xs
xsm
sm
md
lg

ผ่าตัดเพิ่มความสูง ทางลัดสู่ความสำเร็จหรือเจ็บปวด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ชีวิตคนเมืองจีน / นับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ข่าวคราวการผ่าตัดแปลงโฉมของสาวจีน ออกมาแบบไม่ขาดสาย บางคนทำศัลยกรรมตั้งแต่หัวจรดเท้า เช่นเดียวกับก่วนอิง สาวใจถึงชาวกว่างโจว (กวางโจว) ที่ผ่านการทำศัลยกรรมความงามมาแล้วถึง 21 รายการ ล่าสุดสาวคนนี้ได้ทำ“ศัลยกรรมผ่าตัดเพิ่มความสูง”ที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นด่านที่ยากที่สุดด่านหนึ่ง

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่วนอิง ซึ่งสูง 1.62 เมตร ลงทุนขึ้นเตียงให้หมอศัลยกรรม ‘ตัดกระดูก’ เพิ่มความสูง หลังการผ่าตัดนาน 2 ชั่วโมงเสร็จสิ้นลง เธอได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่โรงพยาบาลว่า ‘ตอนนี้ขาฉันทั้งแสบทั้งปวดไปทั่ว ที่แย่กว่านั้นคือช่วงนี้ต้องนอนอยู่แต่บนเตียง เคลื่อนไหวไปไหนมาไหนไม่ได้’

ต่อข้อถามที่ว่า ความรู้สึกเมื่อต้องเข้าห้องผ่าตัดเป็นอย่างไร สาวก่วนสาธยายว่า นาทีที่ถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัด มองเห็นเครื่องไม้เครื่องมือแพทย์ลางๆ และยังนางพยาบาลที่มารุมอยู่ข้างๆเตียงอีก ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับข้าศึกอย่างนั้นเลย ทั้งตื่นเต้นทั้งกลัว ยิ่งตอนที่นึกว่าหมอจะกรีดเนื้อแล้วหั่นกระดูกเราแล้ว ยิ่งใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เธอเล่าว่า ระหว่างที่ผ่าตัดอยู่นั้น ถึงแม้จะชาเพราะฤทธิ์ยา แต่ช่วงที่หมอเปิดข้อต่อกระดูก รู้สึกปวดสะท้านไปทั่วร่างถึง 2 ครั้ง หลังผ่าตัดเสร็จ ถึงแม้จะมีเครื่องช่วยระงับอาการปวด แต่ขาก็ยังบวมปวดมาก เนื้อตัวก็ไม่สบาย

ผู้อำนวยการวัง หนึ่งในคณะแพทย์ที่ทำการผ่าตัดให้ก่วนอิง กล่าวว่า การผ่าตัดเป็นไปด้วยดี แต่เนื่องจากเลือดเสียที่เกิดบริเวณที่ตัดกระดูกยังออกมาไม่หมด ดังนั้น จึงต้องสอดท่อถ่ายเลือดเสีย รวมถึงสายปัสสาวะด้วย 3 วันหลังจากนั้นจึงจะเอาออกได้ และก่วนยังต้องรักษาตัวบนเตียงต่ออีก 7 วัน

แพทย์เสริมว่า หลังการผ่าตัด กระดูกจะค่อยๆงอกออกมาใหม่ตามเหล็กที่ใส่เข้าไป โดยยืนยันว่า การผ่าตัดนี้จะทำให้เธอสูงขึ้นอีก 8 เซนติเมตร

ก่วนอิงต้องทำกายภาพบำบัดภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เช่น การยืนพิงกำแพง การเดินช้าๆ เพื่อช่วยให้กระดูกค่อยๆเติบโตขึ้น และต้องอยู่ในความดูแลของโรงพยาบาลไปอีก 6 เดือน ทั้งนี้เธอจะไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เองตามปรกติ

นอกจากนี้ยังต้องบำรุงด้วยอาหารเสริม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายตกเดือนละ 900 หยวน (ราว 4,500 บาท) ซึ่งไม่รวมค่าประกันการผ่าตัดอีก 80,000 หยวน (ราว400,000 บาท)

ไม่มีตัวเลขที่แน่นอนของผู้ที่ทำการผ่าตัดเพิ่มความสูงในแต่ละปี แต่ป้ายโฆษณาผ่าตัดเพิ่มความสูง สามารถพบเห็นทั่วไปในจีน โดยเฉพาะในเมืองกว่างโจว ขณะเดียวกัน ก็มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ต้องเสียใจจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด…

ปลายปี 1998 ฟางเฟย บัณฑิตหมาดๆจากรั้วมหาวิทยาลัย เดินทางจากไกลจากเซินเจิ้น มาถึงปักกิ่ง เพื่อผ่าตัดเพิ่มความสูงเช่นกัน โดยได้จ่ายค่าผ่าตัดแก่โรงพยาบาลเป็นเงิน 1 หมื่นหยวน ( 50,000 บาท ) หลังการผ่าตัดครั้งแรกผ่านไป 33 วัน ผลการวัดความยาวของขา เป็นที่น่ายินดีว่าขาของฟางเฟยยาวขึ้น 4.9 เซนติเมตร แต่ที่น่าเศร้าก็คือ ขาทั้งสองข้างมีลักษณะบิดเบี้ยวผิดปกติ โรงพยาบาลยอมรับความผิดลาดที่เกิดขึ้น และผ่าตัดให้ฟางเฟยใหม่ช่วงกลางปี 1999 จนถึงปลายปี 2000 ฟางเฟยจึงได้สามารถออกจากโรงพยาบาล โดยใช้ไม้ช่วยพยุง
  
ต่อมาต้นปี 2001 ฟางเฟยได้ยื่นฟ้องโรงพยาบาลดังกล่าวต่อศาลเขตชังผิง นครปักกิ่ง เป็นเงิน 360,000 หยวน (ราว 1,800,000 บาท) ผลการพิสูจน์ของแผนกพิสูจน์งานทางวิทยาศาสตร์ของศาล ระบุว่า “ น่องทั้งสองข้างของฟางเฟย มีความสั้นยาวไม่เท่ากัน โดยน่องข้างขวายาว 44 เซนติเมตร มีลักษณะเบี้ยวออกด้านนอก ส่วนน่องข้างซ้ายยาว 45 เซนติเมตร และมีลักษณะเอียงเข้าด้านใน จัดว่ามีความพิการในระดับ 8 ”สุดท้าย ฟางเฟยได้รับเงิน 74,000 หยวน (ราว 370,000 บาท) แต่ต้องกลายเป็นคนทุกพลภาพไปตลอดชีวิต

เมื่อปลายปีที่แล้ว เสี่ยวหลิน สาวเมืองกว่างโจว วัย 24 ปี ปัจจุบันสูง 1.58 เมตร แต่ต้องการเพิ่มความสูงให้ตนเองอีก 8 เซนติเมตร จึงตัดสินเข้ารับการผ่าตัดกระดูกในโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในเขตไป๋หยุน

เสี่ยวหลินเล่าว่า ก่อนที่หมอจะลงมีด ได้พูดกับเธอว่า “การผ่าตัดยืดกระดูกแบบนี้ง่ายมาก และไม่ทำให้เจ็บปวดมากมายอะไร เมื่อออกจากโรงพยาบาลก็สามารถเดินได้ทันที หมอยังบอกอีกว่า 1 เดือน หลังการผ่าตัด เสี่ยวหลินจะสูงขึ้นทันที 8-10 เชนติเมตร และภายใน 3 เดือนก็จะหายเป็นปกติ ”

แต่เมื่อการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง เสี่ยวหลินไม่สามารถขยับหัวเข่าได้ กระดูกขาถูกตัดเป็น 3 ท่อน และถูกตรึงด้วยตะปู 17 ตัว บาดแผลเกิดการอักเสบ บวม และมีเลือดไหล ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเดินได้หรือไม่ได้ แม้แต่ขยับนิดเดียวก็ยังไม่สามารถทำได้

หลังจากออกจากโรงพยาบาล 4-5 เดือน เธอนอนหลับได้แค่คืนละหนึ่งชั่วโมง ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่บาดแผล และที่กล้ามเนื้อ ทำให้เธอไม่สามารถหลับตาลงได้ เสี่ยวหลินกล่าวว่า เคยคิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง เพราะต้องการหนีจากความทุกข์ทรมานเหล่านี้

สุดท้ายความหวังที่ตั้งไว้ว่าจะสูงขึ้น 8 เซนติเมตรก็ล้มเหลว เพราะไม่สามารถทนกับความเจ็บปวดต่อไปได้ แต่หมอก็บอกว่าความทรมานที่เธอได้รับ ใช่ว่าจะสูญเปล่า เพราะเธอจะสูงขึ้นอีก 6 เซนติเมตร

ปัจจุบัน เสี่ยวหลินยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องมีคนคอยช่วยตลอดเวลา

จินหมิงซิน อาจารย์แพทย์และหัวหน้าศูนย์กระดูกประจำมหาวิทยาลัยแพทย์ทหารหมายเลข 1 ของโรงพยาบาลหนันฟัง ในเมืองกว่างโจวกล่าวว่า แม้ว่าเคยผ่าตัดรักษาผู้ที่มีความผิดปกติของแขนขามาหลายสิบปีแล้วก็ตาม แต่ไม่เคยผ่าตัดเพื่อเพิ่มความสูงเลย

“ผมคิดว่าการผ่าตัดเพิ่มความสูง ต้องทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด เพราะโรคแทรกซ้อนของการผ่าตัดชนิดนี้ชนิดนี้มีมากทีเดียว”

มีคนไข้จำนวนมากที่ผ่าตัดล้มเหลวจากโรงพยาบาลอื่น แล้วมารักษาที่โรงพยาบาลหนันฟัง คุณหมอจิน เล่าว่า “พวกเราได้พบเห็นคนไข้ที่เกิดโรคแทรกซ้อนจำนวนมาก คาดว่าโอกาสที่อาจเกิดโรคแทรกซ้อนมีมากถึง 60-70% โรคแทรกซ้อนที่รุนแรงน้อยที่สุด ก็คือโรคเอ็นข้อเท้าหดตัว ลักษณะคล้ายกับเวลาที่เต้นบัลเลย์ แล้วจะเดินได้อย่างไร”

เหตุใดการผ่าตัดชนิดนี้ จึงมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนได้มาก หมอจินอธิบายถึงวิธีการในการผ่าตัดว่า “ก่อนอื่นต้องผ่าตัดเปิดกระดูกหน้าแข้ง เพื่อเอาตะปูยาวแทงเข้าไปในถึงโพรงไขกระดูก หลังจากนั้นจึงเลื่อยกระดูกหน้าแข้งท่อนบนออกเป็นสองท่อน แล้วนำอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการยืดกระดูก กล้ามเนื้อ และเอ็น มาประกบติดกับขาของคนไข้ โดยการเจาะรูที่กระดูกเพื่อยึดอุปกรณ์กับขา หลังจากทำการผ่าตัดแล้ว 3-5 วัน กระดูกก็จะยืดขึ้นวันละประมาณ 1 มิลลิเมตรขึ้นกับสภาพร่างกายของคนไข้แต่ละคน เมื่อกระดูกยืดแล้ว ยังต้องผ่าตัดเอาตะปูออก

เนื่องจากต้องแทงตะปูถึง 16 ตัวเข้าไปในกระดูกของคนไข้ หากไม่ระมัดระวังอาจก่อความเสียหายแก่หลอดเลือด กล้ามเนื้อหรือเส้นประสาท ทำให้การไหลเวียนของโลหิตเกิดการขัดข้อง จนถึงเป็นอัมพาต และหากตะปูไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อที่ดี อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในไขกระดูก

นายแพทย์เหมาเสี่ยวหลิง หัวหน้าหน่วยงานด้านการกำกับดูแลเทคโนโลยีทางการแพทย์ของสมาคมแพทยศาสตร์แห่งมณฑลกว่างตงกล่าวว่า
“โดยทั่วไป แพทย์จะไม่สนับสนุนให้ทำศัลยกรรมเพิ่มความสูง ในต่างประเทศก็เช่นเดียวกัน”

หญิงสาวที่มีความคิดเช่นเดียวกับก่วนอิง มีเป็นจำนวนไม่น้อย หญิงสาวที่ประสบเคราะห์กรรมอย่าง ฟางเฟยและเสี่ยวหลิน ก็ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก พวกเธอต่างเชื่อว่าบุคลิกภาพที่ดี ย่อมนำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการงาน หรือชีวิตคู่ในอนาคต ภาพเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จของสังคมที่เริ่มจะบูชาวัตถุมากกว่าคุณค่าทางจิตใจ ที่กำลังอุบัติขึ้นในแผ่นดินจีน

เรียบเรียงจากซิน่าเน็ต/อีเอสเฟสเน็ต/ อีเอ็ม 800เน็ต


กำลังโหลดความคิดเห็น