ชีวิตคนเมืองจีน / เช่นเดียวกับทุกปีที่ผ่านมา ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจะเป็นช่วงเวลาที่บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศจีนเตรียมตัวเตรียมใจอำลาสถานศึกษาอันเป็นที่รักของพวกเขา ที่ซึ่งเป็นมากกว่าที่ศึกษาหาความรู้ ที่ซึ่งนำพาชีวิตของพวกเขา ให้ได้พบกับเรื่องราวมากมาย ที่ซึ่งพวกเขาจะจดจำไปชั่วชีวิต ก่อนจะออกไปเผชิญโลกด้วยสติปัญญาและความสามารถโดยลำพัง แน่นอนว่าทุกคนคงอดที่จะอาลัยอาวรณ์กับบรรยากาศเก่าๆที่คุ้นเคยไม่ได้ แต่อาจด้วยความกังวลต่อสิ่งที่ต้องพบเจอต่อไปในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ทำให้บรรยากาศการอำลาของนักศึกษาแดนมังกรในปีนี้ดูจะเงียบเหงากว่าที่ผ่านมา…

ความรู้สึกของบรรดาอาจารย์จากรั้วมหาวิทยาลัยหลายแห่งต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บรรยากาศ ‘งานรับปริญญา’ ของเหล่าบัณฑิตใหม่ดูจะเงียบเหงาไปมาก สนามหญ้าหน้ามหาวิทยาลัยในเดือนมิถุนายน ที่เคยคราคร่ำด้วยบรรดาบัณฑิตใหม่หลายต่อหลายรุ่นที่ต่างพากันมาร่ำลาเพื่อนฝูงและสถาบัน มาในปีนี้บรรยากาศเก่าๆแบบนั้นดูจะจืดจางลงไป
บรรยากาศเงียบเหงา ไม่เหมือนเคย
นักศึกษาที่กำลังจะจบจากคณะภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยหนันไค ในเทียนจินคนหนึ่ง กล่าวว่า “เหลือเวลาอีกเพียง 2-3 วัน ก็ต้องจากมหาวิทยาลัยแล้ว แต่บรรดาเพื่อนฝูงยังคงดูเงียบเฉยกันมาก ต่างคนต่างทำกิจวัตรตามปกติของตัวเอง ดูไม่เหมือนว่ากำลังจะจากกันอยู่ในไม่กี่วันนี้แล้ว”
“สมัยนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน พวกเราพอสอบเข้าเรียนได้ก็ต้องเจอกับแรงกดดันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการหางานทำ ไปเรียนต่อต่างประเทศ หรือเตรียมสอบปริญญาโท บรรดาเพื่อนร่วมชั้น ปกติก็ไม่มีเวลาว่างให้กันและกันอยู่แล้ว ต่างคนต่างก็ยุ่ง จนไม่มีเวลาคบหาสมาคมกับใคร เลยค่อนข้างห่างเหิน”
เขาเล่าว่า เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขาหลายคนเริ่มหางานพิเศษทำนอกเวลาตั้งแต่สมัยอยู่ปีหนึ่งแล้ว เป็นล่ามบ้าง รับทำรายงานบ้าง สอนหนังสือเด็กตามบ้านหรือแม้แต่ทำงานขายประกัน ซึ่งก็ทำให้ไม่มีเวลาว่างมากนัก
สำหรับเรื่องบรรยากาศการจบการศึกษาที่ไม่ค่อยจะคึกคักเหมือนที่เคยเป็นมา อาจารย์เผิงเสียจากมหาวิทยาลัยอุตสาหกรรมในเทียนจินเห็นว่า เรื่องนี้มีเหตุเกี่ยวเนื่องกับลักษณะการทำงานที่หลากหลาย
เมื่อก่อนไม่ว่าบัณฑิตจะเต็มใจหรือไม่ ก่อนจบการศึกษาต่างก็จะได้รับทราบถึงตำแหน่งงานในหน้าที่ที่ตนจะได้ทำเมื่อจบการศึกษาแล้ว แต่ปัจจุบัน นักศึกษามีสิทธิวางแผนชีวิตหลังจบการศึกษาเองหรือแม้แต่หางานทำด้วยตัวเองตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย แต่อนาคตของบัณฑิตจบใหม่ก็ไม่แน่นอน มีบ้างที่จะยังคงอยู่ในโรงเรียนต่อไปอีกชั่วระยะหนึ่ง ดังนั้นความรู้สึกที่ต้องจากกันจึงค่อนข้างจะเบาบางกว่า
นอกจากนี้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็มีส่วนทำให้บรรยากาศการอำลาลดดีกรีความเข้มข้นลงไป นักศึกษาที่กำลังจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทียนจินในปีนี้คนหนี่งกล่าวว่า “ ตอนนี้มีการเปิดหน้าเว็บไซต์ของรุ่นเราแล้ว เพื่อนๆที่จบการศึกษาแล้ว จะยังคงสามารถมาพบปะพูดคุยกันบนอินเตอร์เน็ตได้ทุกเมื่อ”

รู้สึกกดดัน และไม่มั่นใจในอนาคต
จูตันผิงจากคณะภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยหนันไคกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “มันเป็นบรรยากาศความเงียบเหงาที่เศร้าและหนักอึ้ง”
จูเล่าว่า "ตอนแรกก็รู้สึกประหลาดใจที่บรรยากาศการลาจากโรงเรียนกลับเงียบสงบผิดสังเกต แต่ต่อมาก็เข้าใจว่า นี่เป็นผลพวงมาจากแรงกดดันของการที่จะต้องออกไปเผชิญกับการใช้ชีวิตภายนอกรั้วมหาวิทยาลัยนั่นเอง"
“ พวกเราจบการศึกษาในช่วงเวลาที่หางานยาก แต่ละคนกว่าจะได้งานต่างก็ต้องผ่านความล้มเหลวในการหางานกันมาหลายครั้ง ความรู้สึกที่มีร่วมกันก็คือ ความจริงของชีวิต ขณะที่นักศึกษาที่ได้งานแล้ว ก็ไม่ค่อยพอใจต่อรายได้ที่ตนจะได้รับจากการทำงาน แต่ว่าพวกเรายังต้องผ่านการทำงานสร้างอนาคตฐานะ ซึ่งก็ล้วนต้องใช้เงินทองจำนวนมาก ความตึงเครียดจากภาระค่าใช้จ่าย ล้วนเป็นสิ่งซึ่งก่อนหน้านี้ พวกเราอาจไม่เคยได้รับรู้เลย
ส่วนเพื่อนนักเรียนที่คิดจะเรียนต่อในระดับปริญญาโทนั้น ก็ยังไม่อาจยืนหยัดได้ด้วยตนเอง พวกที่ต้องเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศยิ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากยิ่งกว่า ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน หรือสภาพจิตใจ”

นศ.สมัยนี้ไม่สนิทกันอย่างสมัยก่อน
นอกจากนี้ อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บรรยากาศการจบการศึกษาปีนี้เงียบเหงา ก็น่าจะมาจาก ความสัมพันธ์ของนักศึกษาในสมัยปัจจุบัน ไม่สนิทสนมคุ้นเคยกันดังเช่นในอดีต
อาจารย์หวังเฟิ่งกรรมการบริหารกลุ่มกิจกรรมของมหาวิทยาลัยหนันไค กล่าวว่า เด็กยุคทศวรรษที่ 80 ดูจะมีวิธีการแสดงออกที่แตกต่างจากเด็กในสมัยก่อน เปลือกนอกดูร่าเริงเปิดเผย เต็มไปด้วยมิตรไมตรี แต่แท้ที่จริงกลับปิดตัวเอง ไม่ชอบเปิดเผยความในใจกับคนอื่น การติดต่อสื่อสารก็ขาดความตรงไปตรงมา
นอกจากนี้ เด็กสมัยนี้ ยังต้องเจอกับโรคที่คนในปัจจุบันเป็นกันอยู่ นั่นคือการพึ่งพาคอมพิวเตอร์มากเกินไป พอมีคอมพิวเตอร์แล้วก็เหมือนมีทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่เพื่อนสนิทยังเป็นเพื่อนทางอินเตอร์เน็ต
หูจื้อกัง เลขาธิการคณะกรรมการบริหารวิทยาลัยเฉิงเจี้ยนกล่าวว่า นี่เป็นผลของการที่นักศึกษาคาดหวังต่อผลประโยชน์มากเกินไป คำนึงถึงแต่ตัวเองมากกว่าส่วนรวม ถือเอาอารมณ์ความรู้สึกส่วนตนมาก่อนความรู้สึกส่วนรวม
นักศึกษาปีที่4 บางส่วนมัวแต่ห่วงใยชีวิตในอนาคตของตัวเอง เป็นเหตุให้ไม่อาจใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในสังคมได้ ซึ่งก็ไม่ได้ปรากฏแต่เฉพาะเมื่อจบการศึกษาเท่านั้น แม้แต่ในชีวิตประจำวันก็จะพบเห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี นักศึกษาหญิงจากมหาวิทยาลัยอู่ฮั่นคนหนึ่งกลับมีความเห็นที่ต่างออกไป เธอกล่าวว่า นักศึกษาที่ถือตนเองเป็นใหญ่ก็มีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เธอก็ยอมรับว่า นักศึกษาส่วนใหญ่จะคบหาสนิทสนมกันก็แต่เฉพาะในกลุ่มของตน เมื่อจะแยกย้ายกันไป เพื่อนที่สนิทชิดเชื้อมากก็อาลัยอาวรณ์ ไม่อยากจากกัน แต่กับกลุ่มเพื่อนทั้งรุ่นกลับไม่ค่อยจะมีความรู้สึกร่วมกันสักเท่าไหร่
ความรู้สึกต่างๆ ที่ประสมประเสปนเปบวกกับสภาพความเป็นจริงที่ต้องพบเจอ ไม่ว่า การดิ้นรนในการหางานทำ ค่าแรงงานที่ต่ำ การที่ต้องพึ่งพาตนเอง การสอบแข่งขันเพื่อให้ได้ทุนต่างๆเหล่านี้ ล้วนแต่สร้างความกดดันให้กับนักศึกษาที่กำลังจะก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยต้องรู้สึกหนาวๆร้อนๆ และคิดถึงแต่สิ่งที่ต้องทำเพื่ออนาคตของตนเอง บรรยากาศที่เคยคึกคักในช่วงเดือนแห่งการอำลา จึงเงียบเหงาผิดกับที่ผ่านมา

อนึ่ง บัณฑิตจบใหม่ที่จะออกสู่ตลาดแรงงานในปี 2004 นี้ มีกว่า 2.8 ล้านคน จากข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการจีนคาดการณ์ว่า ในเดือนกันยายนปีนี้ จะมีบัณฑิตมหาวิทยาลัยที่ได้งานทำมากกว่า 70% ซึ่งหมายความว่า จะต้องมีเด็กจบใหม่อย่างน้อย 800,000 รายตกงาน
และจากการสำรวจของมหาวิทยาลัยปักกิ่งในปี 2003 ระบุว่า อัตราเฉลี่ยของเงินเดือนบัณฑิตใหม่จากมหาวิทยาลัยจีน อยู่ที่ 1,550.7 หยวน (ราว 7,750 บาท ) แต่อัตราเงินเดือนเฉลี่ยในปีนี้ ได้ทำให้บรรดานักศึกษาจบใหม่ยิ่งเศร้าใจไปอีก เมื่อผลการสำรวจออกมาว่า ลดลงไปอีก 14.7% เหลือเพียงประมาณ 1,300 หยวน ( ราว 6,500 บาท) ยกเว้นในสาขาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ
แม้ว่าอัตราเงินเดือนโดยเฉลี่ยของนักศึกษาจบใหม่จะลดลง แต่ก็ยังไม่สามารถจูงใจนายจ้างได้เท่าที่ควร ทั้งนี้ ข้อมูลจากไท่เหอ เอนเตอร์ไพรส์ระบุว่าปัจจุบันนายจ้างนิยมจ้างผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า เพราะไม่ต้องการลงทุนลงแรงฝึกเด็กใหม่
เรียบเรียงจาก ซินหัวเน็ต
ความรู้สึกของบรรดาอาจารย์จากรั้วมหาวิทยาลัยหลายแห่งต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บรรยากาศ ‘งานรับปริญญา’ ของเหล่าบัณฑิตใหม่ดูจะเงียบเหงาไปมาก สนามหญ้าหน้ามหาวิทยาลัยในเดือนมิถุนายน ที่เคยคราคร่ำด้วยบรรดาบัณฑิตใหม่หลายต่อหลายรุ่นที่ต่างพากันมาร่ำลาเพื่อนฝูงและสถาบัน มาในปีนี้บรรยากาศเก่าๆแบบนั้นดูจะจืดจางลงไป
บรรยากาศเงียบเหงา ไม่เหมือนเคย
นักศึกษาที่กำลังจะจบจากคณะภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยหนันไค ในเทียนจินคนหนึ่ง กล่าวว่า “เหลือเวลาอีกเพียง 2-3 วัน ก็ต้องจากมหาวิทยาลัยแล้ว แต่บรรดาเพื่อนฝูงยังคงดูเงียบเฉยกันมาก ต่างคนต่างทำกิจวัตรตามปกติของตัวเอง ดูไม่เหมือนว่ากำลังจะจากกันอยู่ในไม่กี่วันนี้แล้ว”
“สมัยนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน พวกเราพอสอบเข้าเรียนได้ก็ต้องเจอกับแรงกดดันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการหางานทำ ไปเรียนต่อต่างประเทศ หรือเตรียมสอบปริญญาโท บรรดาเพื่อนร่วมชั้น ปกติก็ไม่มีเวลาว่างให้กันและกันอยู่แล้ว ต่างคนต่างก็ยุ่ง จนไม่มีเวลาคบหาสมาคมกับใคร เลยค่อนข้างห่างเหิน”
เขาเล่าว่า เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขาหลายคนเริ่มหางานพิเศษทำนอกเวลาตั้งแต่สมัยอยู่ปีหนึ่งแล้ว เป็นล่ามบ้าง รับทำรายงานบ้าง สอนหนังสือเด็กตามบ้านหรือแม้แต่ทำงานขายประกัน ซึ่งก็ทำให้ไม่มีเวลาว่างมากนัก
สำหรับเรื่องบรรยากาศการจบการศึกษาที่ไม่ค่อยจะคึกคักเหมือนที่เคยเป็นมา อาจารย์เผิงเสียจากมหาวิทยาลัยอุตสาหกรรมในเทียนจินเห็นว่า เรื่องนี้มีเหตุเกี่ยวเนื่องกับลักษณะการทำงานที่หลากหลาย
เมื่อก่อนไม่ว่าบัณฑิตจะเต็มใจหรือไม่ ก่อนจบการศึกษาต่างก็จะได้รับทราบถึงตำแหน่งงานในหน้าที่ที่ตนจะได้ทำเมื่อจบการศึกษาแล้ว แต่ปัจจุบัน นักศึกษามีสิทธิวางแผนชีวิตหลังจบการศึกษาเองหรือแม้แต่หางานทำด้วยตัวเองตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย แต่อนาคตของบัณฑิตจบใหม่ก็ไม่แน่นอน มีบ้างที่จะยังคงอยู่ในโรงเรียนต่อไปอีกชั่วระยะหนึ่ง ดังนั้นความรู้สึกที่ต้องจากกันจึงค่อนข้างจะเบาบางกว่า
นอกจากนี้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็มีส่วนทำให้บรรยากาศการอำลาลดดีกรีความเข้มข้นลงไป นักศึกษาที่กำลังจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทียนจินในปีนี้คนหนี่งกล่าวว่า “ ตอนนี้มีการเปิดหน้าเว็บไซต์ของรุ่นเราแล้ว เพื่อนๆที่จบการศึกษาแล้ว จะยังคงสามารถมาพบปะพูดคุยกันบนอินเตอร์เน็ตได้ทุกเมื่อ”
รู้สึกกดดัน และไม่มั่นใจในอนาคต
จูตันผิงจากคณะภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยหนันไคกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “มันเป็นบรรยากาศความเงียบเหงาที่เศร้าและหนักอึ้ง”
จูเล่าว่า "ตอนแรกก็รู้สึกประหลาดใจที่บรรยากาศการลาจากโรงเรียนกลับเงียบสงบผิดสังเกต แต่ต่อมาก็เข้าใจว่า นี่เป็นผลพวงมาจากแรงกดดันของการที่จะต้องออกไปเผชิญกับการใช้ชีวิตภายนอกรั้วมหาวิทยาลัยนั่นเอง"
“ พวกเราจบการศึกษาในช่วงเวลาที่หางานยาก แต่ละคนกว่าจะได้งานต่างก็ต้องผ่านความล้มเหลวในการหางานกันมาหลายครั้ง ความรู้สึกที่มีร่วมกันก็คือ ความจริงของชีวิต ขณะที่นักศึกษาที่ได้งานแล้ว ก็ไม่ค่อยพอใจต่อรายได้ที่ตนจะได้รับจากการทำงาน แต่ว่าพวกเรายังต้องผ่านการทำงานสร้างอนาคตฐานะ ซึ่งก็ล้วนต้องใช้เงินทองจำนวนมาก ความตึงเครียดจากภาระค่าใช้จ่าย ล้วนเป็นสิ่งซึ่งก่อนหน้านี้ พวกเราอาจไม่เคยได้รับรู้เลย
ส่วนเพื่อนนักเรียนที่คิดจะเรียนต่อในระดับปริญญาโทนั้น ก็ยังไม่อาจยืนหยัดได้ด้วยตนเอง พวกที่ต้องเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศยิ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากยิ่งกว่า ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน หรือสภาพจิตใจ”
นศ.สมัยนี้ไม่สนิทกันอย่างสมัยก่อน
นอกจากนี้ อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บรรยากาศการจบการศึกษาปีนี้เงียบเหงา ก็น่าจะมาจาก ความสัมพันธ์ของนักศึกษาในสมัยปัจจุบัน ไม่สนิทสนมคุ้นเคยกันดังเช่นในอดีต
อาจารย์หวังเฟิ่งกรรมการบริหารกลุ่มกิจกรรมของมหาวิทยาลัยหนันไค กล่าวว่า เด็กยุคทศวรรษที่ 80 ดูจะมีวิธีการแสดงออกที่แตกต่างจากเด็กในสมัยก่อน เปลือกนอกดูร่าเริงเปิดเผย เต็มไปด้วยมิตรไมตรี แต่แท้ที่จริงกลับปิดตัวเอง ไม่ชอบเปิดเผยความในใจกับคนอื่น การติดต่อสื่อสารก็ขาดความตรงไปตรงมา
นอกจากนี้ เด็กสมัยนี้ ยังต้องเจอกับโรคที่คนในปัจจุบันเป็นกันอยู่ นั่นคือการพึ่งพาคอมพิวเตอร์มากเกินไป พอมีคอมพิวเตอร์แล้วก็เหมือนมีทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่เพื่อนสนิทยังเป็นเพื่อนทางอินเตอร์เน็ต
หูจื้อกัง เลขาธิการคณะกรรมการบริหารวิทยาลัยเฉิงเจี้ยนกล่าวว่า นี่เป็นผลของการที่นักศึกษาคาดหวังต่อผลประโยชน์มากเกินไป คำนึงถึงแต่ตัวเองมากกว่าส่วนรวม ถือเอาอารมณ์ความรู้สึกส่วนตนมาก่อนความรู้สึกส่วนรวม
นักศึกษาปีที่4 บางส่วนมัวแต่ห่วงใยชีวิตในอนาคตของตัวเอง เป็นเหตุให้ไม่อาจใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในสังคมได้ ซึ่งก็ไม่ได้ปรากฏแต่เฉพาะเมื่อจบการศึกษาเท่านั้น แม้แต่ในชีวิตประจำวันก็จะพบเห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี นักศึกษาหญิงจากมหาวิทยาลัยอู่ฮั่นคนหนึ่งกลับมีความเห็นที่ต่างออกไป เธอกล่าวว่า นักศึกษาที่ถือตนเองเป็นใหญ่ก็มีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เธอก็ยอมรับว่า นักศึกษาส่วนใหญ่จะคบหาสนิทสนมกันก็แต่เฉพาะในกลุ่มของตน เมื่อจะแยกย้ายกันไป เพื่อนที่สนิทชิดเชื้อมากก็อาลัยอาวรณ์ ไม่อยากจากกัน แต่กับกลุ่มเพื่อนทั้งรุ่นกลับไม่ค่อยจะมีความรู้สึกร่วมกันสักเท่าไหร่
ความรู้สึกต่างๆ ที่ประสมประเสปนเปบวกกับสภาพความเป็นจริงที่ต้องพบเจอ ไม่ว่า การดิ้นรนในการหางานทำ ค่าแรงงานที่ต่ำ การที่ต้องพึ่งพาตนเอง การสอบแข่งขันเพื่อให้ได้ทุนต่างๆเหล่านี้ ล้วนแต่สร้างความกดดันให้กับนักศึกษาที่กำลังจะก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยต้องรู้สึกหนาวๆร้อนๆ และคิดถึงแต่สิ่งที่ต้องทำเพื่ออนาคตของตนเอง บรรยากาศที่เคยคึกคักในช่วงเดือนแห่งการอำลา จึงเงียบเหงาผิดกับที่ผ่านมา
อนึ่ง บัณฑิตจบใหม่ที่จะออกสู่ตลาดแรงงานในปี 2004 นี้ มีกว่า 2.8 ล้านคน จากข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการจีนคาดการณ์ว่า ในเดือนกันยายนปีนี้ จะมีบัณฑิตมหาวิทยาลัยที่ได้งานทำมากกว่า 70% ซึ่งหมายความว่า จะต้องมีเด็กจบใหม่อย่างน้อย 800,000 รายตกงาน
และจากการสำรวจของมหาวิทยาลัยปักกิ่งในปี 2003 ระบุว่า อัตราเฉลี่ยของเงินเดือนบัณฑิตใหม่จากมหาวิทยาลัยจีน อยู่ที่ 1,550.7 หยวน (ราว 7,750 บาท ) แต่อัตราเงินเดือนเฉลี่ยในปีนี้ ได้ทำให้บรรดานักศึกษาจบใหม่ยิ่งเศร้าใจไปอีก เมื่อผลการสำรวจออกมาว่า ลดลงไปอีก 14.7% เหลือเพียงประมาณ 1,300 หยวน ( ราว 6,500 บาท) ยกเว้นในสาขาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ
แม้ว่าอัตราเงินเดือนโดยเฉลี่ยของนักศึกษาจบใหม่จะลดลง แต่ก็ยังไม่สามารถจูงใจนายจ้างได้เท่าที่ควร ทั้งนี้ ข้อมูลจากไท่เหอ เอนเตอร์ไพรส์ระบุว่าปัจจุบันนายจ้างนิยมจ้างผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า เพราะไม่ต้องการลงทุนลงแรงฝึกเด็กใหม่
เรียบเรียงจาก ซินหัวเน็ต