมากที่สุด
ทั้งนี้ปัจจุบันในประเทศจีนนั้นแม้จะมี ถ้ำหินสลัก (สือคู:石窟) อยู่นับเป็นพันๆ แห่ง แต่ก็มีถ้ำหินสลักที่ได้ชื่อว่า เป็นที่สุด 4 แห่ง** (หนังสือบางเล่มอาจระบุว่ามี 3 แห่งโดยตัด 'ไม่จีซาน' ออกไป) ประกอบด้วย
1.ถ้ำหินสลักโม่เกา (莫高石窟) แห่งตุนหวง (敦煌) มณฑลกานซู่
2.ถ้ำหินสลักหลงเหมิน (龙门石窟) แห่งลั่วหยาง (洛阳) มณฑลเหอหนาน
3.ถ้ำหินสลักหยุนกัง (云冈石窟) แห่งต้าถง (大同) มณฑลซานซี
และ 4.ถ้ำหินสลักไม่จีซาน (麦积山石窟) แห่งเทียนสุ่ย (天水) มณฑลกานซู่
นอกจากที่สุดของ ถ้ำหินสลัก ทั้ง 4 แห่งที่อยู่ในประเทศจีนแล้ว ยังมีถ้ำหินสลักอีกสองแห่งที่ถือว่าเป็นที่สุดในโลก ท่านผู้อ่านหลายท่านคงรู้จัก หรืออย่างน้อยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง ก็คือ ถ้ำ Ajanta แห่งประเทศอินเดีย และ ถ้ำ Bamiyan แห่งอัฟกานิสถาน
สำหรับชื่อถ้ำ Bamiyan แห่งอัฟกานิสถานนั้นหลายคนเมื่ออ่านแล้วคงสะดุดใจสักเล็กน้อย ว่าทำไมคุ้นๆ ผมก็คุ้นครับ โดยหลังจากนึกไปนึกมาก็นึกขึ้นได้ว่า ชื่อ Bamiyan นี้โด่งดังมากเมื่อ ปี 2544 เนื่องจากผู้นำรัฐบาลตอลิบันที่ปกครองอัฟกานิสถานอยู่ในขณะนั้นสั่งให้ทหารใช้อาวุธหนัก ทำลายพระพุทธรูปยืน 2 องค์ ที่สูงถึง 36 และ 53 เมตร อันเป็นสัญลักษณ์ของ Bamiyan เสีย โดยการกระทำดังกล่าวนั้นถูกคัดค้านจากชาวพุทธ และผู้คนทั่วโลก แต่สุดท้ายก็รั้งเอาไว้ไม่อยู่
กลับมาถึง ถ้ำหินสลักหยุนกัง ที่ ต้าถง กันต่อ
ถ้ำหินสลักหยุนกัง ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ในสมัยเป่ยเว่ย ราวปี ค.ศ.460 จนถึงราวปี ค.ศ.520-524 รวมระยะเวลาทั้งหมดราว 64 ปี ซึ่งก็หมายความว่า ถึงปัจจุบันถ้ำหินสลักแห่งนี้มีอายุมากกว่า 1,500 ปี เข้าไปแล้ว เคยมีฐานะเป็นวัดอันมีชื่อว่า วัดหลิงแหยน (灵严寺)
ไม่เพียงแต่ความเก่าครับ เมื่อเข้าไปเห็น ตัวจริงเสียงจริง แล้ว ผมต้องตะลึง เหมือนโดนคาถา "ณ จังงัง" เข้าเต็มรัก เพราะ ความอลังการของถ้ำหินสลักอันได้ชื่อว่า เป็นมรดกทางศาสนาอันตีมูลค่ามิได้ของชาวพุทธ และชาวโลกนั้นมันมากเกินกว่าคำบรรยายจริงๆ
ยิ่งเมื่อได้เดินสำรวจ 'ถ้ำหินสลักหยุนกัง' แล้ว "พุทธศาสนิกชน" และ "พุทธมามกะ สมัย ป.4" ที่ห่างไกลศาสนาอย่างผมก็ต้องรู้สึก 'ละอาย' อยู่ในใจลึกๆ ละอายในความตั้งใจ ความเพียรพยายาม และความศรัทธาของผู้คนในสมัยโบราณ
ในการสร้างงานพุทธศิลป์เหล่านี้ พวกเขาไม่มีรถตัก เครื่องเจาะไฟฟ้า หรือเครื่องมืออำนวยความสะดวกทั้งหลายที่เราๆ มีกันอยู่ในปัจจุบัน แต่พวกเขามีสิ่งที่สำคัญกว่า คือ "ใจ"
หมายเหตุ :
* "เมี่ยน (面)" ในที่นี้ขอเรียกรวมๆ ถึง อาหารที่ทำจากข้าวสาลีและมีรูปลักษณ์เป็นเส้น ไม่ว่าจะเป็น เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ เส้นบะหมี่ เส้นก๋วยจั๊บ เส้นกลม เส้นแบน ทั้งน้ำใส น้ำข้น น้ำขลุกขลิก และแห้งนะครับ บางคนอาจแย้งว่า น่าจะแปลว่า แป้งหมี่ เส้นหมี่หรือบะหมี่มากกว่า แต่ผมเห็นว่า ถ้าแปลว่าเป็น "แป้งหมี่หรือเส้นหมี่" (ตามอย่างพจนานุกรมหลายฉบับ) จะเป็นการจำกัดความหมายของคำว่า "เมี่ยน" มากเกินไป เพราะเมี่ยนมีหลายแบบ อย่างเช่น เตาเซียวเมี่ยน ในเรื่องนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ส่วน "บะหมี่" คนไทยจะมีความรู้สึกเพียงว่าเป็นอาหารประเภทเส้นที่มี "ไข่" เป็นส่วนผสมด้วย
**อ้างอิงจาก หนังสือจงกั๋วหลี่ว์โหยวตี้หลี่ (中国旅游地理) ปี ค.ศ. 2003 โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแร่ธาตุจีน
ไม่บอกก็ไม่รู้ เพราะกินไปเกือบหมดชามแล้วก็เพิ่งทราบว่า ของดีของ 'ซานซี' อีกอย่างหนึ่งนั้นก็ คือ อาหารเส้นๆ ที่แพร่หลายไปทั่วโลกนั่นเอง เพราะแม้แต่ สปาเกตตี้ของอิตาลีอันโด่งดัง นักประวัติศาสตร์จำนวนมากก็เชื่อว่า อิตาลีไปเอาอย่างมาจากจีน
คนจีนมีคำกล่าวอยู่ว่า "世界面食在中国,中国面食在山西" เรียบเรียงเป็นไทยแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ "หากชาวโลกกล่าวถึงก๋วยเตี๋ยวก็ต้องคิดถึงจีน และหากชาวจีนกล่าวถึงก๋วยเตี๋ยวก็ต้องนึกถึงซานซี"
ไม่ว่าเดี๋ยวนี้คนบ้านอื่นเมืองอื่นจะคิดค้นและทำ ก๋วยเตี๋ยวได้เอร็ดอร่อยไปกว่าคนจีนแล้วอย่างที่หลายคนว่า (เพราะผมก็ว่ากับเขาด้วยเหมือนกัน) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า 'บ้านเกิด' ของก๋วยเตี๋ยวยังไงก็ต้องเป็น 'จีน' อยู่วันยังค่ำ
มีคนเล่าว่า ซานซี กับ ก๋วยเตี๋ยว นั้นอยู่คู่กันมาตั้ง 2,000 กว่าปีแล้ว โดยประเภทของก๋วยเตี๋ยวที่ยังหลงเหลือก็แพร่หลายกระจายออกไปสร้างความนิยมอยู่ทั่วเมืองจีน
ทั้งนี้ ก๋วยเตี๋ยว ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของซานซี นั้นมีชื่อเรียกว่า "เตาเซียวเมี่ยน (刀削面)" หรือที่ผมเรียกเล่นๆ ส่วนตัวว่า "เตี๋ยวมีดบิน"
เตาเซียวเมี่ยน นั้นมีจุดเด่นอยู่ตรงที่วิธีการทำครับ ปกติหลายคนอาจเห็นวิธีการทำบะหมี่ของชาวจีนว่า เป็นแบบเอาก้อนแป้งมานวดไปนวดมา ม้วนแล้วดึงเป็นเส้นให้ยาวๆ นำมาทบกันไปทบกันมา แต่วิธีการทำของเตาเซียวเมี่ยนไม่เหมือนกันครับ เขาไม่เสียเวลายืดแป้งให้ยืดยาดครับ เพราะเขาเอาก้อนแป้งที่นวดเสร็จแล้วมา 'เจื๋อน' ลงหม้อกันเห็นๆ ครับ ซึ่งถ้าหากพ่อครัวมีฝีมือหน่อย ความรวดเร็วของการใช้มีดก็จะทำให้คล้ายๆ แป้งบินลงไปในหม้อ และไอ้ความแปลกตรงวิธีการทำนี้เองที่บางคนก็เรียก เตาเซียวเมี่ยนเล่นๆ ว่า "เตาเซียวเมี่ยนบิน หรือ 飞刀削面"
พูดกันอย่างนี้แล้วทำเอาผมนึกไปถึง พี่ลี้คิมฮวง จากฤทธิ์มีดสั้น พระเอกในดวงใจของผมและใครหลายๆ คน
ถามผมว่ารูปลักษณ์ของเตาเซียวเมี่ยนเป็นอย่างไร? คำตอบอาจจะยากอยู่เพราะ เส้นของเตาเซียวเมี่ยน เป็นเส้นแบนๆ หนาเล็กน้อย ยาวประมาณ 1-2 นิ้ว อยู่ในน้ำซุปขลุกขลิก เส้นก็จะนุ่มๆ ลิ้น ไม่ค่อยเหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยวหรือเส้นบะหมี่สักเท่าไหร่ ส่วนน้ำซุปนั้นจะเป็นน้ำซุปข้นๆ เหนียวประมาณราดหน้า โดยมากแล้วจะมีส่วนผสมของมะเขือเทศเป็นหลัก ส่วนรสชาติก็จะเปรี้ยวนิดๆ เค็มหน่อยๆ
เปรี้ยวนิดๆ นี่จากมะเขือเทศ ส่วน เค็มหน่อยๆ นั้นสงสัยมาจากมือคนทำ ..... : )
เอาเป็นว่าใครอยากกิน "เตาเซียวเมี่ยน" ก็ลงทุนบินมาลองกินเอาเองนะครับ ผมคิดว่ามีทุกที่ในเมืองจีน ส่วนใครเคยกินแล้วมีความเห็นอย่างไรก็เชิญแสดงความเห็นกันตามสะดวก
หลังจากฟาด "เมี่ยน" ลงท้อง เสียเวลาย่อยเล็กน้อย สองขาก็มีแรงเดินต่อ ....
จุดหมายถัดไปของผมตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เพราะห่างจากตัวเมืองต้าถงเพียง 16 กิโลเมตร มีความสำคัญสำหรับชาวพุทธ และมีชื่อติดอยู่ในทำเนียบ มรดกโลกทางวัฒนธรรม (World Cultural Heritage:世界文化遗产) ด้วย
สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า "ถ้ำหินสลักหยุนกัง (Cloud Ridge Caves:云冈石窟)"
การก่อสร้างถ้ำหินอันมีพระพุทธรูปสลักอยู่ภายในที่อยู่ในจีนนั้นได้รับอิทธิพลมาจาก อินเดียแหล่งกำเนิดของพุทธศาสนา ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น (ก่อนคริสตกาล 206 ปี ถึง ค.ศ.220) และต่อเนื่องเรื่อยมาตั้งแต่สมัย เป่ยเว่ย สุย จนถึงถัง ที่มีการก่อสร้างกันมากที่สุด
ทั้งนี้ปัจจุบันในประเทศจีนนั้นแม้จะมี ถ้ำหินสลัก (สือคู:石窟) อยู่นับเป็นพันๆ แห่ง แต่ก็มีถ้ำหินสลักที่ได้ชื่อว่า เป็นที่สุด 4 แห่ง** (หนังสือบางเล่มอาจระบุว่ามี 3 แห่งโดยตัด 'ไม่จีซาน' ออกไป) ประกอบด้วย
1.ถ้ำหินสลักโม่เกา (莫高石窟) แห่งตุนหวง (敦煌) มณฑลกานซู่
2.ถ้ำหินสลักหลงเหมิน (龙门石窟) แห่งลั่วหยาง (洛阳) มณฑลเหอหนาน
3.ถ้ำหินสลักหยุนกัง (云冈石窟) แห่งต้าถง (大同) มณฑลซานซี
และ 4.ถ้ำหินสลักไม่จีซาน (麦积山石窟) แห่งเทียนสุ่ย (天水) มณฑลกานซู่
นอกจากที่สุดของ ถ้ำหินสลัก ทั้ง 4 แห่งที่อยู่ในประเทศจีนแล้ว ยังมีถ้ำหินสลักอีกสองแห่งที่ถือว่าเป็นที่สุดในโลก ท่านผู้อ่านหลายท่านคงรู้จัก หรืออย่างน้อยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง ก็คือ ถ้ำ Ajanta แห่งประเทศอินเดีย และ ถ้ำ Bamiyan แห่งอัฟกานิสถาน
สำหรับชื่อถ้ำ Bamiyan แห่งอัฟกานิสถานนั้นหลายคนเมื่ออ่านแล้วคงสะดุดใจสักเล็กน้อย ว่าทำไมคุ้นๆ ผมก็คุ้นครับ โดยหลังจากนึกไปนึกมาก็นึกขึ้นได้ว่า ชื่อ Bamiyan นี้โด่งดังมากเมื่อ ปี 2544 เนื่องจากผู้นำรัฐบาลตอลิบันที่ปกครองอัฟกานิสถานอยู่ในขณะนั้นสั่งให้ทหารใช้อาวุธหนัก ทำลายพระพุทธรูปยืน 2 องค์ ที่สูงถึง 36 และ 53 เมตร อันเป็นสัญลักษณ์ของ Bamiyan เสีย โดยการกระทำดังกล่าวนั้นถูกคัดค้านจากชาวพุทธ และผู้คนทั่วโลก แต่สุดท้ายก็รั้งเอาไว้ไม่อยู่
กลับมาถึง ถ้ำหินสลักหยุนกัง ที่ ต้าถง กันต่อ
ถ้ำหินสลักหยุนกัง ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ในสมัยเป่ยเว่ย ราวปี ค.ศ.460 จนถึงราวปี ค.ศ.520-524 รวมระยะเวลาทั้งหมดราว 64 ปี ซึ่งก็หมายความว่า ถึงปัจจุบันถ้ำหินสลักแห่งนี้มีอายุมากกว่า 1,500 ปี เข้าไปแล้ว เคยมีฐานะเป็นวัดอันมีชื่อว่า วัดหลิงแหยน (灵严寺)
ไม่เพียงแต่ความเก่าครับ เมื่อเข้าไปเห็น ตัวจริงเสียงจริง แล้ว ผมต้องตะลึง เหมือนโดนคาถา "ณ จังงัง" เข้าเต็มรัก เพราะ ความอลังการของถ้ำหินสลักอันได้ชื่อว่า เป็นมรดกทางศาสนาอันตีมูลค่ามิได้ของชาวพุทธ และชาวโลกนั้นมันมากเกินกว่าคำบรรยายจริงๆ
ยิ่งเมื่อได้เดินสำรวจ 'ถ้ำหินสลักหยุนกัง' แล้ว "พุทธศาสนิกชน" และ "พุทธมามกะ สมัย ป.4" ที่ห่างไกลศาสนาอย่างผมก็ต้องรู้สึก 'ละอาย' อยู่ในใจลึกๆ ละอายในความตั้งใจ ความเพียรพยายาม และความศรัทธาของผู้คนในสมัยโบราณ
ในการสร้างงานพุทธศิลป์เหล่านี้ พวกเขาไม่มีรถตัก เครื่องเจาะไฟฟ้า หรือเครื่องมืออำนวยความสะดวกทั้งหลายที่เราๆ มีกันอยู่ในปัจจุบัน แต่พวกเขามีสิ่งที่สำคัญกว่า คือ "ใจ"
หมายเหตุ :
* "เมี่ยน (面)" ในที่นี้ขอเรียกรวมๆ ถึง อาหารที่ทำจากข้าวสาลีและมีรูปลักษณ์เป็นเส้น ไม่ว่าจะเป็น เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ เส้นบะหมี่ เส้นก๋วยจั๊บ เส้นกลม เส้นแบน ทั้งน้ำใส น้ำข้น น้ำขลุกขลิก และแห้งนะครับ บางคนอาจแย้งว่า น่าจะแปลว่า แป้งหมี่ เส้นหมี่หรือบะหมี่มากกว่า แต่ผมเห็นว่า ถ้าแปลว่าเป็น "แป้งหมี่หรือเส้นหมี่" (ตามอย่างพจนานุกรมหลายฉบับ) จะเป็นการจำกัดความหมายของคำว่า "เมี่ยน" มากเกินไป เพราะเมี่ยนมีหลายแบบ อย่างเช่น เตาเซียวเมี่ยน ในเรื่องนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ส่วน "บะหมี่" คนไทยจะมีความรู้สึกเพียงว่าเป็นอาหารประเภทเส้นที่มี "ไข่" เป็นส่วนผสมด้วย
**อ้างอิงจาก หนังสือจงกั๋วหลี่ว์โหยวตี้หลี่ (中国旅游地理) ปี ค.ศ. 2003 โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแร่ธาตุจีน