xs
xsm
sm
md
lg

"ม.ล.รดีเทพ เทวกุล" คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ให้อิสระลูกๆ เข้ากับยุคสมัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ณ พื้นที่อันร่มเย็นของ วิลล่าอัจฉรา ใจกลางซอยสุขุมวิท 49 นอกจากจะเต็มไปด้วยความอบอุ่นของราชสกุลเทวกุลแล้ว ยังเป็นร่มเงาแห่งความรักและความผูกพันของ “มุก-ม.ล. รดีเทพ เทวกุล” เวิร์กกิงวูแมนผู้เป็นแบบอย่างของผู้หญิงยุคใหม่ กับลูกๆ ทั้งสาม “นุก-กมลพร บุรณศิริ” วัย 23 ปี, “มิ้ม-สุพิภา บุรณศิริ” วัย 22 ปี และ “แม็บ-วุฒิชาติ บุรณศิริ” วัย 16 ปี ได้อย่างครบสมบูรณ์และอบอุ่น พร้อมส่งต่อสายใยแห่งรักของแม่-ลูกผูกพัน ที่เหมาะกับเทศกาลวันแม่ของเดือนนี้


ด้วยความที่มีลูกอยู่ในวัยหนุ่มสาว โดยลูกสาวสองคนเรียนจบและอยู่ในวัยทำงาน ส่วนลูกชายคนเล็กที่อยู่ในวัยหนุ่มช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และยุคสมัยที่เปลี่ยนไปราวหน้ามือกับหลังมือ มุกจึงพยายามฝึกให้ลูกๆ เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพและพึ่งพาตัวเองได้ แม้อาจต้องพบกับอุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามาท้าทายชีวิต แต่พวกเขาต้องผ่านไปให้ได้ โดยจะแม่คอยดูแลอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ

“จริงๆ แล้วมุกแทบไม่ได้ปรับตัวมากเพื่อเข้ากับลูกๆ แต่จะพยายามให้เขาเป็นผู้ใหญ่ สำหรับคนเป็นแม่ก็เห็นลูกเป็นเด็กตลอดเวลา อย่าง ลูกสาวคนโตกับคนรอง เรียนจบจากต่างประเทศก็มีงานทำกันหมดแล้ว เขาขอแยกออกไปอยู่ที่คอนโดฯ ตรงข้ามกับอพาร์ตเมนต์ที่มุกพักอยู่ แต่ก็อยู่ในรั้วเดียวกัน และพอเขาทำงานมีเงินเดือน มุกก็ขอเครดิตการ์ดที่เคยให้ไว้เมื่อสมัยไปเรียนที่ต่างประเทศคืน เพราะอยากให้เขามีความเป็นผู้ใหญ่ดูแลตัวเองได้ ปล่อยให้เขามีชีวิตของเขา ดังนั้น ตอนนี้ลูกสาวสองคนแม่จึงไม่ได้เข้าไปกะเกณฑ์อะไรมาก

ส่วนลูกชายคนเล็กโชคดีหน่อยเขาได้แบบอย่างที่ดีมาจากพี่ๆ เขาจึงไม่เป็นเด็กซนแถมยังเรียนดี แบ่งตารางในชีวิตได้ มุกก็จะดูเขาอยู่ห่างๆ ถ้าเขาอยากได้อะไรก็จะมาบอกแม่เอง จะไม่ยัดเยียดสิ่งที่ลูกไม่ต้องการเด็ดขาด เพราะเราจะเป็นคนเหนื่อยเสียเอง”


เมื่อถูกถามว่า เลี้ยงลูกตอนโตกับตอนเด็กแบบไหนเลี้ยงยากกว่ากัน มุกยิ้มที่มุมปากเล็กๆ พร้อมตอบว่าเหนื่อยคนละแบบ โดยเฉพาะ ตอนนี้โลกช่างหมุนไปเร็วมาก จนบางครั้งเธอยังตามเกือบไม่ทัน

“ตอนที่เขาเป็นเด็กเราต้องดูแลเขาตลอดเวลา แต่พอลูกโตกันหมดแล้วเราก็จะต้องพูดคุยกับเขามากขึ้น พยายามเข้าใจการใช้ชีวิตของลูกๆ ให้มากขึ้น เมื่อก่อนเราต้องคอยสอนเขาใช้ชีวิต แต่ตอนนี้เหมือนลูกๆ จะคอยสอนแม่มากกว่า (หัวเราะ) เขาจะบอกว่าแม่ต้องปรับตัวให้เข้าเทคโนโลยีต่างๆ เพราะเด็กวัยนี้ไม่เหมือนวัยเรา สมัยก่อนเราแค่ปิดทีวีก็จบแล้ว เมื่อก่อนคุณพ่อจะเข้มงวดมาก ทานอาหารไปด้วยดูทีวีไปด้วยไม่ได้เด็ดขาด แต่สมัยนี้พอเราปิดทีวีลูกก็หนีไปเล่นอินเทอร์เน็ต พอปิดเน็ตก็ไปเล่นมือถือต่อ ค่อนข้างคุมยาก ดังนั้น เราจึงต้องพยายามพูดคุยกับลูกๆ ให้มากขึ้น”

แม้ลูกๆ จะเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทมาตลอด แต่ก็ยังอดไม่ได้ “ลูกสาวสองคนทำงานแล้ว แม่ก็เริ่มจะหมดห่วงไปบ้าง ส่วนลูกชายกำลังเป็นหนุ่ม ก็เป็นห่วงอยู่บ้าง แต่ก็จะไม่เข้าไปยุ่งมาก จะปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายเดินมาบอกว่า แม่ผมอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ เราก็จะเป็นฝ่ายจัดหามาให้ เพราะเมื่อก่อนเคยพาเขาไปเรียนว่ายน้ำ ปรากฏว่าเขาหยุดเล่นไปเองเพราะไม่ชอบ แต่ชอบตีเทนนิสมากกว่า เราก็พาเขาไปเรียนเทนนิสจนได้เป็นนักกีฬาของโรงเรียน ส่วนเรื่องการเรียน มุกว่าเขายังเด็กเกินไปที่จะตัดสินใจว่าต้องการทำอาชีพอะไร ก็คงต้องรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมมากกว่านี้ ซึ่งเราก็พร้อมสนับสนุนลูกในทุกเรื่องอยู่แล้ว“


หลายคนอาจคิดว่าเธอเป็นแม่ที่เข้มงวดกับลูกๆ แต่ความจริงแล้วเธอเป็นคุณแม่สายชิลนัมเบอร์วันตัวจริงเสียงจริง

“คิดว่าเป็นแม่สายชิลนะ แต่ถ้าถามลูกๆ ก็อาจตอบว่าไม่ใช่ เราเป็นแม่ที่ทำทุกอย่างที่ลูกร้องขอ แต่ถ้าเขาบอกว่าไม่เราก็จะหยุดทำให้ทันที อย่างเมื่อก่อนเราก็ส่งน้องนุกลูกสาวคนโตไปเรียนที่อังกฤษ เพราะครอบครัวเรารวมทั้งอดีตสามีก็เป็นนักเรียนเก่าอังกฤษ ซึ่งเขาก็สอบเข้าได้ในโรงเรียนอังกฤษถึง 2 แห่ง แต่เมื่อเขาเรียนไปแล้วรู้สึกไม่ชอบ ไม่โอเคกับบรรยากาศ เขาก็เดินมาบอกเราว่าอยากย้ายไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา

ตอนที่ลูกเดินมาบอกเราก็ตกใจเหมือนกัน แต่ก็บอกเขาว่าถ้าหนูอยากเรียน ก็ต้องไปศึกษาหาข้อมูลมาและสอบเข้าเองให้ได้ พอน้องนุกหาข้อมูลได้แล้วเราจึงพากันไปดูโรงเรียนทั่วบอสตัน นิวยอร์ก และสุดท้ายก็ยอมให้เขาเรียนที่สหรัฐอเมริกา เพราะเห็นความตั้งใจของลูกจริงๆ

ส่วนน้องแม็บอยากไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับพี่สาว เราก็ให้เขาไปศึกษาหาข้อมูลด้วยตัวเอง ซึ่งเขาก็ทำข้อสอบจนผ่าน และได้เรียนโรงเรียนที่เขาพอใจ แต่บังเอิญว่าตอนนี้ทั่วโลกติดสถานการณ์โควิด-19 เราจึงยังไม่อยากให้เขาไป ซึ่งตัวน้องแม็บเองและมุกก็อดเสียดายไม่ได้”


การเป็นคุณแม่ลูกสามซึ่งอยู่ในวัยทำงานและวัยหนุ่มสาวนั้นไม่ง่ายเลย แต่ด้วยความเป็นคุณแม่สุดสตรอง และเข้าใจดีว่าสักวันหนึ่งเมื่อลูกโตขึ้น เขาต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง คนเป็นแม่จึงปรับเปลี่ยนหน้าที่จากการเป็นที่ปรึกษา กลายมาเป็นอีกหนึ่งเสียงสนับสนุนการตัดสินใจของลูกๆ

“ตอนพวกเขาเป็นเด็กเวลามีปัญหาก็จะมาปรึกษาเรา แต่ตอนนี้ทุกคนโตกันหมดแล้ว เวลามีปัญหาลูกทุกคนก็จะพยายามแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองจนถึงที่สุดก่อน และค่อยมาขอคำตอบจากแม่ ซึ่งเรารู้ว่าบางครั้งลูกไม่ได้ต้องการคำตอบว่าดีหรือไม่ดี เขาแค่อยากให้แม่ตอบในสิ่งที่เขาตัดสินใจหรือคิดไว้แล้ว เพราะลูกอาจเพียงแค่ต้องการซาวด์เสียงว่าเขาควรจะทำอะไร โดยที่เขามีคำตอบอยู่แล้ว เนื่องจากที่ผ่านมาเราเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง เพราะเราไม่สามารถอยู่กับเขาได้ตลอดเวลา และไม่รู้ว่าจะอยู่กับเขาได้อีกนานเท่าไหร่” มุกเล่าด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น


ทุกครอบครัวย่อมมีหนึ่งวันในสัปดาห์ ที่ต้องอยู่พร้อมหน้ากัน เช่นเดียวกับครอบครัวนี้ ที่จะใช้เวลาวันอาทิตย์อยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่นและคุ้มค่าที่สุด

“ทุกวันอาทิตย์เรา 4 คนแม่ลูกจะมารวมตัวกันที่บ้านคุณยาย ลูกสาวคนโตก็จะเข้าครัวทำอาหาร คนเล็กก็จะทำขนมหวาน ส่วนลูกชายคนเล็กก็จะเล่นเปียโนให้ฟัง และอีกหนึ่งกิจกรรมที่ชอบเล่นกันมากคือ เล่นเกมไพ่และพวกบอร์ดเกม หรือบางครั้งก็จะตีเทนนิสในสนามตรงข้ามบ้าน”

แม้ลูกๆ จะโตกันหมดแล้ว แต่เมื่อถึงเทศกาลวันแม่ ทุกคนต้องยกให้คุณแม่เป็นใหญ่หนึ่งวัน “วันแม่เด็กๆ เขาจะไม่ให้เราทำอะไรเลย เขาจะจัดการทุกอย่าง จะให้เราเป็นนางฟ้าประจำบ้านหนึ่งวัน เขาจะทำอาหาร หาของขวัญวันแม่ มาเซอร์ไพร์ส เตรียมทุกอย่างให้แม่ เมื่อก่อนลูกสาวสองคนอยู่ต่างประเทศ เขาก็จะส่งของขวัญมาให้เป็นประจำทุกปี

ที่สำคัญ วันที่ 12 สิงหาเป็นวันเกิดคุณยายด้วย ทุกคนจึงมารวมตัวกันวันนี้เป็นประจำทุกปี เพื่อร่วมอวยพรวันเกิดคุณยาย และเซอร์ไพรส์วันแม่ไปในที แต่สำหรับเราขอเพียงแค่ลูกๆ เป็นคนดี ทุกวันก็เป็นวันแม่ของดิฉันแล้ว” มุกปิดท้ายถึงความรักและความห่วงใยที่มีต่อลูกๆ อย่างไม่มีวันจืดจาง










กำลังโหลดความคิดเห็น