xs
xsm
sm
md
lg

“ธาวิน พี เซียวตง” เจ้าของแบรนด์เนมหรู เปิดกรุของสะสมล้ำค่า!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หากพูดถึงเซเลบริตีนักลงทุนแบรนด์เนมแถวหน้าของเมืองไทย แน่นอนว่าจะต้องมีชื่อของ “มาร์ค-ธาวิน พี เซียวตง” อยู่ในอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน ซึ่งหลายคนอาจรู้จักกันดี ในฐานะเจ้าของธุรกิจร้านทำผมคุณภาพระดับเวิลด์คลาส Maison Mark Thawin Hair & Elite Lifestyle ที่นอกจากจะคอยดูแลให้คำปรึกษาด้านทรงผมแล้ว ยังมี คอร์ส Celebrity Coaching ที่จะคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องภาพลักษณ์ การแต่งตัว การทำผม รวมไปถึงการวางตัวเมื่อต้องออกงานสำคัญ โดยล่าสุด กูรูดังได้มาให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนของล้ำค่า พร้อมชี้เป้าไอเทมเด็ดที่เหล่านักลงทุนไม่ควรพลาด!


มาร์คกล่าวถึงความน่าสนใจของการลงทุนในแบรนด์เนมว่า “ปัจจุบันการลงทุนเป็นเรื่องใกล้ตัว เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้มากขึ้น และไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในรูปแบบของการออมเงิน การสร้างธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน หรือหุ้น เท่านั้น แต่ยังมีการลงทุนที่เกิดจากความหลงใหล หรือที่เรียกว่า Passion Investment ในรูปแบบของสะสม ไม่ว่าจะเป็น เครื่องประดับ งานศิลปะ ของใช้ เสื้อผ้า และสินค้าแบรนด์เนม ที่นับวันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา โดยเฉพาะ สินค้าแบรนด์เนมที่มีประวัติศาสตร์ และเรื่องราวของแบรนด์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถสร้างมูลค่าได้เป็นอย่างดี และสามารถต่อยอดความมั่นคงในชีวิตได้ หากนักลงทุนคนไหนอยากจะเข้ามาลงทุนในตลาดนี้ แน่นอนว่าต้องศึกษาเกี่ยวกับตัวแบรนด์ และของแต่ละชิ้นให้ลึกซึ้ง เพื่อที่จะประเมินได้ว่าของชิ้นไหนควรค่าแก่การลงทุน”


ด้วยประสบการณ์ในการเลือกซื้อ และสะสมของมีค่าที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี มาร์คได้แนะนำเคล็ดลับในการเลือกของล้ำค่า ที่ลงทุนแล้วมีแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้


เริ่มจาก กลุ่มเครื่องประดับและจิวเวลรี กับชิ้นแรก อย่าง ‘มุกเมโล’ ไข่มุกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากหอยทากทะเล ซึ่งมีโอกาสเกิดแค่ 1 ใน 3,000 ตัวเท่านั้น ถ้าหากจะหาไข่มุกเม็ดที่มีความสมบูรณ์ สวยงามไร้ที่ติ อาจจะเจอแค่ 1 ในแสนตัว และในอดีต มุกเมโลนั้นมีความพิเศษตรงที่เป็นมุกประดับบนมงกุฎของจักรพรรดิชาวจีน ด้วยความพิเศษนี้ มุกเมโลจึงมีมูลค่าสูง อย่างเม็ดที่มีอยู่นี้มีความสมบูรณ์และมีขนาดใหญ่ หากเปิดประมูลก็จะได้ราคาไม่ต่ำกว่า 8 หลัก


ต่อมาที่ ‘พลอยสี’ พลอยที่มีสีสัน เอกลักษณ์ และลวดลายเฉพาะตามถิ่นกำเนิด ไม่สามารถผลิตทดแทนกันได้ อย่าง ทับทิมสยาม และทับทิมพม่า ก็เป็นพลอยสีที่หายากมากในท้องตลาด เพราะต้นกำเนิดเหมืองพลอยที่พม่าได้ปิดทำการไปแล้ว ส่งผลให้ทับทิมสยาม และทับทิมพม่าเป็นพลอยสีที่มีมูลค่ามากในความเป็นธรรมชาติ


หากเป็น มรกต ควรเลือกเป็นสีมูโซ่กรีน (Muzo Green) ซึ่งเป็นสีเขียวเหลือบฟ้า จะเป็นสีที่สวยและสะอาดที่สุด โดยสำหรับคนที่กำลังเริ่มสะสม และลงทุนกับพลอยสี ควรเลือกพลอยสีที่มีความเป็นธรรมชาติมากที่สุด ไม่ผ่านความร้อนหรือกระบวนการหลอมใดๆ ไม่มีสารปนเปื้อน และมีตำหนิน้อยที่สุด ซึ่งความเป็นธรรมชาติของพลอยสีนั้น จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับพลอยสีเป็นอย่างดี


ชิ้นถัดมาเป็นไฮจิวเวลรีจากแบรนด์ ‘บุลการี’ (Bvlgari) ลักซ์ชัวรีแบรนด์ที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน ตำนานเครื่องประดับรูปงู ที่มีชิ้นเด่นเป็นสร้อยคอ Monete Pendant Watch ซึ่งเป็นทั้งเครื่องประดับและเครื่องบอกเวลา โดยความพิเศษอยู่ที่ตัวจี้จะเป็นเหรียญ Monete ที่ประดับอยู่บนนาฬิกาตูร์บิญอง ซึ่งเป็นรุ่นที่ผลิตมาจากเหรียญโรมันโบราณที่มีชื่อว่า เตตราดราคม (Tetradrachm) สืบทอดมาจาก Alexander the Great โดยสร้อยเส้นนี้เป็นสร้อยที่มีเส้นเดียวในโลก ส่งผลให้มูลค่าของสร้อยปรับเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา


กลุ่มถัดมาเป็น กลุ่มนาฬิกา โดยเริ่มจากแบรนด์ ‘โรเลกซ์’ (Rolex) แบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ถูกสวมใส่โดยคนดังระดับโลกมากมายเหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ อย่างรุ่น Daytona Rainbow Everose นี้ เปิดตัวในปี 2012 หน้าปัดนาฬิกาล้อมรอบด้วยพลอยสีไล่เรียงเฉดสวยเสมอกัน วางประดับบนตัวเรือนที่ออกแบบมาสามสีด้วยกัน ได้แก่ สีทองคำขาว, สีทองเหลือง และสีทองชมพู ซึ่งในปัจจุบันไม่มีการผลิตในรูปแบบนี้แล้ว จะมีก็แต่การแบบ After setting ที่ซื้อนาฬิกามาแล้วเอาไปฝังพลอยเอง ซึ่งคุณภาพก็จะไม่เหมือนกับที่แบรนด์ทำอย่างแน่นอน โดยรุ่นราคาเปิดตัวเมื่อตอนวางขายประมาณ 2.8 ล้านบาท ราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท


ต่อมาที่แบรนด์ ‘ปาเต็ก ฟิลิปป์’ (Patek Philippe) แบรนด์นาฬิกาข้อมือเรือนแรกในประวัติศาสตร์ ที่มาพร้อมดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ และฟังก์ชันที่มีมากกว่าการบอกเวลา เป็นที่รู้กันดีในกลุ่มนักลงทุนว่า เป็นแบรนด์ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างแน่นอน อย่าง รุ่น Patek Philippe Nautilus 5724R-001 ขนาด 40 มม. ตัวเรือนเป็นโรสโกลด์ 18K ประดับเพชรด้านหลัง คริสตัลแซฟไฟร์เม็ดมะยมแบบขันเกลียว ตัวสายทำจากหนังจระเข้สีน้ำตาล ที่ใช้มือเย็บแบบแฮนด์เมดทั้งหมด ความพิถีพิถันในการผลิตอย่างหรูหราไร้ที่ติ ทำให้ ปาเต็ก ฟิลิปป์น่าหลงใหล ไม่เสื่อมค่าไปตามกาลเวลา


ถัดมาเป็น กลุ่ม ‘เสื้อผ้า’ ซึ่งหลายคนอาจจะมีความเข้าใจว่าเสื้อผ้าเป็นสิ่งที่ลงทุนไม่ได้ แต่หากเรามีหลักในการเลือก เสื้อผ้าก็สามารถลงทุนเพื่อเก็งกำไรได้เช่นกัน อย่างเช่น เสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ผลิตเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชัน หรือคอลเลกชันที่ออกแบบร่วมกับดีไซเนอร์แบรนด์อื่นๆ ก็จะมีความโดดเด่นกว่าเสื้อผ้าทั่วไป สำหรับแบรนด์เสื้อผ้าที่เหมาะแก่การลงทุนในมุมของมาร์คนั้น คือแบรนด์ กอมม์ เดส์ การ์ซงส์ (COMME des GARCONS) แบรนด์สัญชาติญี่ปุ่น โดย เรย์ คาวาคูโบะ แบรนด์นี้จะเด่นในเรื่องของการนำความงดงามทางศิลปะที่แปลกตา มาผสมผสานกับแฟชั่น ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากคอลเลกชันฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว ปี 2013 ด้วยลายพิมพ์ดอกไม้บนชุดโอเวอร์โค้ท ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบความอาวองการ์ด (Avant-Garde) ซึ่งราคาวางขายประมาณ 8 หมื่นบาท แต่ปัจจุบันราคาทะยานขึ้นสูงถึง 2 แสนบาท




สุดท้ายเป็น กลุ่ม ‘กระเป๋า’ แน่นอนว่าแบรนด์ไฮเอนด์ที่น่าลงทุน และน่าครอบครองมากที่สุดคือ ‘แอร์เมส’ (Hermès) ลักซ์ชัวรีแบรนด์ที่มีกลยุทธ์ในการขายสินค้าที่แตกต่าง และไม่เหมือนใคร ซึ่งถ้าหากไม่ได้เป็นแฟนตัวจริงของแบรนด์ก็ยากที่จะได้เป็นเจ้าของ สำหรับรุ่นที่สามารถลงทุนได้นั้น อาทิ รุ่น Hermes Ghillies Kelly 35 Tri-Color Alligator Bag หรือที่เรียกกันว่ารุ่น 3 หนัง โดยความพิเศษของตัวกระเป๋าผลิตจากหนังสัตว์สามชนิดประกอบกัน ได้แก่ หนังนกกระจอกเทศ, หนังลิซซาร์ด (Lizard) และหนังจระเข้ ซึ่งในปัจจุบันไม่มีการผลิตรุ่นนี้แล้ว ราคาเมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 2.25 ล้านบาท ส่วนราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านบาท นอกจากนั้น แล้วยังมี Hermes Kelly 40 Limited Edition Teddy Shearling Plush ที่ตัวกระเป๋าด้านนอกผลิตจากหนังแกะสีน้ำตาล ส่วนด้านในกระเป๋าและหูกระเป๋า ผลิตด้วยหนังแพะภูเขา ราคาเมื่อ 6-7 ปีที่ผ่านมา ประมาณเกือบ 1 ล้านบาท ส่วนปัจจุบันสนนราคาอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านบาท


จะเห็นได้ว่าของแบรนด์เนมแต่ละชิ้นนั้น เมื่อเทียบราคาซื้อกับราคาปัจจุบันแล้ว ราคาปัจจุบันปรับตัวสูงกว่าหลายเท่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามูลค่าของสินค้าแบรนด์เนมนั้น มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอยู่ทุกปี ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะเศรษฐกิจรูปแบบใด การลงทุนกับสินค้าแบรนด์เนมจึงถูกจัดว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอีกทางหนึ่ง โดยเคล็ดลับสำคัญก็คือ ต้องศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ชอบ และแบรนด์ที่สนใจ รวมถึงความต้องการในท้องตลาด สิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสร้างมูลค่าให้กับของสิ่งนั้น และเพิ่มกำไรให้กับผู้ลงทุนได้




กำลังโหลดความคิดเห็น