โดยปกติแล้วพนักงานบริษัทจะได้รับสวัสดิการประกันกลุ่มที่คุ้มครองด้านสุขภาพและอุบัติเหตุอยู่แล้ว แต่บางครั้งอาจมีเหตุทำให้ค่ารักษาพยาบาลไม่เพียงพอและครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดจนทำให้เราต้องควักเงินส่วนตัวออกมาบ้าง จะดีกว่าไหมหากวันนี้เราตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพเพิ่มจากสวัสดิการ เพราะอย่างน้อยหากเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงที่ต้องใช้เงินรักษาเป็นจำนวนมากก็ยังมีประกันที่คอยช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย เนื่องจากประกันสุขภาพส่วนใหญ่ครอบคลุมทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าห้อง ค่ายา ค่าแพทย์ และค่าอุปกรณ์อื่น ๆ
วันนี้เราเลยขออาสามารวบรวม 5 เทคนิคในการเลือกประกันภัยสุขภาพให้คุ้มค่าแบบฉบับมนุษย์เงินเดือน รับรองได้เลยว่าไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนคุณก็สามารถอุ่นใจได้อย่างเต็มที่เลย
1.วงเงินความคุ้มครอง
เทคนิคแรกของการเลือกประกันสุขภาพก็คือ การเลือกวงเงินความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง โดยอาจเช็กก่อนว่าสวัสดิการด้านค่ารักษาพยาบาลที่ได้รับจากประกันกลุ่มของบริษัทเดิมครอบคลุมเท่าไหร่ แล้วค่อยพิจารณาเลือกแผนประกันสุขภาพเพื่อมาเติมเต็มส่วนที่ขาด เพื่อให้สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในระดับที่เหมาะสมกับบริการทางการแพทย์ที่ต้องการ
ยกตัวอย่างเช่น หากมีอาการเจ็บป่วยและต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด 100,000 บาท แต่ประกันกลุ่มมีวงเงินคุ้มครองเพียง 30,000 บาท หมายความว่าส่วนต่างที่เหลืออีก 70,000 บาท เราต้องเป็นคนออกเอง ซึ่งถือว่าเป็นเงินที่ค่อนข้างสูงและอาจกระทบต่อการใช้จ่ายในเดือนนั้นๆ ได้ แต่หากคุณมีประกันสุขภาพเพิ่มเติม สามารถนำมายื่นเพื่อหักจากส่วนต่างที่เหลือตามวงเงินความคุ้มครองได้เลย
2.ประเมินความเสี่ยงสุขภาพส่วนตัว
สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับถัดมาก็คือ การเช็กและประเมินร่างกายตนเองว่ามีโรคประจำตัวหรือความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงหรือไม่ โดยอาจเริ่มจากการตรวจสอบโรคทางกรรมพันธุ์ของคนในครอบครัว อาทิ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน หรือโรคธาลัสซีเมีย เป็นต้น รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของตนเองที่อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรง เช่น การดื่มสุรา หรือ สูบบุหรี่ อย่างเป็นประจำ
ซึ่งสำหรับพนักงานออฟฟิศอาจเสี่ยงเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม ความเครียด หรือโรคอื่น ๆ ที่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ดังนั้นหากทำประกันสุขภาพในช่วงอายุนี้ ราคาเบี้ยอาจจะไม่ได้สูงเท่าช่วงอายุที่มากขึ้น เนื่องจากประสุขภาพแต่ละฉบับให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมไม่เหมือนกัน หากคุณรู้ว่าตนเองมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคร้ายแรงในอนาคต ก็ซื้อประกันสุขภาพที่ครอบคลุมโรคนั้นตั้งแต่เนิ่น ๆ เอาไว้ด้วยเลย
3.เบี้ยประกันสุขภาพที่เหมาะสม
หลังจากที่เช็กแล้วว่าตนเองมีสวัสดิการอะไรบ้าง และมีความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงหรือไม่ สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับถัดมาเลยก็คือ การพิจารณาจากเบี้ยประกัน หรือเงินที่เราจ่ายให้บริษัทประกันเพื่อรับความคุ้มครอง โดยอาจคำนึงถึงงบประมาณของตนเองก่อนว่าสามารถชำระได้มากน้อยเพียงใด สะดวกชำระแบบรายเดือน หรือรายปี เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเงินของตนเองมากจนเกินไป ซึ่งค่าเบี้ยประกันภัยสุขภาพที่เหมาะสมควรจ่ายไม่เกิน 10-15% ของรายได้รวมทั้งปี
4.การคุ้มครอง
แน่นอนว่าสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามและต้องให้ความสำคัญอย่างละเอียดเลยก็คือ ความคุ้มครองของแผนประกัน โดยประกันสุขภาพที่ดีควรคุ้มครองทั้งในผู้ป่วยภายใน (IPD) ที่รักษาในโรงพยาบาลไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง และผู้ป่วยนอกที่ไม่ได้นอนพักฟื้นในโรงพยาบาล (OPD) เช่น การเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย ไข้หวัด หรือโรคตามฤดูกาลที่สามารถรับยาและกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ นอกจากนี้ควรเลือกความคุ้มครองสุขภาพแบบเหมาจ่ายที่ไม่จำกัดค่ารักษาพยาบาล ซึ่งจะครอบคลุมค่ารักษาทั้งอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ตลอดไปจนถึงโรคร้ายเเรงนั่นเอง
5.โรงพยาบาลที่รักษาได้
เทคนิคสุดท้ายที่ต้องศึกษาก่อนตัดสินใจเลือกแผนประกันภัยสุขภาพเลยก็คือ โรงพยาบาลที่สามารถรักษาได้ โดยเราแนะนำให้เลือกซื้อประกันที่มีโรงพยาบาลในเครือข่ายหลากหลายพื้นที่ เพื่อสามารถเข้ารักษาและใช้ในการเรียกร้องค่าสินไหมกับบริษัทประกันได้ทุกเมื่อในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน
นอกจากนี้อาจพิจารณาเลือกแผนประกันที่ให้สิทธิกับผู้ถือกรมธรรม์เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ทันที โดยที่ไม่ต้องสำรองจ่าย เพราะบางครั้งค่ารักษาอาจมีจำนวนสูงและกระทบต่อการเงินของคุณได้
ทั้งหมดนี้ก็เป็น 5 เทคนิคในการเลือกซื้อประกันสุขภาพอย่างไรให้คุ้มค่าที่พนักงานมนุษย์เงินเดือนสามารถนำไปพิจารณาเบื้องต้นก่อนตัดสินใจเลือกซื้อแผนประกันจากบริษัทต่างๆ เพื่อความเหมาะสมกับความต้องการของตนเองอย่างสูงสุด เพราะการทำประกันสุขภาพก็เปรียบเสมือนการมีหลักประกันความมั่นคงในอนาคตที่เราไม่ควรมองข้าม และควรทำไว้ตั้งแต่อายุยังน้อยนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก TQM ประกันสุขภาพ