xs
xsm
sm
md
lg

“รริส อยู่วิทยา” หนุ่มนักบริหารรุ่นใหม่ ที่ใช้ “เทคโนโลยี” ปลดล็อกสารพัดปัญหา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แม้จะไม่ได้ร่ำเรียนมาสายตรงด้านบัญชีหรือไอที แต่เพราะเป็นคนชอบคุย ชอบซักถาม และหาความรู้ในเรื่องต่างๆ จนรู้ลึก รู้จริง จึงกลายเป็นแต้มต่อที่ช่วยเติมเต็มการทำงานของ​​ “รริส อยู่วิทยา” ดีซีอีโอคนเก่งแห่ง Rapid Capital (แรพพิด แคปิตอล) ผู้ให้บริการสินเชื่อบนแพลตฟอร์มดิจิทัลให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

“ด้วยเนื้องานที่เน้นการพัฒนาแอปฯ ผมเลยต้องไปเกี่ยวข้องกับแทบทุกแผนกในบริษัท จากตอนแรกที่มาเป็น CFO ดูแลเรื่องการเงิน เพราะเคยมีพื้นฐานทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านบัญชี ให้กับบริษัทต่างๆ อยู่เป็นสิบปี แต่พอมาทำงานจริง กลายเป็นว่าเราต้องไปดีลกับฝั่งไอที ซึ่งด้วยบทบาทของ CFO อาจจะไม่เหมาะ ตอนหลังผมเลยขยับมาเป็นดีซีอีโอที่ดูแลภาพรวม”



อย่างไรก็ตาม รริสออกตัวก่อนว่า แม้จะเรียนจบมาด้านการจัดการ แต่เพราะว่าพื้นฐานเป็นคนชอบคุย ชอบซักถาม เวลาอยากรู้เรื่องอะไร ก็จะศึกษาจริงจัง ซึ่งบัญชีก็เป็นหนึ่งในวิชาที่เขาได้ความรู้ติดตัวจากการศึกษาเอง

“สมัยเรียน ผมมีเรียนวิชาบัญชีพื้นฐานนะครับ แต่ผลการเรียนไม่ดีเท่าไหร่ แค่พอผ่านมาได้ แต่พอมาทำงาน ผมเริ่มศึกษาเองจนเข้าใจ และได้มาทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านบัญชีอยู่ร่วม 10 ปี เป็นที่ปรึกษา​ วางแผน​ และให้คำแนะนำเรื่องภาษีกับอาชีพเฉพาะ เช่น หมอ สถาปนิก ก็เลยมีความรู้ติดตัว”


นอกจากเรื่องบัญชี เขายังมีความสนใจในเทคโนโลยี และแกดเจ็ตต่างๆ ซึ่งเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต แต่ยังสนใจศึกษาไปถึงแก่นของเทคโนโลยี

“พอต้องมาทำงาน ด้วยความที่ธุรกิจเราคือ การพัฒนาแอปพลิเคชัน ดังนั้น ผมเลยค่อนข้างเข้าใจกระบวนการพัฒนาแอปฯ ที่ต้องแก้ Pain Point บางอย่างให้กับผู้ใช้งาน ขณะเดียวกัน ก็พยายามหาโซลูชันตรงกลางที่ลงตัวสำหรับทุกฝ่าย บางครั้งฝั่งบริหารอาจจะมีโจทย์ในใจว่าต้องการอะไร แต่ก็อาจจะสื่อสารกับฝั่งไอทีไม่เข้าใจ หรือบางทีฝั่งที่พัฒนาแอปฯ ก็อาจจะติดปัญหาตรงส่วนไหน ผมก็เข้าไปเป็นตัวกลางว่าจะทำอย่างไรให้ UX (User Experience) และ UI (User Interface) ออกมาใช้งานง่าย”


อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วแอปฯ ที่ผู้บริหารหนุ่มอยู่เบื้องหลัง มีหน้าที่อย่างไร รริสสรุปให้เข้าใจง่ายว่า “บริษัทของเราให้บริการ สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ลูกค้าของเรา คือกลุ่มเจ้าของธุรกิจรถยนต์มือสอง โดยที่แอปฯที่เราพัฒนาขึ้นมา ก็จะอำนวยความสะดวกให้ทั้งฝั่งลูกค้า ตั้งแต่เริ่มขอสินเชื่อ จนถึงหลังได้รับสินเชื่อ ลูกค้าสามารถบริหารบัญชีของตัวเองได้ง่ายๆ ผ่านหน้าจอ ไม่ว่าต้องการเช็กข้อมูลต่างๆ วงเงิน ยอดชำระรายเดือน ดอกเบี้ย ยอดค้าง หรือ จะปิดยอดก็ทำได้ง่ายๆ โดยการสแกนชำระผ่านแอปฯ ขณะที่ฝั่งบริษัทเองก็สะดวกสบาย โดยที่แอปฯของเรา จะครอบคลุมตั้งแต่ลูกค้ายื่นขอสินเชื่อ จนถึงโอนเงินกู้ให้ลูกค้า คำนวณดอกเบี้ย รับชำระเงิน และเก็บ Data ทำให้เห็น Customer Data เอาไปต่อยอดได้ เพราะ Rapid Capital ให้บริการและดำเนินการทุกขั้นตอนบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ตั้งแต่ขาเข้า (มากู้) จนถึงขาออก (มารับทะเบียนรถคืน)”

รริสบอกว่าบริษัทใช้เวลา 2 ปี ในการพัฒนาแอปฯ มาเรื่อยๆ โดยตั้งต้นจากการมองว่าอะไรคือ Pain Point ที่เกิดขึ้น แล้วเราจะนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาได้อย่างไร ขณะเดียวกัน ก็นำเทคโนโลยีมาลด Human error ลดขั้นตอนในการทำงาน

“สโลแกนของบริษัทเราคือ Faster, Better, Cheaper และ Smarter ซึ่งเหมือนกับองค์กรของเราที่ใช้คนน้อย ได้ปริมาณงานที่เยอะ มีประสิทธิภาพ แถมรวดเร็ว แม่นยำ เพราะเราเน้นเอาเทคโนโลยีมาช่วย ผมมองว่าการลงทุนในเทคโนโลยีเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ​เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เหมือนการเขียนสมการ ถ้ามีเทคโนโลยีที่ถูกต้องตั้งแต่แรก ผลลัพธ์ของ 1+1 จะเท่ากับ 2 เสมอ แต่ถ้าใช้คนเมื่อไหร่ บางครั้งผลผลลัพธ์อาจจะเป็นอย่างอื่น”


มาถึงสไตล์การทำงานของเขา เจ้าตัวบอกว่าเป็นดีซีอีโอที่ใจดี ไม่ดุ ถ้ามีปัญหา ขอแค่ยอมรับแล้วมาช่วยกันหาทางแก้ไข อาจเพราะเขาเองก็เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างให้อิสระ สมัยเรียนก็ไม่ใช่เด็กเรียน มีแอบเที่ยวบ้างตามประสา

“ผมมองว่า การที่ได้ลองทำอะไรหลายอย่างตั้งแต่เด็ก เหมือนได้เติมประสบการณ์ให้ชีวิตนะ ไม่ต้องกลัวว่าจะมาเสียคนตอนแก่ (หัวเราะ)”


สำหรับไลฟ์สไตล์วันว่างของเขา ถ้าเป็นก่อนโควิด-19 ก็ชอบแข่งรถและ จัดทริปไปเล่นสโนว์บอร์ดที่ต่างประเทศ แต่พอสถานการณ์ไม่อำนวยก็เปลี่ยนมาเที่ยวในประเทศ บวกกับเพิ่งมีลูก เลยต้องรับหน้าที่คุณพ่อป้ายแดง

“ผมกับภรรยาช่วยกันเลี้ยงลูกเอง โดยไม่มีพี่เลี้ยง ฉะนั้น ช่วงโควิด-19 เวลาส่วนใหญ่เลยเน้นให้กับลูก ถ้าจะมีเวลาส่วนตัวนั่งจิบไวน์กับเพื่อน ก็คือต้องหลังส่งลูกเข้านอนเรียบร้อย นอกจากจิบไวน์ งานอดิเรกอีกอย่างที่เริ่มทำหลังโควิด-19 คือ ดื่มกาแฟ เดิมทีผมไม่ดื่ม แต่พาร์ตเนอร์ที่ไปงานไวน์ที่สเปนชวนให้ดื่มเลยติดใจ พอช่วงโควิด-19 เลยไปซื้อเครื่องมาชงเองที่บ้าน ผมว่ากาแฟกับไวน์เหมือนกัน มีอรรถรสเรื่องของกลิ่น ผมก็เลยเพลินกับการหาเมล็ดดีๆ มาชงดื่ม”

ปิดท้ายด้วยเป้าหมายในอนาคต เขาทิ้งท้ายว่า​ เขาอยากพัฒนาบริษัทให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ

“วันนี้เราอาจเป็นเหมือนไอโฟนรุ่นแรก ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ ตราบที่โลกเทคโนโลยีไม่มีวันหยุด เราต้องพัฒนาแอปฯ ไปเรื่อยๆ ให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด”


กำลังโหลดความคิดเห็น