จัดว่าเป็นอีกหนึ่งเวิร์กกิ้งมัมคนเก่ง สำหรับ “น้ำผึ้ง-จารุวรรณ โชติเทวัญ” ทายาทหมื่นล้านแห่งสหฟาร์ม ผู้ผลิตและส่งออกไก่ที่มีชื่อเสียงระดับโลก อยู่คู่คนไทยมากว่า 6 ทศวรรษ เพราะนอกจากจะรับหน้าที่เลขานุการประธานกรรมการ เธอยังเป็นประธานสายบัญชี การเงิน และสายการตลาดต่างประเทศ บริษัท สหฟาร์ม จำกัด ที่ต้องดูแลลูกค้าและยอดขายจากต่างประเทศ พร้อมมองหาตลาดใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตให้ธุรกิจอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังบาลานซ์ชีวิตได้อย่างลงตัว ทั้งในบทบาทผู้บริหารและมนุษย์แม่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“น้ำผึ้งเข้ามาช่วยงานที่สหฟาร์ม ตั้งแต่เรียนจบจากอังกฤษ เริ่มจากดูแลด้านการเงิน ก่อนจะขอคุณแม่ (ดร. มนูญศรี โชติเทวัญ) ย้ายไปดูแลด้านการตลาดต่างประเทศอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะถูกโยกกลับมาดูแลด้านบัญชี การเงิน และเรียนรู้สายงานบริหารอื่นๆ กระทั่ง เมื่อปีที่แล้วมีการเปลี่ยนแปลงองค์กรใหญ่ คุณพ่อ (ดร. ปัญญา โชติเทวัญ) เลยให้กลับมาดูแลงานบัญชี การเงิน และการตลาดต่างประเทศ”
ข้อดีของการได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานที่หลากหลายมาหลายปี ทำให้ในช่วงที่เจอวิกฤตโควิด-19 เธอสามารถเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญขององค์กรในการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการต่อยอด สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ไก่และไข่ภายใต้แบรนด์ “พอลดีย์” (Pauldy) ชื่อนี้นอกจากจะออกเสียงคล้ายๆ กับคำว่า พอดี ซึ่งน้ำผึ้งบอกว่าเป็นความตั้งใจ เพราะนึกถึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ยังได้แรงบันดาลใจมาจากชื่อของคุณพ่อ-ดร.ปัญญา ที่พอเขียนเป็นตัวย่อจะมีอักษร P และ Y
“จุดเริ่มต้นของ “พอลดีย์” มาจากการที่เราเห็น Pain Point ของผู้บริโภคในช่วงวิกฤตโควิดที่ไม่สามารถออกไปไหน เลยคิดว่าเราน่าจะนำผลิตภัณฑ์ไก่และไข่ของสหฟาร์ม ที่ได้รับการยอมรับในมาตรฐาน สามารถส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกมาต่อยอด ให้ผู้บริโภคคนไทยได้เข้าถึงวัตถุดิบที่มีคุณภาพแบบสะดวกสบาย มีบริการเดลิเวอรี่ถึงหน้าบ้าน เลยสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา และวางขายผ่านช่องทางออนไลน์ ปรากฏว่าผลตอบรับกลับมาดีมาก พอวิกฤตโควิดคลี่คลาย ผู้คนเริ่มออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน ก็ปรับกลยุทธ์มาวางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้า และในอนาคตอาจจะมีการส่งออกไปขายในต่างประเทศ”
หลังจากพลิกช่วงเวลาวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจได้ ทำให้น้ำผึ้งยิ่งเชื่อว่า ทุกวิกฤตเป็นบทเรียนอันล้ำค่า ที่ฝึกให้รู้จักปรับตัว ใช้ความคิดและสติปัญญาในการหาทางออก “อย่าง สหฟาร์ม ก่อตั้งมา 54 ปี ผ่านวิกฤตใหญ่มาหลายครั้ง ที่สาหัสสุดคงเป็นตอนเกิดไข้หวัดนก ซึ่งตอนนั้นด้วยความที่ประสบการณ์เรายังไม่มากพอ อาจจะไม่ได้มีส่วนในการนำพาองค์กรข้ามผ่านวิกฤตมากนัก แต่ครั้งนี้เรามีความพร้อมมากขึ้น ก็มีโอกาสในการเป็นอีกกำลังสำคัญในการพาองค์กรฝ่าวิกฤต
น้ำผึ้งเชื่อว่าคนเราเรียนรู้ได้ตลอดเวลา องค์กรก็เช่นกัน เพื่อก้าวให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลง ต้องพร้อมปรับตัว “ที่ผ่านมา เรามีการปรับปรุงองค์กร เปลี่ยนนโยบาย ปรับสูตรการเลี้ยงไก่ ปรับปรุงโรงงาน วิธีขาย ตลอดจนการดูแลลูกค้า จนทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2566 เฉพาะยอดส่งออกเติบโตขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนตัวน้ำผึ้งเองก็ไม่เคยหยุดเรียนรู้ นอกจากจะเรียนรู้จากคุณพ่อ บางครั้งก็เรียนรู้จากเพื่อนๆ คนรอบตัว เราอยู่ในยุคที่เข้าถึงการเรียนรู้ได้ง่ายมากๆ สมมุติอยากอ่านหนังสือเล่มไหน แค่เข้า Youtube ก็มีคนช่วยสรุปให้ฟัง” น้ำผึ้งเล่าถึงบทบาทการเป็นผู้บริหารอย่างออกรส
แต่เมื่อผู้บริหารคนเก่งต้องมารับบทคุณแม่ของลูกสาว (น้องญาร่า-ธันยพัต ภักดีมงคลโรจน์) วัย 13 ขวบ เธอจะทำได้ดีขนาดไหน?
“ด้วยความที่น้ำผึ้งทำงานเยอะ เวลาที่มีให้ลูกก็อาจจะไม่ได้มาก ดังนั้น ต้องเน้น quality time น้ำผึ้งมองว่า หน้าที่ของแม่อย่างหนึ่งคือทำให้ลูกมีความสุข เพราะฉะนั้น เวลาที่เราอยู่ด้วยกันหรือคุยกัน น้ำผึ้งจะพยายามสร้างช่วงเวลาแห่งความสุขหรืออย่างน้อยเวลานั่งคุยเล่นกัน เขาต้องได้แง่คิด ความรู้ และมุมมองที่เป็นประโยชน์กลับไป ส่วนเรื่องที่เราอาจจะไม่ถนัดหรือทำได้ไม่ดี เช่น สอนการบ้านลูก ก็จะไปหาตัวช่วย จ้างครูมาช่วยสอน”
ถามว่าน้ำผึ้งเป็นคุณแม่สไตล์ไหน เธอตอบชัดว่า ไม่ดุแต่ก็ไม่ได้สปอยลูก ถึงจะไม่ได้บังคับว่าโตขึ้นมาเขาต้องเป็นแบบที่เราหวัง เพราะอยากให้เขามีความคิดของตัวเอง แต่ก็จะคอยอยู่ข้างๆ ช่วยไกด์เขา “อย่างตอนญาร่า 3 ขวบ เขาบอกว่าอยากเป็นคนเลี้ยงปลาโลมา อยากไปทำงานที่สวนสัตว์ ตอนนั้นคนเป็นแม่ก็ปวดหัวนะ (หัวเราะ) แต่เราก็ยังไม่ได้ว่าหรือบังคับว่าลูกต้องเป็นนักธุรกิจ เพราะรู้ว่าเขายังเด็ก ความฝันยังเปลี่ยนแปลงได้ตลอด แต่ลึกๆ ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร แค่อยากให้มีทักษะเรื่องการบริหารจัดการ เพราะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกสายอาชีพ”
ด้านน้องญาร่าเสริมว่า “ตอนนี้หนูฝันว่าอยากเป็นสถาปนิก เพราะเวลาเห็นตึกสวยๆ ทำให้หนูมีแรงบันดาลใจว่าอยากสร้างตึกแบบนี้บ้าง แต่ตอนนี้ได้แต่ซ้อมมือด้วยการเล่นเกมสร้างตึก (หัวเราะ) ปกติจะใช้เวลากับคุณแม่ช่วงวันหยุด ทุกวันเสาร์หรืออาทิตย์ คุณแม่จะพาไปทานข้าว ไปซื้อของที่ห้าง หรือบางครั้งก็ไปอควาเรียม เพราะว่าหนูชอบปลา แต่ล่าสุด หนูเพิ่งไปซัมเมอร์ที่ญี่ปุ่น 12 วัน สนุกมาก เป็นครั้งแรกที่เดินทางไปต่างประเทศคนเดียว โดยไม่มีคุณแม่ ไปด้วย ตอนแรกก็แอบกลัว ไม่อยากไป แต่พอไปจริง ไปใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ กลายเป็นสนุก จนไม่อยากกลับ และอยากขอคุณแม่ไปอีก(ยิ้ม)”
ถามว่าในโอกาสเดือนวันแม่แบบนี้ ญาร่ามีความในใจอะไรที่อยากบอกคุณแม่ ญาร่าตอบแบบเขินๆ ว่า “อยากบอกรักแม่ และจะรักษาสัญญาที่เคยบอกว่าจะดูแลแม่ตอนแก่ ส่วนกิจกรรมที่อยากไปทำกับคุณแม่อีกคือ ไปปั่นจักรยานที่สกายเลนสุวรรณภูมิ”
ด้านคุณแม่ที่อมยิ้มไปกับคำตอบของลูกสาวสุดที่รัก ถือโอกาสเสริมว่า “ทุกวันนี้ นอกจากทำงานและให้เวลากับลูก น้ำผึ้งยังแบ่งเวลาให้กับการดูแลตัวเอง ทั้งกายและจิตวิญญาณ ด้วยการสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ และทำให้ตัวเองมีความสุข เราจะไม่ทำงาน 24 ชั่วโมง แต่จะจัดสรรเวลาส่วนตัว ทำในสิ่งที่มีความสุข เช่น ดูซีรีส์ เข้าครัว และออกกำลังกาย”
ส่วนการเป็นซิงเกิลมัมสำหรับน้ำผึ้ง เธอกล่าวทิ้งท้ายว่าหายห่วง “น้ำผึ้งจะสอนให้ญาร่าอยู่กับโลกแห่งความจริง ให้เขารู้ว่าเขายังมีทั้งคุณพ่อและคุณแม่ เพียงแต่คุณพ่อและคุณแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนิยามของคำว่าครอบครัวไม่ได้หมายความว่า พ่อแม่ลูกต้องอยู่ด้วยกัน ครอบครัวหนึ่งอาจจะเป็นแบบหนึ่ง อีกครอบครัวเป็นอีกแบบ ไม่ได้ฟิกว่าต้องมีแบบเดียว เพราะแม้แต่ในการ์ตูนหรือละคร ครอบครัวก็ยังมีหลากหลายเช่นกัน”