หลังจากการรุกคืบอย่างกะทันหันของกลุ่มกบฏ “บาชาร์ อัล-อัสซาด” ผู้ปกครองซีเรียก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ อัสซาดพร้อมภรรยาและลูก เดินทางออกจากเมืองหลวงดามัสกัสตั้งแต่เช้าวันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม และดูเหมือนจุดหมายปลายทางของเขาจะเป็นรัสเซีย
ตลอดเวลาที่อัสซาดอยู่ในอำนาจ มีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นหลายครั้งในซีเรีย อย่างเช่น เมื่อเขาสั่งปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงอย่างสันติ อย่างไร้ความปราณีในปี 2011 หรือการปกครองด้วยมือที่แข็งกร้าว กลุ่มสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเคยร้องเรียนเกี่ยวกับการทรมาน และการวิสามัญฆาตกรรมในศูนย์กักกันของรัฐ ซึ่งบางแห่งก็มีชื่อเรียกว่า “โรงฆ่าสัตว์”
ชาวซีเรีย 90% มีฐานะยากจน และส่วนใหญ่อยู่อย่างลำบากยากแค้น ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับอัสซาด ผู้มีชีวิตราวพระราชาที่มากด้วยความหรูหราฟุ่มเฟือย คลิปวิดีโอจากกลุ่มกบฏเผยให้เห็นทรัพย์สินของเขา เท่าที่เห็นอย่างโจ่งแจ้งมีดังต่อไปนี้...
หลักฐานความหรูหราอย่างแรกคือ ยานพาหนะ ที่กลุ่มกบฏค้นพบใกล้ทำเนียบประธานาธิบดีใจกลางกรุงดามัสกัส ภายในโรงรถมีรถยนต์ราคาแพงมากกว่า 45 คัน ในจำนวนนั้นมี Ferrari F50 มูลค่า 3 ล้านดอลลาร์ ทั้งยังมีลัมโบร์กินี, โรลส์-รอยซ์, เบนท์ลีย์, แอสตัน มาร์ติน และรถยนต์หรูจากเยอรมนี อย่าง เมอร์เซเดส และออดี้ด้วย
ตำหนักของบาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความหรูหรา มีห้องพักโอ่อ่า เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งด้วยทองคำ พื้นปูด้วยหินอ่อนราคาแพง บนผนังมีภาพวาดมูลค่าสูงประดับ ในขณะที่ โคมไฟระย้าอันงดงามห้อยลงมาจากเพดานสูง หรูหราโดดเด่นเป็นพิเศษ รวมถึงเทียนและโคมไฟมูลค่าหลายพันดอลลาร์ เฉพาะแจกันดอกไม้ ก็มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาท
วิดีโอที่เผยแพร่ ยังแสดงให้เห็นเหตุการณ์ที่มีผู้คนบุกเข้าไปในที่พักอาศัยของอัสซาด และยึดเสื้อผ้าของประธานาธิบดีที่ถูกขับไล่ออกจากตำแหน่ง สิ่งของโดดเด่นที่ถูกค้นพบ มีรองเท้าผู้หญิงประดับคริสตัล ราคากว่าหนึ่งแสนบาท หรือกระเป๋าเดินทางแบรนด์ Louis Vuitton ราคา 1.6 ล้านบาท
นอกจากนี้ กลุ่มกบฏยังค้นพบระบบอุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่ ที่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นเส้นทางที่ครอบครัวอัสซาด ใช้ในการหลบหนีออกจากกรุงดามัสกัส