ถ้าไม่มีสถานการณ์โรคระบาด ตอนนี้หลายคนคงเริ่มแพลนทริปเที่ยว ซึ่งหนึ่งในท็อปแพลนช่วงซัมเมอร์ของหลายคน คงหนีไม่พ้นการไปทะเล หรือบางคนอาจจะอยากลองเปิดประสบการณ์ใหม่ ด้วยการล่องเรือยอชต์ไปอยู่ท่ามกลางสายลมและแสงแดด พร้อมชมความงามของเกาะต่างๆ
แน่นอนว่า หากนึกถึงผู้ให้บริการเรือยอชต์หรูระดับ 5 ดาว ที่เป็นเจ้าแรกๆ ของเมืองไทย ก็ต้องนึกถึง “บลู โวยาจ ไทยแลนด์” (Blue Voyage Thailand) ที่ก่อตั้งโดย ปิ๊ง-ฐิตวัฒน์ วัชโรทัยและภรรยา
“ธุรกิจนี้เกิดจากความชอบเที่ยวของผมและภรรยา โดยเฉพาะ การออกเรือไปเที่ยวชมความงามของทะเล ด้วยความที่เราเป็นคนที่พิถีพิถันกับทุกเรื่องในการใช้ชีวิต เวลาไปเที่ยวเราก็มักจะมองหาประสบการณ์แบบลักซ์ชัวรี ซึ่งถ้าย้อนไป 8-9 ปีที่แล้ว ยังไม่มีธุรกิจเช่าเรือยอชต์แบบที่เราทำในไทยเท่าไหร่ ถ้ามีก็อาจจะเป็นการเช่าเรือกับเจ้าของเรือโดยตรง อารมณ์คล้ายๆ Airbnb ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มตัวกลางสำหรับโพสต์และจองห้องพักผ่านเว็บไวต์และแอปฯ”
“พอเราเห็นโอกาสตรงนี้ และตัดสินใจนำเข้าเรือยอชต์แบบครุยเซอร์จากสหรัฐอเมริกามาเพื่อใช้เอง และให้บริการเช่าเรือยอชต์แบบเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อการท่องเที่ยว โดยเราให้บริการระดับพรีเมียมแบบเต็มรูปแบบ มีให้พร้อมทั้งห้องนอน ของว่างเครื่องดื่ม มีกัปตันและลูกเรือที่มากประสบการณ์ พาตระเวนไปเที่ยวตามเกาะต่างๆ” ปิ๊งฉายภาพให้เห็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจ
ด้วยแนวคิดของธุรกิจที่แปลกใหม่ และตอบโจทย์คนเดินทางได้เป็นอย่างดี ทำให้ Blue Voyage Thailand ได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี จนสามารถต่อยอดธุรกิจ ขยายการให้บริการ ด้วยการมีเรือที่หลากหลายขนาด มีบริการในหลายจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก โดยเฉพาะ พัทยา ภูเก็ต สมุย และกระบี่
“เหตุผลที่เราตัดสินใจซื้อเรือของตัวเอง เพราะต้องการควบคุมคุณภาพ ตั้งแต่การดูแลและซ่อมบำรุงเรือให้อยู่ในมาตรฐาน มีการเทรนบุคลากรที่จะมาให้บริการบนเรือ เพราะเป้าหมายสูงสุดของเราคือ นำเสนอบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟเทียบเท่าโรงแรม และมาตรฐานของผู้ให้บริการเรือยอชต์ระดับโลก”
ด้วยโจทย์นี้เอง ทำให้ผู้บริหารคนเก่งใส่ใจกับทุกรายละเอียด เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบมากที่สุดให้กับนักเดินทาง
“บริการของ Blue Voyage Thailand จะเป็นแบบ Full Service ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะเช่าเรือรูปแบบไหน เช่าแบบครึ่งวัน, เต็มวัน หรือแบบค้างคืน บนเรือเราจะมีบริการเครื่องดื่ม ของว่าง อุปกรณ์ขั้นพื้นฐานเวลาอยู่บนเรือ เช่น อุปกรณ์ดำน้ำ ผ้าเช็ดตัว ส่วนอาหารลูกค้าสามารถสั่งเพิ่ม โดยระบุได้เลยว่าตั้งแต่แบบแคเทอริงหรือมีเชฟขึ้นไปทำอาหารให้ และถ้าอยากมีกิจกรรมพิเศษบนเรือ เช่น จัดงานวันเกิด ขอแต่งงาน ทาง Blue Voyage Thailand ก็สามารถช่วยจัดการ ถ้าลงไปเที่ยวตามเกาะ ก็จะจัดเซตปิกนิกให้”
ปัจจุบัน Blue Voyage Thailand มีเรือให้บริการทั้งหมด 11 ลำ เพื่อให้ครอบคลุมกับ Budget ของนักเดินทาง โดยหลักๆ เรือที่ Blue Voyage Thailand ให้บริการ จะมีเรือหางยาว ซึ่งถือเป็นเรือหางยาวพรีเมียมลำแรกของโลกก็ว่าได้ ซึ่ง Blue Voyage Thailand ต่อขึ้นมาเอง เป็นเรือหางยาวแบบมีห้องน้ำในตัว ใช้ช่างฝีมือจากภูเก็ต ตอนนี้ให้บริการอยู่ที่กระบี่ ค่าบริการเริ่มต้น สำหรับครึ่งวัน อยู่ที่ประมาณ 6,000 บาท
ถัดมาคือ เรือคาร์ทามารัน ที่มีตาข่ายข้างหน้าเรือ ซึ่งเป็นเรือที่ค่อนข้างนิยม จึงมีบริการในทุกจังหวัดที่ Blue Voyage Thailand ให้บริการ ค่าบริการเริ่มต้นสำหรับครึ่งวันอยู่ที่ 35,000 บาท ส่วนเรือซูเปอร์ยอชต์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ขนาด 102 ฟุต ค่าบริการเริ่มต้นอยู่ที่วันละ 350,000 บาท
สำหรับเรื่องความปลอดภัย ปิ๊งย้ำว่าถ้ามาใช้บริการของ Blue Voyage Thailand ก็หายห่วง เพราะนอกจากบริการระดับ 5 ดาว ยังให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยไม่แพ้กัน
“ทุกครั้งที่เรือจะล่องทะเล จะมีลูกเรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับข้อปฏิบัติ เพื่อความปลอดภัยในการใช้เรือเหมือนเวลาขึ้นเครื่องบิน ระหว่างที่เรือแล่นก็จะมีลูกเรือคอยดูแลความเรียบร้อย ว่าบริเวณไหนไม่ควรยืนขณะเรือวิ่ง หรือควรจะปฏิบัติอย่างไรถ้าเจอคลื่นลมแรง มีอุปกรณ์ชูชีพ ห่วงยาง เป็นไปตามมาตรฐานการเดินเรือตามหลักสากล โดยเรือแต่ละประเภทจะมีลูกเรือไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับประเภทของเรือ เช่น ถ้าเป็นเรือหางยาวจะมีลูกเรือ 2 คน ส่วนเรือคาร์ทามารันมีเจ้าหน้าที่ 4 คน และถ้าเป็นซูเปอร์ยอชต์มีเจ้าหน้าที่ประจำเรือ 6 คน
แต่ด้วยสถานการณ์โควิดทำให้ Blue Voyage Thailand ซึ่งเป็นธุรกิจท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบทั้งจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง และยังต้องเจอกับการทำสงครามราคาเพื่อช่วงชิงลูกค้า แต่ปิ๊งเชื่อว่า ด้วยบริการของ Blue Voyage Thailand ที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร ยังคงเป็นจุดเด่นที่ทำให้ลูกค้าวางใจมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
“อย่างช่วงนี้เราก็มีลูกค้าจองเข้ามาเต็มนะครับ แต่ช่วงที่มีการล็อกดาวน์ ก่อนหน้านี้ อันนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากใช้โอกาสช่วงว่างๆ นั้นกลับมาปรับปรุงดูแลเรือ พร้อมยกระดับงานบริการของเราให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่า ลูกค้าที่มาใช้บริการของเรา จะได้รับประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากเรือลำอื่น”
สุดท้ายนี้ ปิ๊งเชื่อว่าไลฟ์สไตล์การล่องเรือ จะเป็นเทรนด์ที่นักเดินทางชื่นชอบ
“ตอนนี้การล่องเรือยอชต์กับเพื่อน คนรัก และครอบครัว เป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของนักเดินทางไปแล้ว อารมณ์เหมือนเราไปเดินห้าง ผมเชื่อว่าใครที่ได้มาสัมผัสประสบการณ์แบบนี้ ได้เห็นความงามของทะเลไทย ที่ปกติก็สวยงามติดอันดับโลกอยู่โลก พอช่วงที่มีการล็อกดาวน์ธรรมชาติได้ฟื้นฟูขึ้นมาก็ยิ่งสวย ต้องประทับใจ ที่สำคัญ คนที่ชอบล่องเรือไม่จำเป็นต้องว่ายน้ำเก่ง เพราะหากทำตามกฎระเบียบ เดินทางกับผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้ มีคุณภาพ ใส่ใจกับการบำรุงรักษาเรือ ก็หายห่วง” ปิ๊งกล่าวทิ้งท้าย