xs
xsm
sm
md
lg

มองจีน 3 ยุค ผ่านหนัง 3 เรื่องของ "หลีหมิง" (1)

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล

เมื่อต้นปี ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนออกเดินทางไปเซี่ยงไฮ้ ผมแอบชมภาพยนตร์เรื่อง "เรื่องเล็กในเมืองใหญ่" (ต้าเฉิงเสี่ยวเส้อ:大城小事 หรือ ชื่อภาษาอังกฤษ คือ Leaving Me Loving You)

อย่างที่เล่าไปแล้วในตอนนั้นว่า "เรื่องเล็กในเมืองใหญ่" เป็นภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของดาราหนุ่มฮ่องกงชื่อดังหลีหมิง (黎明) กับ เฟย หว่อง (หวังเฟย:王菲) อันเป็นเรื่องราวความรักกุ๊กกิ๊กระหว่างหนุ่มสาวจีนยุค ค.ศ.2004 ที่เกิดขึ้นในเมืองทันสมัยอย่างเซี่ยงไฮ้

กลับมาจากเซี่ยงไฮ้ได้ไม่นาน จากการเดินเตร็ดเตร่ในร้านหนังแผ่นเจ้าประจำแถวบ้าน ผมก็ไปค้นเจอภาพยนตร์เก่าอีกหลายเรื่องที่เคยดูไปแล้วตั้งแต่ยังสำมะเลเทเมาอยู่ที่เมืองไทย แต่พอเห็นชื่อเรื่องและหน้าปกก็อดใจไม่ไหว ต้องหยิบกลับมาย้อนเปิดดูใหม่

ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ผมไม่ลังเลใจเลยที่หยิบกลับมาเปิดดูอีกรอบก็คือ "เถียนมี่มี่ (甜蜜蜜)"

ผมเชื่อว่าคนไทยร้อยละ 80-90 คงรู้จักชื่อ "เถียนมี่มี่" แน่ๆ แม้ไม่ใช่มาจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ต้องมาจากเพลงจีนอมตะนิรันดร์กาลของ ราชินีเพลงไต้หวันที่ชื่อ "เติ้งลี่จวิน"

อยู่ที่เมืองไทยหากไปร้องเพลง ถ้าถามสมาชิกในวงคาราโอเกะว่าดำน้ำ "เพลงจีน" เพลงไหนได้ ผมเชื่อว่าร้อยละ 99 ต้องตอบว่า "เถียนมี่มี่" แม้จะไม่รู้จักภาษาจีนมาก่อน แต่นักคาราโอเกะสัญชาติไทยก็พอจะอู้อี้ ฮำ เพลงนี้ไปได้อย่างสบายๆ เหมือนกับว่า เพลงนี้เป็นเพลงบังคับอย่างไรอย่างนั้น

เช่นกันกับนักเรียนไทยเมื่อมาถึงจีน แรกๆ หากมีนัดเข้าห้องคาราโอเกะกับเพื่อนชาวจีน หรือ เพื่อนต่างชาติ โดยเฉพาะเกาหลี ญี่ปุ่น เมื่อไม่มีเพลงไทยปรากฎในสมุดรายชื่อเพลง นักเรียนไทยก็มักจะคลำหา "เถียนมี่มี่" ไว้กู้หน้าก่อนเสมอ

สำหรับภาพยนตร์เรื่อง "เถียนมี่มี่" มีชื่อภาษาอังกฤษยาวขนาดน้องๆ ขบวนรถไฟ คือ "Comrades, Almost a Love Story" ออกฉายครั้งแรกเมื่อปี 2539 (ค.ศ.1996) นำแสดงโดย ดาราหนุ่ม หลีหมิง และ ดาราสาว จางม่านอวี้ (张曼玉)

เรื่องราวของ "เถียนมี่มี่" เริ่มต้นบนในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ.1986 รถไฟสายหนึ่งที่มีต้นทางจากจีนแผ่นดินใหญ่ ปลายทางอยู่ที่เกาะฮ่องกง รถไฟสายนั้นนำพาเอา ชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่ง มาด้วย ชายหนุ่มมาจากอู๋ซี (ผมฟังในหนังเหมือน หลีหมิงพูดว่า เทียนจิน ?!?) ส่วนหญิงสาวนั้นมาจากกวางตุ้ง ทั้งสองคน หนีจากความยากแค้นของแผ่นดินใหญ่เข้ามาหวังที่จะ "ขุดทอง" ในฮ่องกง ดินแดนซึ่งขณะนั้นยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ

หญิงสาวซึ่งแสดงโดยจางม่านอวี้ เป็นสาวเก่งทรหด หนักเอาเบาสู้ ฉลาดหัวไว ทำงานทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาสร้างฐานะ ส่วนชายหนุ่ม (หลีหมิง) แม้จะเป็นคนซื่อๆ แต่ก็ทำงานอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อไล่ตามความฝันที่ว่า ถ้าหากมีเงินพอตั้งตัวได้แล้วจะพาเอา "เสี่ยวถิง" แฟนสาวที่ตัวเองทิ้งไว้ในแผ่นดินใหญ่ย้ายมาแต่งงานและอยู่ด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อคนเหงา สองคน มาเจอกันจากความสัมพันธ์ฉันมิตร ก็ขยับขยายกลายเป็นความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่ม-สาว และในที่สุดก่อเกิดเป็น "ความรัก"

เถียนมี่มี่ บอกเล่าถึงชีวิตของคนจีนในยุคทศวรรษที่ 1980 จนถึงกลางทศวรรษที่ 1990 โดยมีการสอดแทรกเอาสภาพสังคม-ทัศนคติ ของคนจีนในแผ่นดินใหญ่ คนจีนที่อยู่ในฮ่องกง คนจีนที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น (รวมถึงโสเภณีไทยที่ไปทำมาหากินในฮ่องกงด้วย) ร้อยเรียงอย่างไหลลื่นเอามาตรึงผู้ชมให้นั่งติดกับเก้าอี้ ตาจ้องดูจอได้อย่างสนิทแน่น ตั้งแต่หนังเริ่มฉายจนหนังจบ ซึ่งตอนจบของภาพยนตร์ก็คือ วันที่ "เติ้งลี่จวิน" เสียชีวิต ณ ประเทศไทย

เถียนมี่มี่ กำกับโดย ปีเตอร์ ชาน และ ถูกยกให้เป็นหนึ่งในหนังฮ่องกงที่สมบูรณ์แบบ ที่สุดในรอบ 10 ปีท้ายสุดของศตวรษที่ 20 คว้ารางวัลมากมายของหลายเวที โดยเฉพาะในงาน Hong Kong Film Awards ปี 2539 "เถียนมี่มี่" กวาดเรียบตั้งแต่ หนังยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ดาราประกอบชายยอดเยี่ยม เพลงประกอบยอดเยี่ยม ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม ฯลฯ ยกเว้นอยู่ที่นักแสดงนำชาย คือ หลีหมิง คนเดียวที่ วืด ... (แม้นักวิจารณ์หลายคนจะมองว่า เรื่องนี้ หลีหมิงแสดงได้ธรรมชาติที่สุดในชีวิตแล้วก็ตาม)

ปี 2539 ผมยังจำได้ว่าเพื่อนๆ หลายคนต่างชักชวนผมไปดูเมื่อหนังเรื่องนี้เข้าโรง ขณะที่เมื่อเดินออกมาผู้ชมต่างก็ฮัมเพลง อมตะนิรันดร์กาล ด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มกันแทบทุกคน

เชื่อว่าสำหรับหลายคน ภาพ จางม่านอวี้ นั่งซ้อนจักรยานขนไก่ที่หลีหมิงถีบ แล่นไปตามท้องถนนของฮ่องกงพร้อมกับร้องเพลง "เถียนมี่มี่" คลอไปด้วย ยังคงติดค้างอยู่ในซอกใดซอกหนึ่งของความทรงจำ

สำหรับผม ภาพนั้นเป็นตัวแทนของ คนจีนจากแผ่นดินใหญ่ในเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ที่ต้องดิ้นรน แสวงหาสิ่งที่ดีกว่าสำหรับชีวิต ต้องจากบ้านเกิดเดินทางออกไปต่างบ้านต่างเมือง ปากกัดตีนถีบ ดิ้นรนคว้าโอกาสทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาสู่ชีวิตแบบไม่เลือกเฟ้น และไม่คร่ำครวญอะไรมากมายนักกับอุปสรรคชีวิตที่ต้องประสบ ซึ่งคงนับว่าน้อยนิดนักหากเทียบกับความลำบากที่ต้องผจญ ณ บ้านเกิด

ขณะที่ในช่วงเวลาว่างอันน้อยนิดระหว่างวัน ความสุขที่พอจะเสพย์ได้ในชีวิตอันยากลำบาก ก็เป็นเพียงแค่ การได้ฮัมเพลงแห่งความทรงจำ ที่เก็บซ่อนอยู่ในจิตใจ เป็นความสุข แม้จะน้อยนิดแต่ก็เพียงพอสำหรับคนจีนในยุคนั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น