xs
xsm
sm
md
lg

5 เซเลบร่วมสร้างมูลนิธิดัง ใช้ชื่อเสียงเพื่อช่วยเหลือสังคม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หากจะกล่าวถึง “เซเลบริตี” ภาพที่เรามักนึกถึงคือ ความร่ำรวย มีชื่อเสียง มีฐานะทางสังคม ที่จะเห็นในชุดเลิศหรูในงานอีเวนต์ หรือไลฟ์สไตล์ไฮโซในบ้านหลังงาม แต่บรรดาคนดังคนรวยเหล่านี้ ยังมีอีกหลากหลายมิติในตัวตน อย่าง เซเลบเหล่านี้ ที่นำเอาสิ่งที่เธอและเขามีเหลือมาเผื่อแผ่แบ่งปัน นำชื่อเสียงและการมีตัวตนในสังคม มาช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ด้วยการเข้าไปร่วมงานกับมูลนิธิดัง ช่วยสร้างความตระหนักถึงในเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นปัญหาในสังคมไทย


เริ่มจากเซเลบสาวรักสัตว์ ทายาทร้านทองฮั่วเซ่งเฮง “โม–นภัสนันท์ พรประภา” ภรรยาคนสวยของ แพท–ประกาสิทธิ์ พรประภา ที่คุณอาจจะเคยเห็นเธอในลุคหรูหราตามงานสังคม แต่อีกภาพที่เราชินตาไม่น้อยไปกว่ากันคือ ลุคสบายๆ วันธรรมดาที่เธอสนุกสนานอยู่กับครอบครัว และใช้เวลาไปกับสัตว์เลี้ยง อย่าง สุนัขตัวโปรด ซึ่งความรักสัตว์ของเธอก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแต่สัตว์เลี้ยงที่บ้านของเธอเท่านั้น แต่ยังเผื่อแผ่ความรักให้กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั่วโลก และยังปลูกฝังลูกสาวทั้งสองให้มีจิตใจเมตตากรุณา ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย


ไม่ว่าจะเป็น การช่วยรณรงค์เรื่องสภาพแวดล้อมและอนุรักษ์สัตว์ต่างๆ ของโพสต์ต่างๆ ในโซเชียลมีเดียของเธออยู่เป็นประจำ รวมถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมช่วยเหลือสัตว์ถูกทำร้าย พิการ บาดเจ็บ อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะ การให้การสนับสนุน The Voice มูลนิธิที่ให้การดูแลช่วยเหลือเหล่าสุนัขและแมว ทั้งเข้าไปดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา พามาดูแล รวมถึงช่วยโพสต์หาบ้านให้เหล่าน้องๆ ทั้งหลาย โดยสาวโมช่วยงานอย่างแข็งขันมานานหลายปี จนตอนนี้ได้รับตำแหน่ง Friend of The Voice ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแรงสำคัญ ที่จะช่วยลดปัญหาสุนัขและแมวจรจัดให้ลดลง และร่วมเป็น “เสียง” ให้เหล่าสัตว์ทั้งหลายที่พูดเองไม่ได้ มีสภาพชีวิตที่ดีขึ้น


ถัดมาเป็นเซเลบรุ่นเก๋า “ทิปปี้–สุพรทิพย์ ช่วงรังษี” ที่คุณอาจจะคุ้นเคยกับเธอในมาดเวิร์กกิ้งวูแมนคนเก่ง สาวสังคมคนสวย แต่งตัวมีสไตล์ หรูหราฟู่ฟ่าของสายงานอาชีพ PR Agency ที่ร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกมาแล้วมากมาย แต่ในฟากเพื่อสังคมเธอก็ลุยงานมาไม่น้อยเช่นกัน ไม่ว่าจะงานการกุศลต่างๆ ร่วมงานกิจกรรมช่วยสารพัดมูลนิธิ ทั้งยังเคยได้รับยกย่องจาก องค์การแคร์นานาชาติ ให้เป็น 1 ใน 60 ตัวแทนผู้หญิงนักพัฒนาจากทั่วโลก รวมทั้งเป็นกรรมการมูลนิธิรักษ์ไทย มูลนิธิที่ก่อตั้งขึ้นมานานกว่า 25 ปีแล้ว เพื่อสานต่องาน องค์กรแคร์นานาชาติ (ประเทศไทย) เพื่อร่วมสร้างชุมชนที่เข้มแข็งและช่วยเหลือบุคคลที่ด้อยโอกาส ทำงานในหลายด้าน ทั้งเรื่อง HIV ด้านการศึกษา ธุรกิจชุมชน เสริมอาชีพ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ผู้ประสบภัยธรรมชาติ ไปจนถึงด้านสิทธิมนุษยชน แรงงานข้ามชาติ


เธอได้ร่วมงานในหลากหลายโครงการ ร่วมลงพื้นที่ไปให้ความช่วยเหลือในชุมชนต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นย่านพื้นที่ชานเมืองที่เธอได้ไปดูเรื่องเด็กในชุมชน แรงงานข้ามชาติ จัดตั้งโรงเรียนให้เด็กๆ ทำคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น เดินทางไปพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ช่วยกลุ่มแม่บ้านพัฒนาผลิตภัณฑ์ ช่วยส่งเสริมอาชีพ หาช่องทางจำหน่ายผ้าทอให้กับกลุ่มชาวบ้านที่ภาคอีสาน หรือจะเป็นเข้าป่าร่วมทำฝายให้กับชุมชนในภาคเหนือ เรียกได้ว่าเธอขึ้นเหนือล่องใต้ไปเยือนมาทั่วทุกถิ่นที่ต้องการความช่วยเหลือ

ทิปปี้แชร์ประสบการณ์กับมูลนิธิรักษ์ไทยไว้ว่า “ที่เราไปในความเป็นจริงเรานึกว่าเราไปให้ ไม่ใช่หรอก เขาให้เราและเราก็ให้ตัวเองด้วย ดีที่สุดคือการทำประโยชน์ให้ตัวเอง การให้คุณค่าตัวเองแล้วก็ให้เวลากับตัวเอง ฉะนั้น พอได้ไปทำงานกับรักษ์ไทยแล้วก็ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่เราให้ไป มันสะท้อนกลับทุกสิ่งอย่างและมากกว่านั้นด้วยซ้ำไป”


ส่วนสาวเก่ง อย่าง “หนูดี-วนิษา เรซ” ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาดีกรีปริญญาโทจากฮาร์วาร์ด เธอมีบทบาทการทำงานเพื่อสังคมมาอย่างยาวนาน โดยได้ร่วมงานกับ UNICEF หน่วยงานของสหประชาชาติ ที่มีหน้าที่ส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองสิทธิของเด็กทั่วโลก มาหลายปี ทั้งร่วมในโครงการ Best Start เพื่อรณรงค์ให้สังคมเห็นความสำคัญของการพัฒนาเด็กปฐมวัย และเธอยังได้รับตำแหน่งเป็น Friend of UNICEF มาตั้งแต่ปี 2560 ต่อเนื่องยาวนานกว่า 5 ปีแล้ว


จากประสบการณ์ทำงานกับเด็กมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานของสมองและพัฒนาการเด็ก โดยทำงานกับเด็กเล็กเป็นหลัก เธอจึงได้เข้ามาช่วยเหลืองานของยูนิเซฟ เกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับช่วง 6 ปีแรกของชีวิต เพราะเป็นช่วงสำคัญที่สุดของการพัฒนาสมอง นอกจากนี้ หนูดีจะร่วมรณรงค์ให้พ่อแม่ผู้ปกครอง หันมาเลี้ยงดูลูกด้วยความรัก ความเข้าใจ และไม่ใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ


อีกหนึ่งเซเลบที่ทำงานช่วยเหลือสังคมมาโดยตลอด “ติ๊ก–อภิภาวดี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา” ที่ร่วมงานกับหลายมูลนิธิและองค์กรต่างๆ สร้างโครงการมากมาย ทั้งช่วยผู้คน สัตว์ ไปจนถึงทำเพื่อสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ โดยเธอได้รับเกียรติให้เป็น ทูตของมูลนิธิสร้างรอยยิ้ม องค์กรการกุศลทางการแพทย์ที่ไม่แสวงหาผลกำไร ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ทั่วโลก ทั้งร่วมงานกับ UNHCR ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน โดยเธอเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ กองทุนนักธุรกิจหญิงรุ่นใหม่เพื่อผู้ลี้ภัย ซึ่งสิ่งนี้ไม่เพียงแค่ตัวเธอเองเท่านั้น แต่ยังได้ปลูกฝัง 2 ลูกสาว เพลงรำไพ และพิณไพเราะ ให้มีจิตกุศลช่วยเหลือสังคมเช่นกัน


อีกหนึ่งเซเลบที่ทำงานช่วยเหลือสังคมมาโดยตลอด “ติ๊ก–อภิภาวดี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา” ที่ร่วมงานกับหลายมูลนิธิและองค์กรต่างๆ สร้างโครงการมากมาย ทั้งช่วยผู้คน สัตว์ ไปจนถึงทำเพื่อสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ โดยเธอได้รับเกียรติให้เป็น ทูตของมูลนิธิสร้างรอยยิ้ม องค์กรการกุศลทางการแพทย์ที่ไม่แสวงหาผลกำไร ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ทั่วโลก ทั้งร่วมงานกับ UNHCR ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน โดยเธอเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ กองทุนนักธุรกิจหญิงรุ่นใหม่เพื่อผู้ลี้ภัย ซึ่งสิ่งนี้ไม่เพียงแค่ตัวเธอเองเท่านั้น แต่ยังได้ปลูกฝัง 2 ลูกสาว เพลงรำไพ และพิณไพเราะ ให้มีจิตกุศลช่วยเหลือสังคมเช่นกัน

“ด้วยความที่เขาโตมาก็เห็นเราทำงานช่วยเหลือสังคมมาตลอด เวลาไปทำโครงการ ลงพื้นที่ ก็พาเขาไปด้วย ทำให้เขาซึมซับตรงนี้ไปเต็มๆ จนตอนนี้เขาทำก็ได้ลงมือทำโครงการกันเองแล้ว จากที่ของแม่แค่ไปช่วยงานคนอื่นเขา แล้วก็เน้นงานด้านมนุษย์และสังคม แต่ลูกสาวเขาอินกับเรื่องสัตว์และสิ่งแวดล้อมมากกว่า น้องทั้งสองร่วมกันทำโครงการ care for coral อนุรักษ์ปะการังและสัตว์น้ำ รวมตัวคนชอบดำน้ำไปช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติที่ชายหาดและท้องทะเล ที่ตอนนี้มีสมาชิกอยู่ 200-300 คนแล้ว มีจัดทริปพาไปปลูกปะการังที่เกาะเต่าและที่สัตหีบมาแล้วด้วยค่ะ”


ปิดท้ายกันที่ เซเลบหนุ่มมาดดี “เจย์ สเปนเซอร์” ที่ได้รับเลือกให้เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ให้กับ WWF ไทยแลนด์ องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล ที่ก่อตั้งมากว่า 60 ปีแล้ว ทำงานด้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตั้งแต่มหาสมุทร ทรัพยากรบนแผ่นดิน สัตว์ป่า การบริโภคอย่างยั่งยืน หยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ฯลฯ


เขาได้ร่วมงานช่วยเหลือองค์การมาหลายปีแล้ว ทั้งเข้าร่วมงาน ช่วยระดมทุน และร่วมเป็นผู้แทนแบรนด์ในกิจกรรมต่างๆ มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการอนุรักษ์เสือโคร่ง การขับเคลื่อนสร้างความเข้าใจในการอยู่ร่วมกัน ระหว่างภาคประชาชนในพื้นที่ร่วมกับสัตว์ป่า อย่าง ปัญหาระหว่างคนกับช้างป่าในอุทยานแห่งชาติกุยบุรี โดยเขากล่าวถึงเรื่องการร่วมงานกับ WWF นี้ว่า

“งานอนุรักษ์ไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียวหรือองค์กรแห่งเดียว แต่การผนวกให้มันอยู่ในชีวิตประจำวันของเราได้นั้น เป็นส่วนสำคัญที่จะสร้างโลกของเราให้น่าอยู่มากขึ้น ทุกคนมีส่วนช่วยกันได้ เราอาจจะไม่จำเป็นต้องเข้าป่าหรือปลูกต้นไม้บ่อยๆ แต่เราใช้ชีวิตบนวิถีที่ไม่ทำร้ายโลก ลดการใช้ถุงพลาสติก หรือไม่บริโภคอะไรที่เป็นสัตว์ป่า การส่งต่อโลกที่ดีที่น่าอยู่ให้กับคนรุ่นต่อไป เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่รุ่นเราควรทำ”


กำลังโหลดความคิดเห็น