พระเจ้าโมฮัมเหม็ด ซาห์อีร์ ชาห์ กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของอัฟกานิสถาน ที่ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดาในวัยเพียง 19 ชันษา เมื่อปี 1933 ก่อนที่จะทรงต้องลี้ภัยไปยังอิตาลี พร้อมสมเด็จพระราชนี ในปี 1973 หลังจากที่อัฟกานิสถานเปลี่ยนระบบการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐ
ย้อนไปในสมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้รับการศึกษาภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสในโรงเรียนสอนภาษาที่กรุงคาบูล ก่อนที่จะไปทรงศึกษาต่อที่สถาบันปาสเตอร์ ตามด้วยมหาวิทยาลัยมงต์เปลลิเยร์ โดยทรงใช้ชีวิตนักศึกษาอยู่ในฝรั่งเศสเกือบ 30 ปี ขณะที่บ้านเมืองนั้น ทรงมอบหมายให้พระราชปิตุลา โมฮัมหมัด ฮาชิม คาน เป็นผู้สำเร็จราชการแทน ส่วนพระราชปิตุลาอีกพระองค์ ชาห์ มาห์หมุด คาน ทรงรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ในปี 1931 เมื่อครั้งยังทรงเป็นเจ้าชาย ทรงได้อภิเษกกับ อูไมรา บีกุม ทั้งคู่มีทายาทเป็นองค์ชาย 6 พระองค์ และองค์หญิง 2 พระองค์ ทว่าพระโอรสองค์โต สิ้นพระชนม์ตั้งแต่วัยเพียง 9 ชันษา
ในช่วงแรกๆ ราชินีอูไมรา ทรงไม่ค่อยลงมายุ่งกับกิจการการเมืองหรือสังคมนัก จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงก่อตั้งสมาคมคุ้มครองสวัสดิภาพสตรีขึ้นมา ทำให้สมาชิกราชวงศ์สตรีอัฟกันทรงมีกิจกรรมเพื่อสังคม และสามารถปรากฏโฉมต่อหน้าสาธารณชนได้ แม้ว่าในช่วงแรกๆ จะใช้ผ้าคลุมหน้า แต่สุดท้าย พระราชธิดาพระองค์โตที่ทรงเข้ามาช่วยสมเด็จพระราชินีทรงงาน ก็เปิดเผยพระพักตร์เคียงข้างภริยาของนายกรัฐมนตรี ในกิจกรรมการกุศลต่างๆ
อัฟกานิสถาน เป็นประเทศที่ไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใดระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าภายในประเทศจะเกิดการปฏิวัติบ้างก็ประปราย และก็มีหลายๆ ส่วนที่ยังคงความล้าหลังอยู่มาก โดยระหว่างสงครามเย็น พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากทั้ง 2 ขั้วอำนาจของโลก โดยในปี 1964 รัฐสภาใหม่ลงมติให้มีการเลือกตั้งเสรีทั่วประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่ลงมติให้ใช้ระบบรัฐสภา ร่างกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนใหม่ รวมทั้งสิทธิสตรี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องการการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแบบสากล
เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 1973 ระหว่างที่กษัตริย์โมฮัมเหม็ด ซาห์อีร์ ชาห์ เสด็จไปทรงผ่าตัดพระจักษุยังต่างประทศ พระญาติของพระองค์ โมฮัมหมัด ดาอุด คาน ได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจ กษัตริย์โมฮัมเหม็ดจึงทรงสละราชสมบัติในเดือนถัดมา โดยตรัสว่าพระองค์ทรงเคารพเจตจำนงของประชาชน ราชินีอูไมรา และสมาชิกราชวงศ์อีกหลายพระองค์ ซึ่งยังคงอยู่ในอัฟกานิสถานระหว่างการทำรัฐประหาร ทรงได้รับอนุญาตให้ลี้ภัยมาสมทบกับกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่อิตาลีในที่สุด
กษัตริย์และราชินีพระองค์สุดท้ายของอัฟกานิสถาน ทรงพักอาศัยอยู่ในบ้านขนาด 4 ห้องนอน ทางตอนเหนือของกรุงโรม ประเทศอิตาลี พระองค์ทรงได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากราชวงศ์ชาห์แห่งอิหร่าน ซึ่งทรงเป็นพระสหายกันตลอดพระชนม์ชีพ
ราชินีอูไมรา สิ้นพระชนม์เพียงไม่กี่สัปดาห์ ก่อนที่จะทรงได้รับโอกาสให้เสด็จกลับอัฟกานิสถานได้ในปี 2002 ขณะที่กษัตริย์โมฮัมเหม็ด ทรงได้เสด็จนิวัติประเทศในวัย 87 พรรษา หลังจากสิ้นสุดการปกครองระบอบตอลีบานในยุคแรก โดยในขณะนั้น ลือกันว่า อัฟกานิสถานจะกลับมาปกครองในระบบกษัตริยอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้เกืดขึ้นจริง
พระศพของราชินีอูไมรา ถูกส่งกลับมาฝังในสุสานหลวงในกรุงคาบูล ขณะที่กษัตริย์พระองค์สุดท้ายทรงมีพระชนม์ชีพต่อมาอีกเพียง 5 ปีก็เสด็จสวรรคต เมื่อปี 2007 และทรงถูกฝังไว้ที่สุสานหลวงเช่นกัน
สำหรับสมาชิกราชวงศ์ที่ยังทรงพระชนม์ชีพ อย่างเจ้าฟ้าชายอาห์เหม็ด ชาห์ ที่จริงๆ แล้วจะทรงได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา ปัจจุบันทรงพำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกา