เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน กับอัลบัมสุดฮิตของ “ทีน่า เทอร์เนอร์” Private Dancer ที่มีเพลงฮิต อย่าง What's Love Got to Do With It และ Better Be Good to Me ก่อนที่เธอจะหายไปจากวงการในปี 1984 หลังจากสร้างชื่อทางการแสดงใน Mad Max Beyond Thunderdome และ Last Action Hero
ในปี 1991 ทีน่าและอดีตสามีที่ทำเพลงร่วมกัน ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าไปอยู่ใน ร็อก แอนด์ โรลล์ ฮอลล์ ออฟ เฟม และในปี 1993 มีภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเธอ อย่าง What's Love Got to Do with It ที่มี แองเจลา บาสเส็ตต์ นำแสดง ได้รับการเสนอชื่อให้ชิงรางวัลออสการ์
ทีน่าออกอัลบัมล่าสุด Twenty Four Seven ในปี 1999 แล้วก็ไม่ได้ทำเพลงอีกเลยตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเธออาศัยอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ กับสามีโปรดิวเซอร์ “เออร์วิน บาค” ที่แต่งงานใหม่ในปี 2013 และได้โอนสัญชาติเป็นชาวสวิส พร้อมรีไทร์จากวงการเพลงไปแล้ว
ด้าน “มาดอนนา” ที่เข้าสู่วงการเพลงในปี 1983 พร้อมทัศนคติแบบไม่สนหมู่สนจ่า มีเพลงฮิต อย่าง Like a Virgin และ Who's That Girl รวมทั้งเป็นผู้ปฏิวัติทางด้านแฟชั่น เส้นทางในวงการดนตรีของดีว่าเจ้าของ 7 รางวัลแกรมมี่ช่างยาวนาน โดยเธอเปลี่ยนรูปแบบทางดนตรีไปเรื่อย
ปัจจุบันเธอก็ยัง “อิน” อยู่ในวงการ และมีอะไรใหม่ๆ ออกมาอยู่เรื่อย พอๆ กับหน้าใหม่ของเธอ
ทุกคนจำ “มารายห์ แครี” ป๊อปสตาร์ที่ร้องเพลงรักเอาไว้มากมาย เมื่อย้อนไปในทศวรรษที่ 1990 มารายห์นับเป็นักร้องรุ่นใหม่วัยกระเตาะ ที่มีเสียงทรงพลังที่แตกต่างจากดีว่ารุ่นเดียวกันในขณะนั้น บทเพลง Love Takes Time และ Vision of Love ของเธอกลายเป็นเพลงฮิต และนำพาเธอสู่เวทีรางวัลแกรมมี่
มารายห์ ช็อกวงการด้วยการแต่งงานกับผู้บริหารโซนี่ มิวสิค “ทอมมี มอตโตลา” ที่อายุห่างจากเธอ 21 ปี เธอมักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับ วิทนีย์ ฮุสตัน ในฐานะคู่แข่งสายพาวเวอร์เฮาส์
เธอเลิกรากับทอมมี และมีชีวิตแต่งงานที่ไม่ประสบความสำเร็จอีก 2-3 ครั้ง อัลบัมเพลงฮอลิเดย์ที่ออกในช่วงคริสต์มาสของเธอปีหลังๆ ไม่ค่อยไปได้สวยนัก คนเริ่มสงสัยในความสามารถของเธอ รวมทั้งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก จนต้องเข้ารับการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อจะให้ผอมลง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอพยายามทำเพลงร่วมกับ เจย์-ซี ออกคอนเสิร์ตกับ ไลโอเนล ริชชี แต่ก็มีข่าวร้ายคือ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยออกมาฟ้องเธอที่ไม่จ่ายค่าตัวตามสัญญาจ้าง แล้วก็ยังมีข่าวไม่ดีของเธอ เกี่ยวกับเรื่องการคุกคามทางเพศอีก
สำหรับ “เซลีน ดิออน” ที่ทำเพลงส่วนใหญ่ในบ้านเกิดที่แคนาดา ก่อนที่จะมาโด่งดังในสหรัฐฯ จนกระทั่ง ทศวรรษที่ 1990 เธอก็กลายเป็นป๊อปสตาร์ที่โด่งดังไปทั่วโลก กับอัลบัมเพลงภาษาอังกฤษอัลบัมแรก Unison ก่อนจะมีเพลงสุดฮิต อย่าง The Power of Love, My Heart Will Go On แล้วก็ Because You Loved Me
ชีวิตของเธออยู่ในความโศกเศร้า เมื่อ เรเน แองเจลิล สามีของเธอเสียชีวิตลง แถมอีก 2 วันต่อมา แดเนียล ดิออน พี่ชายของเธอก็เสียชีวิตอีกคน เซลีนปฏิเสธทุกงานที่เข้ามา และใช้ชีวิตอยู่กับลูกๆ ไม่นาน เธอกลับมาแสดงในเวกัส พอร้องเพลง All By Myself เธอถึงกับทรุดลงไปพร้อมน้ำตานองหน้า
ล่าสุด ฝรั่งเศสได้มีการสร้างภาพยนตร์ที่นำแรงบันดาลใจจากชีวิตของเซลีน ซึ่งกลายเป็นเรื่องฮิตในเทศกาลหนังเมืองคานส์ และมีข่าวว่าปีหน้าเธอจะแสดงเป็นตัวเองในหนังฮอลลีวูดเรื่องใหม่ All Coming Back to Me
“พอลลา อับดุล” โด่งดังขึ้นมาในวงการเพลง ตั้งแต่ปี 1988 ด้วยอัลบัม Forever Your Girl ที่มีเพลงฮิต Cold Hearted, Knocked Out และ Straight Up ที่นับว่าเป็นสไตล์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในวงการ
อย่างไรก็ตาม ชีวิตในวงการดนตรีของพอลลาดูช่างแสนสั้น เธอต้องต่อสู้กับการควบคุมการกินและน้ำหนัก รวมทั้ง ปัญหาเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บกระดูกสันหลัง ซึ่งเป็นผลกระทบจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้เธอเกือบจะพิการและต้องเข้ารับการผ่าตัดหลายครั้ง
ในปี 2002 พอลลาปรากฏตัวในฐานะกรรมการในรายการ American Idol ซึ่งทำให้เธอกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง กระทั่ง บอกศาลากับรายการในปี 2009 เธอเปิดเผยว่า ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา เธอติดยาแก้ปวดจนต้องไปเข้ารีแฮบให้สามารถเลิกได้ ในปี 2013 พอลลากลับคืนสู่แวดวงบันเทิงอีกครั้ง ด้วยการเป็นกรรมการให้ So You Think You Can Dance
หลังหายดีจากการติดยาแก้ปวด เธอพยายามกลับคืนเวทีด้วยการไปร่วมคอนเสิร์ตกับ วงนิวคิดส์ออนเดอะบล็อก และบอยซ์ทูเมน นอกจากนี้ ยังไปร่วมแสดงซีรีส์ของเอบีซีเรื่อง Fresh Off the Boat อีกด้วย
ด้าน “แฌร์” นับว่าเป็นป็อปดีว่าสุดอมตะ ยาวนานกว่าใครๆ ทั้งหมด โดยเริ่มมีอัลบัมเดี่ยวอัลบัมแรกตั้งแต่ปี 1965 All I Really Want to Do และยังออกอัลบัมคู่กับอดีตสามี ซอนนี โบโน Look at Us และสร้างสรรค์ดนตรีด้วยกันเรื่อยมาในยุค 70s
แฌร์ เสียสมาธิกับการทำเพลงไปบ้าง เมื่อผันตัวไปเป็นนักแสดง ตั้งแต่เรื่อง Mask, Silkwood และ Moonstruck ก่อนจะหาทางกลับมาได้ในอัลบัม Cher ปี 1987 และอัลบัมต่อมา Heart of Stone ที่มีเพลงดัง อย่าง If I Could Turn Back Time และอัลบัมที่ชนะรางวัลแกรมมี่ อย่าง Believe
ตลอด 50 กว่าปีในวงการเพลงและการแสดง แฌร์ไม่เคยหยุดสร้างความประทับใจ ในปี 2017 เธอออกซิงเกิล Ooga Booga ประกอบซีรีส์ Home: Adventures with Tip & Oh ที่มีมิวสิควิดีโอเป็นแอนิเมชั่นเก๋ๆ ปัจจุบันเธอยังมีการแสดงในเวกัสอยู่เรื่อยๆ เรียกว่า อายุไม่ใช่อุปสรรคในชีวิตของดีว่าผู้เป็นตำนานเลย
เราจะพูดถึงป็อปดีว่าโดยไม่กล่าวถึง “กลอเรีย เอสเตฟาน” ไม่ได้ เธอมาอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์ในปี 1977 ตอนที่เข้าร่วมกับ วงไมอามี ซาวนด์ แมชชีน ในฐานะนักร้องนำ ต่อมาวงได้ยุบไป (แต่ยังเล่นเป็นแบคอัพให้กลอเรียทุกอัลบัม) กลอเรียได้ไปต่อในฐานะศิลปินเดี่ยว โดยมีเพลงฮิต เช่น Conga, 1-2-3, Rhythm is Gonna Get You รวมถึง Cuts Both Ways แล้วก็เพลงในภาษาสเปนอีกจำนวนหนึ่ง
ดีว่าสาวเจ้าของสามรางวัลแกรมมี่ นับว่าเป็นหนึ่งในศิลปินละตินอเมริกันแถวหน้าคนหนึ่ง ผู้ที่ถางเส้นทางให้ศิลปินรุ่นถัดมา อย่าง เซเลนา ควินตานิลลา ชากีรา ริกกี มาร์ติน และอีกมากมาย ภายหลังเธอมาเขียนหนังสือสำหรับเด็ก The Magically Mysterious Adventures of Noelle the Bulldog และ Noelle's Treasure Tale: A New Magically Mysterious Adventure แล้วเขียนหนังสือทำอาหาร Estefan Kitchen
ในปี 2013 กลอเรียร้องคัฟเวอร์เพลงฮิตของตัวเองในอัลบัมใหม่ The Standards ปัจจุบันเธอผันตัวไปทำการกุศลกับ มูลนิธิเอสเตฟานเสียมาก โดยส่วนใหญ่จะช่วยเหลือคนที่ทุกข์ยากในไมอามี