Top Gun: Maverick หรือ Top Gun 2 สร้างเป็นภาคต่อจาก Top Gun แรกของ โทนี สกอตต์ ที่ออกมาในปี 1986 ตอนนั้นทอม ครูส ยังหนุ่ม และได้บทนำในหนังเป็นเรื่องที่ 4 เท่านั้น
Top Gun รุ่นออริจินัลได้รับการยกย่องให้เป็นปรากฏการณ์ของภาพยนตร์โมเดิร์น คลาสสิก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของซาวนด์แทร็ก การแสดง บุคลิกของตัวละคร รวมทั้งบทพูดที่คมคาย และฉากเหาะเหินเดินอากาศที่ทำได้ดีแม้มีเทคนิคไม่มากเท่าปัจจุบัน
ผู้กำกับรุ่นใหม่ หยิบยกเอาเรื่องราวเมื่อ 36 ปีที่แล้วมาสร้างเป็นภาคต่อ โดยใช้เวลาถึงสองปีกว่าจะถ่ายทำเสร็จ เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 เขากล้าที่จะใช้ตัวเอกหน้าเดิม อย่าง ทอม ครูส ที่กาลเวลาทำอะไร (ใบหน้า) ของเขาไม่ได้ กลับมาอยู่หลังห้องเครื่องบินอีกครั้ง
เสียงจากแฟนๆ ที่เคยชื่นชอบ Top Gun ออริจินัล รวมทั้ง พวกที่เกิดไม่ทัน แล้วมาดูรอบใหม่เลย ล้วนออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า ชื่นชอบ แฟนรุ่นเก่าบอกว่า สมกับที่รอคอยมา 36 ปี ขณะที่แฟนหนังรุ่นใหม่ก็ได้ตื่นเต้นไปกับเทคนิคแพรวพราวที่ โจเซฟ โคซินสกี ใส่ลงไปในภาคใหม่
แม้เรื่องราวจะไปออกแนวร็อก แอนด์ โรลล์ เช่นผลงานของ โทนี สกอตต์ แต่นอกจากเทคนิคภาพยนตร์รุ่นใหม่ๆ ที่ใส่เข้าไปแล้ว โจเซฟ ก็พยายามสะท้อนเรื่องราวจากออริจินัลมาให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะชุดที่คาแรคเตอร์หลักๆ สวมใส่ แล้วก็เครื่องบิน เอฟ-18 ออร์เน็ตเจ็ตรุ่นเดิม แม้ว่าปัจจุบันทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหมดแล้ว ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ในกองทัพสหรัฐ จะใช้เครื่องแบบที่มีเทคโนโลยีพลางตัว รวมทั้งอากาศยานไร้คนขับ อย่าง โดรน
สถานการณ์ทางทหารเองก็เปลี่ยนไป อย่าง สมัย Top Gun ออริจินัลนั้น สร้างออกมาในช่วงที่สงครามเย็นระหว่างสองขั้วอำนาจกำลังเข้มข้น ส่วนในภาคใหม่ ตัวเอกอย่างทอม ครูส เตรียมพร้อมที่จะเกษียณตัวเอง เขาต้องรับการเปลี่ยนแปลงนี้ในชีวิตให้ได้
สำหรับ แอนโทนี เดวิด ลีห์ตัน สกอตต์ หรือ โทนี สกอตต์ น้องชายแท้ๆ ของ เซอร์ริดลีย์ สกอตต์ ผู้กำกับหนังดังๆ มากมาย ตั้งแต่ Alien (1979), Blade Runner (1982) The Martian (2015), Thelma & Louise (1991), Gladiator (2000) และ Black Hawk Down (2001)
ขณะที่ตัวโทนีเอง ก็สร้างชื่อกับหนังมากมายเช่นกัน ทั้งในฐานะผู้กำกับ ผู้สร้าง นักแสดง คนเขียนบท และตัดต่อ ไม่ว่าจะเป็น Top Gun (1986), Beverly Hills Cop II (1987), Days of Thunder (1990), The Last Boy Scout (1991), True Romance (1993), Crimson Tide (1995), Enemy of the State (1998), Man on Fire (2004), Déjà Vu (2006) และ Unstoppable (2010)
เขาศึกษาจบจากรอยัล คอลเลจ ออฟ อาร์ต ในกรุงลอนดอน เช่นเดียวกับพี่ชาย และทั้งคู่ก็กลายเป็น 2 ผู้กำกับชาวอังกฤษที่ไปประสบความสำเร็จในฮอลลีวูด เช่นเดียวกับผู้กำกับร่วมชาติในรุ่นใกล้ๆ กันอีกหลายคน
เคทีย์ ริช จากนิตยสารซีเนมา เบลนด์ บอกว่า โทนี มีเอกลักษณ์ในการเลือกมุมกล้องแบบบ้าระห่ำ ซึ่งตัวเขาเป็นคนบอกเองในบทสัมภาษณ์ปี 2009
“มันเป็นเรื่องของพลังงานบางอย่าง และเป็นแรงผลักดันให้เรื่องราวดำเนินไป ผมคิดว่า ภาพยนตร์จะต้องเป็นเรื่องตื่นเต้นในทุกองค์ประกอบ แน่นอนว่า หลักไ มาจากนักแสดง ที่จะต้องสวมบทให้ดูดรามาที่สุด และมุมกล้องก็สำคัญเช่นกัน เหมือนไอซิงบนหน้าเค้ก ผมต้องการให้หนังต้องตาต้องใจคนดู ด้วยการเลือกมุมกล้องที่แตกต่าง อาจจะต้องถ่ายฉากเดียวกันสัก 3 เทค ซึ่งนักแสดงไม่มีปัญหาอะไร บางครั้งมุมมันก็ต่างกันสุดโต่ง แต่นั่นคือธรรมชาติในการทำงานของผม”
การเลือกนักแสดงของโทนี ก็คือ การบอกให้ฝ่ายแคสติงเลือกให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด แบบที่ยึดโยงกับโลกแห่งความเป็นจริง “นั่นคือสูตรสำเร็จของผมเลย ถ้าคุณเคยชมงานของผม คุณจะเห็นด้านมืดในคาแรคเตอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของบรูซ วิลลิส ใน Last Boy Scout หรือเดนเซล วอชิงตัน ใน The Taking of Pelham 123 ผมคิดว่า ความกลัว หรือมุมมองเกี่ยวกับความกลัวของเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดในชีวิตการทำหนังของผม
“ขณะเดียวกัน ความกลัวก็เป็นแรงขับ บางครั้งผมก็สนุกสนานกับความกลัวนั้น เหมือนการได้ปีนภูเขาสูงๆ ความกลัวเหมือนภาพแอบสแทร็กต์ คุณรู้สึกได้ แต่จับต้องไม่ได้”
มาโนห์ลา ดาร์จิส แห่งนิวยอร์กไทม์ส บอกว่า โทนี สกอตต์ เป็นหนึ่งในผู้กำกับรุ่นป๊อปร่วมสมัยก้าวหน้า “เขาทำหนังคุณภาพที่ทำเงินได้เป็นถุงเป็นถังด้วย”
ด้าน โจเซฟ โคซินสกี เติบโตมาจากสายนักทำคอมพิวเตอร์กราฟฟิก และการสร้างสรรค์ภาพจากคอมพิวเตอร์ (ซีจีไอ) ซึ่งการเริ่มงานกำกับของเขาผลงานแรก เป็นงานโปรดักชันโฆษณาทางทีวีที่เน้นผลงานซีจีไอ อย่าง Starry Night ที่ใช้เป็นโฆษณาเกมของไมโครซอฟท์ Halo 3 และหนังโฆษณาที่ได้รางวัลหนังยอดเยี่ยม Mad World (ใช้โฆษณาเกม Gears of War) ส่วนหนังใหญ่เป็นหนังไซไฟ อย่าง Tron: Legacy (2010) ภาคต่อของ Tron จากปี 1982 ก่อนจะมาถึง Top Gun: Maverick ซึ่งโจเซฟ ทำแบบบูชาต้นฉบับโดยใส่เทคนิคภาพยนตร์สมัยใหม่เข้าไป
แม้ว่า ความประทับใจ จะเทียบชั้นกับฉบับออริจินัลไม่ได้ แต่ก็ไม่เลวร้ายถึงขนาดที่แฟนๆ ควรจะเมินหนีหรอกน่า