xs
xsm
sm
md
lg

จีนถาม:ให้พ่อแม่เราเลี้ยงหลานเหมาะสมไหม?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ฟานเจี้ยนปิน ครูสอนชั้นประถมในโรงเรียนแห่งหนึ่งในเจียงซู มณฑลทางภาคตะวันออกของจีน ได้เขียนจดหมายถึงหนังสือพิมพ์พีเพิลเดลี่เมื่อเร็วๆ นี้ โดยเนื้อความในจดหมายกล่าวว่า ลูกสาววัย 3 ขวบของเขาได้รับการเอาอกเอาใจที่มากเกินไปจากปู่และย่า

เนื่องจากฟ่านเจี้ยนปินและภรรยาต่างทำงานนอกบ้าน และไม่มีเวลาดูแลลูกน้อยได้ตลอดเวลา หน้าที่นี้จึงตกเป็นของปู่และย่า แต่ในช่วงที่ผ่านมานี้ เขาพบว่าเด็กน้อยเริ่มมีพฤติกรรมไม่ดีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทานจุบจิบระหว่างมื้อ เอาแต่ใจตัวเอง ขี้เกียจ อันเป็นผลมาจากความรักและตามใจหลานรักของผู้อาวุโส

อย่างไรก็ตาม ผู้เป็นพ่อก็ได้พยายามแก้นิสัยที่ไม่ดีเหล่านั้นในช่วงวันหยุดที่มีเวลาอยู่ด้วยกัน แต่ก็ต้องพบกับการแทรกแซงจากปู่และย่า ที่รักหลานเสียจนไม่ยอมให้เขาและภรรยาดุเด็กน้อยได้เลย นอกจากนั้น เมื่อฟ่านเจี้ยนปินได้บอกกับพ่อแม่ตรงๆ ว่าการตามใจเด็กมากเกินไป จะไม่เป็นผลดีแก่ตัวเด็ก พวกท่านกลับย้อนขึ้นมาว่า ท่านก็เลี้ยงในแบบที่เคยเลี้ยงฟ่าน ซึ่งก็ได้ดิบได้ดีจนวันนี้

คำตอบดังกล่าวทำให้ฟ่านเจี้ยนปินพูดไม่ออก และหันมาตั้งคำถามกับสิ่งที่เรียกว่า ‘การอบรมของปู่ย่าตายาย ’ ที่จะมีผลต่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพของเยาวชน

เรื่องราวของฟ่านเจี้ยนปิน เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งในอีกหลายล้านครอบครัวบนแผ่นดินใหญ่ ที่ต้องอาศัยความช่วยเหลือของผู้สูงอายุในการดูแลเด็กเล็ก ซึ่งจากการสำรวจของทางการเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่ากว่า 70% ของเด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบในปักกิ่งได้รับการเลี้ยงดูจากปู่ย่าตายาย และมีสัดส่วนเป็น 60% และ 50% ในเซี่ยงไฮ้ กว่างโจว(กวางเจา) ตามลำดับ

ปัจจุบันมีเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีถึง 367 ล้านคนกระจายอยู่ทั่วแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเป็นสัดส่วน 28% ของจำนวนประชากรชาวจีนทั้งหมด โดยผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่ากว่าครึ่งของจำนวนเด็กที่อาศัยอยู่ในเมืองทั้งหมด อาศัย และได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากปู่ย่าตายาย ในขณะที่สถิติชี้ว่า เด็กอีกประมาณ 10 ล้านคนในเขตชนบท ขาดการดูแลจากพ่อแม่ที่ออกมาหางานทำในเมือง และทิ้งให้เด็กส่วนใหญ่อยู่กับปู่ย่าตายาย

ศาสตราจารย์หูกว่างเว่ย จากสถาบันสังคมศาสตร์ประจำมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) กล่าวว่า เด็กจากชนบทกลุ่มดังกล่าวมักเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนแอทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ดังที่สถิติเมื่อเร็วๆ นี้ชี้ว่า 48% ของเด็ก 2,000 คนในเมืองเหรินโซ่ว ที่พ่อแม่ไปทำงานต่างถิ่น เรียนไม่เก่ง ในขณะที่ 40% มีพัฒนาการที่ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยทั่วไป

หวังตง ครูจากโรงเรียนมัธยมหมายเลข 10 ในเมืองจื้อก่ง กล่าวว่า เมื่อพ่อแม่ต้องไปทำงานในเมือง หน้าที่ดูแลเด็กก็ตกเป็นภาระของปู่ย่าตายายที่ยังอยู่ในท้องถิ่นเดิม แต่ผู้อาวุโสเหล่านี้ส่วนใหญ่มีการศึกษาน้อย อ่านและเขียนหนังสือได้ไม่ดีนัก ซึ่งในที่สุดก็ไม่สามารถเป็นที่ปรึกษาของเด็กในด้านการเรียนได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปู่ย่าตายายในเมืองจะมีการศึกษาดีกว่าในชนบท แต่ก็ยังคงมีปัญหาให้เป็นประเด็นโต้แย้ง

ศาสตราจารย์ซินทาว จากมหาวิทยาลัยครุศาสตร์ปักกิ่ง มีความเห็นว่า ในภาพรวมแล้ว การอบรมจากปู่ย่าตายาย มีผลเป็นลบมากกว่าบวกในเด็ก เนื่องจากผู้อาวุโสจะเฝ้าคอยเอาใจหลานตัวน้อย โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นผลเสียต่อเด็ก ซึ่งเท่ากับปู่ย่าตายายเสนอได้เพียงสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิต ไม่ใช่แนวทางการบ่มเพาะนิสัยดี
นอกจากนั้น สถานการณ์ในจีนยังรุนแรงขึ้น เมื่อรัฐบาลประกาศนโยบายลูกคนเดียว ทำให้ปู่ย่าตายายหันมาทุ่มเทความรักให้หลาน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การปกป้องที่มากเกินไปจากผู้ปกครอง จะจำกัดพัฒนาการด้านความเป็นตัวของตัวเองและความมั่นใจของเด็ก ทำให้เด็กต้องคอยพึ่งพาคนอื่นและอ่อนแอ

ศาสตราจารย์ซินทาวชี้ว่า ความคิดอ่านสมัยเก่าจากผู้อาวุโส ยังเป็นตัวกัดเซาะพลังแห่งการสร้างสรรค์ของคนรุ่นหลานอีกด้วย ดังที่ปู่ย่าตายายมักห้ามให้เด็กๆ เล่นอะไรที่อันตราย มีความเสี่ยง รวมถึงที่แปลกออกไปจากความคุ้นเคยของคนรุ่นเก่า ทั้งที่การละเล่นเหล่านั้นอาจจะเป็นเวทีหนึ่งที่ช่วยในพัฒนาการของเด็กได้

ด้านศาสตราจารย์หวงไห่ปอ จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง กลับมีความเห็นที่ตรงกันข้าม โดยเห็นว่า ประสบการณ์ของคนรุ่นเก่า มีประโยชน์มหาศาลต่อการเลี้ยงดูเด็กรุ่นใหม่

หวงไห่ปอ ระบุว่าปู่ย่าตายายมีเวลาและความอดทนในการส่งสอนเด็กมากกว่าพ่อแม่ยุคใหม่ ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านเป็นส่วนใหญ่ ทั้งยังรู้ว่าจะต้องใช้วิธีไหนในการสอนเด็กวัยต่างๆ นอกจากนั้น ยังสามารถสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีสำหรับการเรียนรู้ของเด็ก โดยไม่กดดันเด็กมากเกินไป

“เป็นที่พิสูจน์ได้ว่าเด็กที่เติบโตมากับการเลี้ยงดูของปู่ย่าตายายจะมีความสุข สุขภาพดี และดูแลตัวเองได้ดีกว่าเด็กที่อยู่กับพ่อแม่ของตัวเอง” ศาสตราจารย์จากปักกิ่งย้ำ

ความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันดังกล่าว ได้กลายเป็นประเด็นร้อนสำหรับพ่อแม่รุ่นใหม่ ที่กำลังเผชิญหน้ากับความสับสนว่าควรจะเดินไปทางไหนดี

ดังเช่นอ้ายอู๋ ที่ได้แสดงความเห็นบนเว็บบอร์ดของ xinhuanet.com ว่าการเลี้ยงดูจากคนรุ่นปู่ย่าตายาย จะทำให้เด็กขาดความกระตือรือร้น ไม่สนใจคนรอบข้าง และไม่ยอมรับคนอื่นเมื่อต้องอยู่ร่วมกับเด็กคนอื่นๆ ในขณะที่ฉีอี้ว์ ผู้แสดงความเห็นอีกรายฟันธงว่า การอบรมจากปู่ย่าตายายเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เนื่องจากท่านเหล่านั้นสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีในการบ่มเพาะด้านจริยธรรมได้อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีพ่อแม่อีกจำนวนมากที่เลือกที่จะเป็นกลาง โดยยอมรับว่าการอบรมจากปู่ย่าตายายนั้น มีทั้งประโยชน์และข้อเสีย ซึ่งหนึ่งในคนกลุ่มนี้มีความเห็นว่า สาระสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่เราจะถ่ายทอดอะไรให้เด็ก ไม่ใช่ว่าใครควรจะทำหน้าที่นี้

ขณะเดียวกัน เฉินชิวเยี่ยน นักศึกษาปริญญาโทด้านครุศาสตร์จากวิทยาลัยการศึกษาเฉวียนโจว มณฑลฝูเจี้ยน(ฮกเกี้ยน) ก็ได้ชี้ว่า การอบรมจากผู้อาวุโสจะเป็นส่วนสำคัญในครอบครัวชาวจีนทั่วไปในอนาคต เนื่องจากสภาพการพัฒนาของประเทศในขณะนี้ ผลักดันให้พ่อแม่รุ่นใหม่ออกไปทำงานนอกบ้าน ในขณะที่จีนยังไม่มีการก่อตั้งระบบพี่เลี้ยงเด็กที่มีประสิทธิภาพเหมือนประเทศตะวันตก

เฉินชิวเยี่ยนจึงเสนอว่า ควรหันมาเสริมความแข็งแกร่งของการเลี้ยงดูจากผู้อาวุโสภายในบ้าน ที่รวมถึงเพิ่มการสื่อสารระหว่างกัน เพื่อให้การอบรมเด็กตัวน้อยบรรลุถึงเป้าหมายได้ดีที่สุด เช่น ตกลงกันว่าปู่ย่าตายายจะไม่เข้ามาแทรกแซงเมื่อพ่อแม่ของหลานดุลูกที่ทำผิด แต่จะเป็นตัวหลักในการสอนด้านจริยธรรม มารยาทที่ดี

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในทัศนะของเฉินชิวเยี่ยนคือ พ่อแม่เด็กจะต้องมีความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูลูกด้วยตัวเองให้มากขึ้น แม้ว่างานของพวกเขาจะยุ่งเพียงไรก็ตาม เพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจของลูก ผู้จะเป็นอนาคตของชาติต่อไป . เรียบเรียงจากไชน่าเดลี่
กำลังโหลดความคิดเห็น