ถ้าถามว่าอะไรคือเป้าหมายที่ชีวิตนี้ต้องพุ่งชนให้ได้ “กิ๊บ-กิตตินาถ อมาตยกุล” ลูกสาวคนสวยของ “พีระยศ-กิตติยา อมาตยกุล” ตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า "อยากมีแบรนด์กระเป๋าเป็นของตัวเอง" แต่เส้นทางกว่าจะไปถึงปลายทางแห่งฝันนั้น กิ๊บรู้ดีว่าไม่ง่าย เธอจึงไม่ใจร้อน และเลือกที่จะค่อยๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตจากทุกก้าวที่เธอเลือกเดิน แม้บางครั้งเส้นทางนี้อาจจะต้องอ้อมไปบ้างก็ตาม
หลายคนอาจจะมองว่าเธอโชคดีที่ค้นพบตัวเองเร็ว แต่จริงๆ แล้วกิ๊บเองก็ไม่ต่างจากเด็กทั่วไปที่เคยหลงทางกับความฝัน
"กิ๊บรู้ตัวมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะว่าชอบศิลปะ อาจเพราะคุณพ่อก็เป็นสถาปนิก และพี่สาวฝาแฝด (กลอย-กิตตินุช อมาตยกุล) ก็ชอบศิลปะเหมือนกัน แต่เขาจะชอบพวกของกระจุกกระจิก เครื่องประดับ ส่วนกิ๊บจะชอบวาดพวกตัวการ์ตูนน่ารักๆ อย่าง Sanrio คือชอบมาก ถึงขนาดฝันว่าโตขึ้นอยากทำอาชีพออกแบบของเล่น แต่พอโตขึ้นก็เริ่มเปลี่ยนแนวมาสนใจออกแบบเฟอร์นิเจอร์" กิ๊บพาย้อนวันหวานสมัยเด็กก่อนเสริมว่า
พอเรียนจบจาก Shrewsbury International School กิ๊บและพี่สาวก็วางแผนจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ทั้งคู่เลือกเรียนต่อที่ Fashion Institute of Technology (FIT) นิวยอร์ก โดยกิ๊บเลือกสาขาที่เกี่ยวกับการออกแบบแอ็กเซสซอรีเครื่องหนัง อย่างรองเท้า กระเป๋า ส่วนกลอยเลือกเรียนด้านจิวเวลรีดีไซน์
"จริงๆ ตอนแรกกิ๊บก็ลังเล เพราะอย่างที่บอกว่าเรามาสายชอบวาดการ์ตูน ออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ตอนแรกเลยกะจะเรียนด้านอินดัสเทรียลดีไซน์ ออกแบบพวกโปรดักต์ แต่พอดีมหาวิทยาลัยที่ได้ดันไปอยู่อีกเมือง แต่ใจเราอยากเรียนนิวยอร์ก ซึ่งกิ๊บสมัครเรียนสาขาเกี่ยวกับการทำเครื่องหนัง พวกกระเป๋า รองเท้าไว้แล้วได้พอดี คิดว่าน่าจะเข้าทาง ก็เลยตัดสินใจเรียนที่นี่ เพราะถ้าเป็นแนวแฟชั่นจ๋าเลยก็อาจจะไม่ใช่แนวเพราะไม่ค่อยถนัดวาดคนหรือหุ่น"
แม้จะจับพลัดจับผลูเข้ามาเรียน แต่กิ๊บก็สนุกกับโลกอีกใบ ระหว่างเรียนเธอยังได้ไปฝึกงานที่ Calvin Klein อยู่นานถึง 2 เทอม
"จริงๆ ตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัยจะให้ฝึกแค่เทอมเดียว แต่กิ๊บอยากเรียนรู้ให้เยอะ เลยฝึกยาว 2 เทอม เหตุผลที่เลือกแบรนด์ Calvin Klein ทั้งที่ตอนนั้นสมัครไปเผื่อถึง 3 แบรนด์ เพราะชอบแบรนด์ Calvin Klein เป็นทุนเดิม ยิ่งตอนนั้นกระแสมินิมัลมาแรง ยิ่งรู้สึกว่าแบรนด์นี้ตอบโจทย์ พอไปฝึกงานจริงก็สนุกมาก ได้ไปเห็นการทำงานของทีมดีไซเนอร์ เรียนรู้การทำงานของแบรนด์แฟชั่นระดับโลก ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามากๆ"
หลังใช้เวลา 4 ปีร่ำเรียนจนจบปริญญาตรีกิ๊บก็กลับมาเมืองไทย ตั้งใจว่าจะพัก 1 ปีก่อนจะเรียนต่อปริญญาโท แต่หลังจากอยู่เมืองไทยได้แค่ 3 เดือน กิ๊บก็ตัดสินใจบินกลับไปที่นิวยอร์กอีกครั้งเพื่อไปลองหางานทำ เธอเริ่มต้นจากการไปฝึกงานที่ Joy Gryson ซึ่งเป็นแบรนด์กระเป๋า ประมาณ 3 เดือน ก่อนจะไปร่วมงานกับ Coach 6 เดือน โดยได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในคอลเลกชัน Runway 1941
"ตอนไปทำงานที่ Coach ก็ได้ประสบการณ์อีกแบบ ที่นี่เขาจะเน้นการออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ผิดกับอีกสองแบรนด์ที่เราผ่านมาที่ยังมีออกแบบด้วยมือบ้าง ช่วงแรกๆ ก็หนักเหมือนกัน เพราะถึงจะเรียนมาทั้งวาดมือและออกแบบด้วยคอมพ์ แต่เราก็ยังถนัดวาดด้วยมือมากกว่า แต่พอทำไปเรื่อยๆ ก็ได้ฝึก ที่สำคัญ ยังได้เห็นกระบวนการทำงานของเขาว่ากว่าจะออกมาเป็นกระเป๋า 1 ใบต้องมีกระบวนการอะไรบ้าง ยกตัวอย่าง เวลาเราออกแบบในคอมพ์แล้ว แบบไหนที่โอเคเขาจะลองพรินต์ใส่กระดาษ A3 เพื่อเอามาลองประกอบเป็นกระเป๋าขนาดจริงว่าโอเคมั้ย ถ้าผ่านก็จะส่งไปลองผลิตเป็นสินค้าตัวอย่างก่อนจะทำขายจริง ด้วยความที่เราจูเนียร์มากๆ เข้าไปก็ยังไม่ได้มีโอกาสโชว์ไอเดียอะไรมาก แต่จะไปช่วยซัปพอร์ตทีมมากกว่า ซึ่งเป็นการเปิดโลกมากๆ"
หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์จนหนำใจก็ถึงเวลากลับเมืองไทยเพื่อไปสวมบทนักศึกษาอีกครั้ง กิ๊บบอกว่าตอนแรกลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนดี ระหว่างนิวยอร์กเมืองที่คุ้นเคย หรือจะไปเรียนที่ปารีส ฝรั่งเศส หรือมิลาน อิตาลีดี
"สุดท้ายเลือกมิลาน เพราะเคยไปปารีสแล้วก็ชอบนะคะ แต่ไม่มั่นใจว่าจะเหมาะกับเรามั้ย แต่ที่มิลานเรามีเพื่อนอยู่ที่นั่นด้วย ถึงจะเรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดแต่กิ๊บก็อยากรู้ภาษาเขาด้วย เลยไปเรียนภาษาก่อนครึ่งปี ก่อนจะไปต่อ Fashion Management ที่ SDA Bocconi School of Management อีก 1 ปี เหตุผลที่เลือกเรียนด้านนี้เพราะอยากต่อยอดความรู้ที่มีจากที่เน้นเรื่องดีไซน์ การผลิต มาเรียนรู้เกี่ยวกับการขาย การตลาด รวมไปถึงการบริหารจัดการสต๊อก"
พอเรียนจบก็กลับมาเมืองไทย กิ๊บเริ่มต้นงานแรกที่ Club 21 ในสายงาน Merchandise ซึ่งกิ๊บยอมรับว่า เป็นวิชาที่ไม่ชอบที่สุดตอนเรียน เพราะเน้นตัวเลขเยอะ แต่ก็ทิ้งไม่ได้ ยิ่งถ้ามีเป้าหมายคืออยากสร้างแบรนด์กระเป๋าของตัวเอง
"ยิ่งไม่ถนัดเลยยิ่งต้องฝึกค่ะ พอมาทำงานจริงก็ได้เรียนรู้เยอะมาก เจอพี่ๆ ที่เก่ง Excel ขั้นเทพ ช่วยต่อยอดทักษะให้เยอะ และยังได้เห็นการทำงานที่ครบลูปตั้งแต่ไปซื้อสินค้าจนมาวางขาย หลังจากทำได้ 1 ปี ก็มีคนมาทาบทามให้มาเป็น Operation และ Merchandise ที่ Tiffany and co ด้วยความที่ชอบแบรนด์นี้อยู่แล้ว เลยตัดสินใจลาออกมาทำที่ Tiffany and co ได้ปีกว่าแล้วค่ะ"
ถามว่าวางแผนจะเริ่มต้นธุรกิจเมื่อไหร่ กิ๊บบอกว่า จริงๆ วางแผนว่าจะทำงาน 2 ปี แล้วเริ่มสร้างแบรนด์ของตัวเอง แต่มาเจอวิกฤตโควิด-19 เลยต้องพับแผนการไปก่อน เพราะตอนนี้ก็ยังไม่ได้วางแผนไปไกล ยังไม่ได้มีชื่อแบรนด์ในใจ
"สมัยอยู่นิวยอร์กก็มีออกแบบกระเป๋าเอง ทำเอง ใช้เอง และก็ออกแบบให้คุณแม่ เพราะตอนอยู่ที่โน่นเรามีอุปกรณ์ มีโรงงานที่จะดีลได้ เลยทำให้สมัยก่อนเวลาจะซื้อกระเป๋าเลยค่อนข้างคิดเยอะ เพราะเราเรียนมา เราจะรู้เยอะ แบบนี้ก็คิดว่าทำได้ แบบนั้นก็ทำได้ไม่ยาก แต่พอกลับมาเมืองไทย อาจจะยากหน่อย เพราะไม่มีอุปกรณ์ เคยคิดไว้ว่าถ้าวันหนึ่งจะเริ่มทำแบรนด์จริงๆ อาจจะต้องลงทุนซื้อจักรที่เย็บหนังได้ แล้วก็อุปกรณ์ที่ช่วยให้สามารถขึ้นแบบที่บ้านได้ เพื่อที่จะได้ประหยัดต้นทุนในการทำกระเป๋า โดยคอนเซ็ปต์ที่วางไว้คือ จะเน้นการผสมผสานของสีสันต่างๆ ที่เราชอบแทน จะว่าไปก็คิดถึงงานดีไซน์กระเป๋าเหมือนกัน เพราะงานที่เราทำตอนนี้ก็เป็นอีกฝั่ง ไม่ได้เน้นการออกแบบเลย"
ชวนคุยเรื่องงานมาพอหอมปากหอมคอ ถือโอกาสชวนอัปเดตไลฟ์สไตล์ส่วนตัวกันบ้าง กิ๊บออกตัวเลยว่าเป็นสายกิน ชอบตระเวนไปหาร้านอร่อย และคาเฟ่เก๋ๆ ถ้าไม่ติดโควิด-19 ก็ชอบเดินทางไปท่องเที่ยว ชอบชอปปิ้ง โดยเฉพาะของวินเทจ ซึ่งถ้าเป็นของแฟชั่น อย่างกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า เห็นแล้วแพ้ทาง
"กิ๊บชอบพวกของวินเทจอยู่แล้ว สมัยอยู่มิลานจะชอบไปชอปตามตลาดที่ขายของมือสอง เพราะบางครั้งเราอาจจะได้ไอเท็มที่ไม่เหมือนใครกลับมาไม่พอ ยังได้กลับมาค้นหาสไตล์ของตัวเอง เพราะสไตล์การแต่งตัวของกิ๊บจะเน้นมิกซ์แอนด์แมตช์ บางครั้งก็แมตช์ระหว่างชิ้นที่เป็นเฟมินีนมากๆ กับชิ้นที่ดูแมนสุดๆ ไปเลย อีกหนึ่งเสน่ห์ของวินเทจคือ ได้รักษ์โลก ช่วยลดการผลิตของใหม่ๆ ซึ่งกิ๊บก็ตั้งใจว่าถ้าทำแบรนด์ของตัวเองเมื่อไหร่ อาจจะมีส่วนที่ทำเป็นแนววินเทจ หรือนำผ้าที่เหลือจากโรงงาน ไม่ใช้แล้ว มาผลิตด้วย
สุดท้ายนี้ แม้ไม่รู้ว่าเส้นทางแห่งความฝันของตัวเองจะเป็นจริงเมื่อไหร่ แต่กิ๊บเชื่อว่าการที่ได้ต่อสู้เพื่อพาตัวเองไปทำในสิ่งที่ชอบในทุกวัน จะทำให้มีพลังที่พร้อมขับเคลื่อนตัวเองไปข้างหน้าอยู่เสมอ เมื่อไหร่ที่ท้อก็แค่เตือนตัวเองว่า เราอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร ทำตรงนี้ไปทำไม พอคิดแบบนี้ เลยทำให้ทุกวันของเรามีความหมาย" กิ๊บทิ้งท้าย