xs
xsm
sm
md
lg

แท่งหมึก - ความอมตะแห่งศิลปะและประวัติศาสตร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ชีวิตคนเมืองจีน/ คงไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่า การแต่งแต้มหมึกสีดำจากปลายพู่กันลงบนกระดาษสีขาว ด้วยการใช้ความรวดเร็วในการสะบัดปลายพู่กัน ผสมผสานกับจังหวะการลากเส้น และน้ำหนักของการจุ่มหมึก ของภาพเขียนจีนนั้น มีเสน่หาชวนให้หลงใหลไม่รู้จบมานานนับศตวรรษ

หลายคนอาจคิดว่า ‘แท่งหมึก’ไม่มีความหมายอะไร นอกเสียจากเครื่องมือชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการหลอมรวมของน้ำหมึกในสถานะของเหลว ให้อยู่ในสถานะของแข็ง แล้วนำมาฝนกับแท่นฝนหมึกเป็นวงกลมอย่างเชื่องช้า โดยผสมกับน้ำเพียงไม่กี่หยด ก็จะได้น้ำหมึกสีดำบริสุทธิ์ ที่นำมาถ่ายทอดเป็นเส้นสายที่เต็มไปด้วยมนตราในภาพเขียนจีน แต่ความจริงแท่งหมึกจีนมีวิวัฒนาการยาวนานเกือบ 2,000 ปี นับตั้งแต่สมัยฮั่นตะวันออก (ค.ศ.25-220) จนถึงปัจจุบัน

‘ประดิษฐ์กระดาษ’ สร้างโลกงาม
การเขียนตัวอักษรจีนและภาพสัญลักษณ์ด้วยพู่กันและหมึกสีดำ ถูกยกฐานะให้เป็นถึงงานวิจิตรศิลป์ ภายหลังที่มีกระดาษกำเนิดขึ้นมาบนพื้นโลกเมื่อราว ค.ศ.200 และเฟื่องฟูมาก ในสมัยราชวงศ์ซ่ง( ค.ศ.960-1279) โดย โดยเน้นคุณค่าของความเรียบง่ายที่ปราศจากการปรุงแต่ง ความเป็นธรรมชาติ และการแสดงออกซึ่งความเป็นปัจเจกชน ตามแนวคิดของศาสนาพุทธนิกายเซน

เป้าหมายของการเขียนภาพจีนยังได้รับอิทธิพลมาจากความเชื่อของลัทธิเต๋า ซึ่งให้คุณค่ากับ ‘ความธรรมดา’ และมุ่งเน้นที่ความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติ จุดสนใจของภาพที่นำเสนอในภาพเขียนจีน มักเป็นเป็นวัตถุในธรรมชาติ เช่น นก ปลา ดอกไม้ เป็นต้น

คุณจะไม่พบความเป็นสมมาตรในภาพเขียนพู่กันจีน และมันยังเต็มไปด้วยสัดส่วนของพื้นที่ว่างจำนวนมาก แต่นั่นกลับเป็นคำตอบทั้งหมดของปรัชญาและความเป็นศิลปะที่แฝงอยู่ในภาพเขียนจีน....‘ความว่างเปล่า’ท่ามกลางสรรพสิ่งทั้งมวล คือ สิ่งที่ศิลปินต้องการสื่อออกมา....

เปิดบันทึกแท่งหมึก
จนถึงวันนี้ เทคนิคอันซับซ้อนในกระบวนการผลิตแท่งหมึก ยังคงเป็นความลับของช่างฝีมือชาวจีน ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันแต่เพียงว่า วัสดุสำคัญที่นำมาทำหมึกแท่งนั้นคือ เขม่าดำและกาว ซึ่งเขม่าดำที่มีคุณภาพดีที่สุด ได้จากการเผาไหม้น้ำมันพืช

ในอดีตเขม่าดำหรือเขม่าคุณภาพดีที่สุด เกิดจากการเผาต้นสนที่เลือกเฟ้นมาอย่างดีในเตาหลอมหมึก โดยช่างจะนำหม้อดินเผามารมควันโดยกลับไปมาเหนือเตาหลอม เมื่อเกิดเขม่าจับที่หม้อดินเผา ช่างจะใช้ขนแปรงปัดเขม่าที่ติดอยู่ที่หม้อเหล่านี้ แล้วนำมาผสมกับกาว ที่ทำจากเขาสัตว์หรือหนังสัตว์

ตามบันทึกประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงการทำหมึกแท่ง ระบุว่า กาวที่มีคุณสมบัติดีที่สุดได้มาจากเขาของกวางวัยอ่อน เพราะมีความบริสุทธิ์มาก

หลักฐานทางโบราณคดีชิ้นเก่าแก่ ที่พบว่ามีร่องรอยการใช้น้ำหมึกจีนเป็นครั้งแรก อยู่ในสุสานที่ขุดพบในอำเภอหลินทง เขตมณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งคาดว่าเก่าแก่ย้อนไปถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ ในวัฒนธรรมหยั่งเสา(仰韶文化) เมื่อราว 7,000 – 6,000 ปีก่อน โดยนักโบราณคดีขุดพบ ชุดเครื่องมือวาดเขียนที่ใช้หมึก ประกอบด้วย หินที่เชื่อว่าใช้ฝนหมึก และเศษของแท่งหมึกที่แตกหักหลงเหลืออยู่ในสุสานดังกล่าว

บันทึกทางประวัติศาสตร์ยังระบุอีกว่า ในสมัยโบราณหมึกจีนถูกนำไปใช้ในการทำนายอนาคต โดยพวกพ่อมดหมอผี หรือพวกเล่นแร่แปรธาตุ

เมื่อ‘ผู้วิเศษ’ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อทำนายอนาคต ต่อหน้าขุนนางในราชสำนักและสาธารณชนแล้ว จะสลักตัวอักษรและลงหมึกที่กระดองเต่า แล้วนำไปเผาไฟ หลังจากนั้นผู้วิเศษจะพินิจพิเคราะห์รูปร่างและรอยแตกบนกระดองเต่าอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วจึงตีความออกมาเป็นนิมิตหรือลางร้าย อันจะเกี่ยวเนื่องกับข้อความและคำถามใดใดก็ตามที่ถูกหยิบขึ้นมาให้เขาทำนาย

โบราณวัตถุที่มีร่องรอยการใช้น้ำหมึกอีกชิ้นหนึ่ง คือ ‘กระดูกหยั่งรู้อนาคต’จากหลุมขุดค้นเมืองเก่านครยิน หรือนครยิน อดีตศูนย์กลางการเมืองและเศรษฐกิจ ที่ล่มสลายไปเมื่อปลายสมัยราชวงศ์ซาง (1600-1046 ปีก่อนคริสต์ศักราช) และปัจจุบันคือเมืองอันหยัง ในมณฑลเหอหนันทางตอนกลางของประเทศ

นักโบราณคดีพบหมึกดำบนผิวหน้าของกระดูกทำนายอนาคตเหล่านี้ ซึ่งถูกขุดพบเมื่อราว 100 ปีมาแล้ว และคาดว่ามีอายุเก่าแก่ราว 3,000 ปี ผู้เชี่ยวชาญยังพบอีกว่า การแกะสลักตัวอักษรลงบนกระดูกสัตว์หรือกระดองเต่า ด้วยส่วนผสมของหมึกจีนกับเกล็ดหินแดง ช่วยทำให้ตัวอักษรชัดเจนอ่านง่าย

ยังมีคำอธิบายถึงการใช้หมึกเขียนที่หน้านักโทษ ไว้เป็นเครื่องหมายแสดงความอัปยศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลงโทษ กล่าวไว้ในบันทึก ‘ส่างซู’(尚书) หรือที่เรียกว่าบันทึก ‘ซูจิง’ (书经) ที่ว่าด้วยประวัติศาสตร์จีนยุคโบราณ ส่วนในบันทึก‘หลี่จี้’(礼记) ซึ่งว่าด้วย พิธีกรรม มารยาทและขนบประเพณีโบราณ ในสมัยราชวงศ์โจว (1046-256 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ก็มีกล่าวถึงการใช้หมึกของช่างไม้เช่นกัน ซึ่งบันทึกทั้งสองเล่มนี้ได้รวบรวมขึ้นจากคำสอนของสำนักปรัชญาขงจื๊อ

เถาจงอี๋ (ราวค.ศ.1329-1421) นักเขียนพู่กันจีนและกวีชื่อดัง ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปลายสมัยราชวงศ์หยวนต้นราชวงศ์หมิง เคยกล่าวไว้ว่า ในสมัยราชวงศ์ซางมีการใช้น้ำหมึกกันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากวิวัฒนาการของตัวอักษรจีนโบราณที่สุกงอมเต็มที่ ประกอบกับปริมาณแร่คาร์บอนในธรรมชาติที่มีอยู่มาก

ใน ‘บันทึกหนันชุนฉั้วเกิง’(南村辍耕录) ที่เถาจงอี๋รวบรวมเรื่องเล่าและเกร็ดประวัติศาสตร์เอาไว้ ยังอ้างถึงการทำน้ำหมึก ที่จะนำแผ่นหมึกหนาๆมาบดในถ้วยหิน หรือภาชนะดินเผา แล้วนำพู่กันมาจุ่มหมึกเขียนลงบนไม้ไผ่ที่ผ่าเป็นริ้วๆ

ก่อนสมัยราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ.220) การใช้แท่งหมึกและบดน้ำหมึกด้วยมือยังมีอยู่น้อย เมื่อวิวัฒนาการด้านเทคนิคก้าวหน้าขึ้น จนต่อมาช่างทำหมึกก็สามารถทำแท่งหมึกรูปร่างต่างๆด้วยแม่พิมพ์

มาในสมัยฮั่นตะวันออก (ค.ศ.25-220) แท่งหมึกส่วนใหญ่ผลิตขึ้นทางตอนเหนือ และภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในบริเวณมณฑลส่านซี ซันซี และเหอเป่ย โดยแท่งหมึกที่ผลิตจากอำเภอเชียนหยัง (ปัจจุบันตั้งอยู่ที่เชิงเขาจงหนันซัน ในมณฑลส่านซี) ถิ่นที่อุดมด้วยต้นสน นับเป็นแท่งหมึกคุณภาพขึ้นชื่อแห่งยุค

การผลิตแท่งหมึกเริ่มเป็นที่นิยมอย่างมากในสมัยราชวงศ์สุย (ค.ศ.581-618) และราชวงศ์ถัง(ค.ศ.618-907) จนราชสำนักถึงกับมีการออกกฎพิเศษ ที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมการผลิตแท่งหมึกโดยเฉพาะ ยิ่งไปกว่านั้น ช่างทำแท่งหมึกแห่งราชวงศ์ถัง ยังสามารถผลิตหมึกสีสันต่างๆได้มากขึ้น เช่นแดง และเหลือง

ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของสมัยราชวงศ์ถัง มีหลักฐานแสดงว่า หมึกสีเหลืองถูกนำไปใช้กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในงานคัดลอกภาพหรือหนังสือ นอกจากนี้ความนิยมใช้แม่พิมพ์ผลิตแท่งหมึกก็สูงมากขึ้น ทำให้พัฒนารูปทรงของแท่งหมึกออกมาได้หลากหลายขึ้นด้วย นอกจากนี้มาตรฐานการผลิต และคุณภาพของแท่งหมึกในสมัยนั้นก็พัฒนาขึ้นมาก แท่งหมึกที่ได้จึงมีความทนทานและแข็งเป็นพิเศษ

กระบวนการทำแท่งหมึกในเวลานั้นยังมีความซับซ้อนมากขึ้น อาทิ การทำแม่พิมพ์ ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบทั้งรูปจัตุรัส กลม สี่เหลี่ยม วงรี และที่เป็นรูปร่างไม่แน่นอน และยังมีรูปภาพที่ประทับอยู่บนแท่งหมึกนั่นอีก ซึ่งเท่ากับเป็นงานศิลปกรรมชิ้นหนึ่งทีเดียว

และถึงแม้ว่า แท่งหมึกที่จำหน่ายในระยะแรก ยังไม่มีการตกแต่งประดับประดาใดใดก็ตาม ทว่าแท่งหมึกส่วนใหญ่จะเคลือบแลกเกอร์ และโรยด้วยผงทองก่อนส่งไปขายที่ตลาดด้วย

เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายสมัยราชวงศ์ถัง เกิดสงครามอย่างต่อเนื่องทางภาคเหนือ อุตสาหกรรมทำแท่งหมึกในครัวเรือนจึงเคลื่อนย้ายจากเหนือสู่ภาคตะวันออกของประเทศ หนาแน่นอยู่ที่มณฑลเจียงซู เจียงซี และอันฮุย ทำให้เทคโนโลยีการผลิตแท่งหมึกเริ่มกระจายไปสู่ภูมิภาคอื่นๆทางตอนใต้ด้วย

เมื่อผลัดแผ่นดินเข้าสู่ราชวงศ์ซ่ง ความต้องการในการใช้หมึกจีนเริ่มขยายตัวถึงขีดสุด ตามการพัฒนาของระบบการสอบคัดเลือกข้าราชการในสังคมศักดินา และความนิยมในศิลปะการเขียนภาพพู่กันและตัวอักษรจีนโบราณ ที่มีบทบาทอย่างมากในสังคมขณะนั้น ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตแท่งหมึกในเวลานั้น สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

ศิลปะการผลิตแท่งหมึกในสมัยราชวงศ์ซ่งนี้ ถูกจัดว่าอยู่ในระดับก้าวหน้ามากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ช่างฝีมือทำแท่งหมึกสามารถสร้างสรรค์แท่งหมึกมีกลิ่น โดยใส่วัตถุดิบที่เป็นยาบางตัวลงไปในหมึก ปัจจุบันยังมีการใช้แท่งหมึกมีกลิ่นพวกนี้ ในกลุ่มแพทย์แผนโบราณของจีน

บันทึกประวัติศาสตร์ ชี้ว่า ในช่วงต้นราชวงศ์ซ่ง ทั่วประเทศมีการตัดไม้สนจำนวนมากมายมหาศาล จนทำให้ต้นสนเกือบสูญพันธุ์ แท่งหมึกที่ได้จากเขม่าของน้ำมันดิบจึงเข้ามาแทนที่แท่งหมึกของเขม่าไม้สนในอดีต

จากงานหัตถกรรมสู่งานศิลปะ
ในสมัยราชวงศ์ซ่ง เมื่อกลุ่มปัญญาชนเริ่มให้ความสนใจแท่งหมึกมากไปกว่าความเป็นอุปกรณ์เขียนภาพพู่กัน แท่งหมึกจึงเปลี่ยนฐานะมาเป็นงานศิลปะรูปแบบหนึ่ง ในช่วงกลางสมัยราชวงศ์ซ่ง แท่งหมึกถูกออกแบบให้งดงามประณีตขึ้น และบรรจุหีบห่ออย่างระมัดระวัง เพื่อสอดคล้องกับรสนิยมของผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปวัตถุ

โดยแท่งหมึกที่บรรจุในกล่องมีลักษณะเป็นชุดแท่งหมึก ซึ่งช่างฝีมือบางคนจะออกแบบภาพบนผิวหน้าของแท่งหมึก ให้เป็นเรื่องราวในนวนิยาย หรือภาพชุด ตลอดจนรูปทรงต่างๆ รวมไปถึงกล่องบรรจุ ซึ่งอาจทำจากไม้เคลือบแลกเกอร์ และที่ฝากล่องก็ยังต้องมีการออกแบบลวดลายตกแต่งอีกชั้นหนึ่งด้วย

เทคโนโลยีใหม่ๆที่ก้าวหน้าอย่างมากในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง (ค.ศ.1368-1911) มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์แท่งหมึกของช่างฝีมือในยุคนั้น ทั้งนี้ยังครอบคลุมไปถึงวัสดุที่นำมาผลิตหมึก และคุณภาพของแท่งหมึกที่พัฒนาขึ้นตามลำดับด้วย

ปัจจุบันเราอาจหาชมชุดแท่งหมึกคุณภาพดีได้ ในพิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้าม ในกรุงปักกิ่ง ชุดที่น่าสนใจ คือ ชุดแท่งหมึกหลากสีที่ทำถวายจักรพรรดิเฉียนหลง แห่งราชวงศ์ชิง(ค.ศ.1644-1911) ซึ่งสลักเป็นภาพทิวทัศน์จำนวน 10 ภาพอย่างสวยสดมีชีวิตชีวา โดยหมึกแต่ละแท่งจะสลักคำกลอน ซึ่งเฉียนหลงฮ่องเต้ทรงนิพนธ์ขึ้น กล่าวถึงความงามของทิวทัศน์ทะเลสาบซีหูในเมืองหังโจว แห่งมณฑลเจ้อเจียง สีสันต่างๆที่แต่งแต้มลงบนแท่งหมึกเป็นสีแร่ธรรมชาติ ที่ประดิษฐ์ขึ้นเป็นสีแดง เหลือง เขียว น้ำเงิน น้ำตาล และขาว ทั้งนี้เพื่อถ่ายทอดความงามของทะเลสาบซีหูเมื่อ 200 ปีก่อน ให้ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้

นอกจากนี้ แท่งหมึก‘ฮุยม่อ’ (徽墨) จากเมืองฮุยโจว (徽州) ในมณฑลอันฮุย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเลิศของศิลปะแท่งหมึกของจีนนั้น ก็มีความโดดเด่นในการนำโคลงกลอนมาสลักเสลาบนแท่งหมึก โดยปัจจุบันอุตสาหกรรมการผลิตแท่งหมึกในอันฮุยได้สืบทอดวิธีการทำแบบโบราณ มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและชิง มีการพิมพ์ลายต่างๆเป็น ภาพทิวทัศน์ ปลาทอง จักจั่น ลาย 12 นักษัตร หรือรูปพระอรหันต์ ฯลฯ และยังเป็นที่นิยมส่งออกไปขายทั้งในและต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง และในเอเชียอาคเนย์ด้วย

เรียบเรียงจาก ไชน่าเดลี่

กำลังโหลดความคิดเห็น