ภาคการท่องเที่ยวไทยเตรียมปรับตัวรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคครั้งใหญ่หลังโควิด-19 โดย Booking.com ผู้นำด้านการเดินทางในโลกดิจิทัล ได้นำผลการสำรวจข้อมูลผู้เดินทางมากกว่า 20,000 คน ใน 28 ประเทศทั่วโลก* (รวมประเทศไทย) มารวมเข้ากับข้อมูลเชิงลึกจากพฤติกรรมการค้นหาและการบอกต่อของนักเดินทางบนแพลตฟอร์ม ตลอดจนความเชี่ยวชาญกว่า 20 ปีในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อเผย 9 การคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคตของการเดินทาง ทั้งในปีหน้าและปีต่อ ๆ ไป
1. จากความปรารถนาสู่ความจำเป็น
อยู่บ้านเป็นเวลานานยิ่งทำให้ผู้คนโหยหาการเดินทางมากขึ้น โดยในช่วงล็อกดาวน์ นักเดินทางชาวไทย 71% รู้สึกตื่นเต้นที่จะมีโอกาสได้กลับมาเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้ง ในขณะที่ 77% ระบุว่ารู้สึกเห็นคุณค่าของการเดินทางมากขึ้นและจะไม่มองข้ามคุณค่าดังกล่าวอีก นอกจากนี้ 2 ใน 3 ของนักเดินทางชาวไทย (65%) ปรารถนาที่จะออกไปสำรวจโลกกว้างยิ่งขึ้นกว่าเดิม และอีก 60% ตั้งใจที่จะจองทริปที่ต้องยกเลิกไปก่อนหน้านี้อีกครั้งหนึ่ง
2. ความคุ้มค่าต้องมาก่อน
ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโควิด-19 ทำให้ผู้คนมองหาความคุ้มค่าในทุกการจับจ่ายใช้สอย ไม่เว้นแม้แต่ด้านท่องเที่ยว โดยผู้เดินทางชาวไทย 78% ให้ความใส่ใจกับราคามากขึ้นขณะวางแผนการเดินทาง และคนจำนวนเท่ากัน (78%) ยังมีแนวโน้มมองหาโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษต่างๆ มากขึ้น โดยพฤติกรรมเช่นนี้จะคงอยู่ไปอีกหลายปี
อย่างไรก็ตาม ความคุ้มค่าที่ผู้บริโภคคาดหวังไม่ได้มีเฉพาะเรื่องราคา โดยผู้เดินทางไทยจำนวน 4 ใน 5 (80%) ระบุว่าต้องการให้แพลตฟอร์มจองการเดินทางเพิ่มความโปร่งใสเกี่ยวกับนโยบายการยกเลิก ขั้นตอนการคืนเงิน และตัวเลือกประกันการเดินทาง โดย 37% มองว่าตัวเลือกที่พักแบบยกเลิกฟรีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทริปถัดไป ที่สำคัญ ผู้เดินทางชาวไทย 87% สนใจที่จะช่วยสนับสนุนการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และ 84% อยากให้การจองการเดินทางของตนสามารถช่วยเหลือชุมชนให้ฟื้นตัวได้
3. ขอเน้นที่ใกล้และคุ้นเคย
เนื่องจากการท่องเที่ยวต่างประเทศยังคงเป็นเรื่องไกลตัวในปัจจุบัน การเดินทางในพื้นที่ใกล้เคียงและท่องเที่ยวภายในประเทศได้กลายเป็นตัวเลือกที่โดดเด่น เนื่องจากสะดวกกว่า ปลอดภัยกว่า และมักช่วยส่งเสริมความยั่งยืนได้มากกว่า โดยผู้เดินทางชาวไทย 61% วางแผนจะเดินทางในประเทศภายใน 7-12 เดือนที่จะถึง และ 53% วางแผนจะเดินทางในไทยในระยะยาว (ในช่วง 1 ปีขึ้นไป) ในแง่ของการเที่ยวใกล้ๆ คนไทย 36% วางแผนที่จะไปสำรวจจุดหมายใหม่ๆ ที่ไม่เคยไปที่อยู่ใกล้เคียงภูมิลำเนาหรือในภายประเทศ และ 55% อยากใช้เวลาไปชื่นชมความงดงามของธรรมชาติในเมืองไทย
4. หลีกหนีความจริงด้วยการค้นหา
เพื่อสร้างความสุขและหากิจกรรมทำในช่วงล็อกดาวน์ คนไทยส่วนใหญ่ 98% เคยใช้เวลาไปกับการค้นหาแรงบันดาลใจสำหรับทริปพักผ่อน โดยกว่า 2 ใน 3 (68%) ได้เสิร์ชหาจุดหมายท่องเที่ยวต่างๆ บ่อยถึงสัปดาห์ละครั้ง นอกจากนี้ 41% ตอบว่ารู้สึกหวนคิดถึงวันวานเมื่อเปิดดูภาพถ่ายเก่าๆ จากทริปก่อนๆ ขณะมองหาแรงบันดาลใจการท่องเที่ยวในอนาคต
5. ปลอดภัยไว้ก่อน
ผู้ตอบแบบสำรวจชาวไทยเกือบ 9 ใน 10 (89%) จะใช้ความระมัดระวังในการเดินทางมากขึ้นสืบเนื่องจากโคโรนาไวรัส และผู้เดินทาง 83% คาดหวังให้สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มีการปรับใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ในขณะเดียวกัน 86% จะเลือกจองเฉพาะที่พักที่มีการระบุมาตรการด้านสุขภาพและอนามัยไว้อย่างชัดเจน และผู้ตอบชาวไทยในจำนวนเท่ากัน (86%) ยอมรับได้กับการตรวจสุขภาพเมื่อเดินทางถึงสถานที่ท่องเที่ยวหรือจุดหมายปลายทาง
6. คำนึงถึงผลกระทบ
นักเดินทางชาวไทยส่วนใหญ่เกิน 2 ใน 3 (68%) ต้องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนยิ่งขึ้นในอนาคต โดย 86% คาดหวังให้ภาคการท่องเที่ยวนำเสนอตัวเลือกการเดินทางที่ยั่งยืนมากขึ้น และคนไทยมากกว่า 4 ใน 5 (84%) ต้องการตัวเลือกในการเดินทางที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นฟูจุดหมายปลายทางนั้นๆ ได้ และ 82% ต้องการเห็นว่าเม็ดเงินที่จ่ายไปจะกลับเข้าสู่ชุมชนท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง
7. โบกมือลาการเข้าออฟฟิศ
การทำงานจากบ้านได้กลายเป็นพฤติกรรมกระแสหลักในช่วงของการระบาด แต่ผลที่ตามมาทางอ้อมคือทางเลือกในการวางแผนการเดินทางที่ยาวนานขึ้นโดยรวมการทำงานเข้ากับทริปท่องเที่ยว การที่ผู้คนไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ 5 วันต่อสัปดาห์อีกต่อไป ทำให้เราเห็นพฤติกรรมของนักเดินทางแบบ “Workation” หรือเที่ยวไปทำงานไปเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
โดยผู้เดินทางชาวไทย 60% เคยวางแผนจะจองที่พักเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งทำงานในสถานที่แปลกใหม่ ในขณะที่ 69% เต็มใจที่จะกักตัวหากยังคงสามารถทำงานระยะไกลได้ นอกจากนี้ คนไทยกว่า 3 ใน 4 (76%) กล่าวว่าจะหาโอกาสขยายทริปธุรกิจให้นานขึ้นเพื่ออยู่เที่ยวที่จุดหมายปลายทางนั้นๆ ต่อได้
8. สัมผัสความสุขง่ายๆ
เมื่อเราได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับผลกระทบของเหตุการณ์แพร่ระบาดครั้งใหญ่ ผู้เดินทางต่างหันมาเปิดรับวิถีใหม่ที่เรียบง่ายในการออกสำรวจโลกกว้าง และต้องการที่จะดื่มด่ำกับธรรมชาติมากขึ้น ตั้งแต่เริ่มมีเหตุการณ์แพร่ระบาด ผู้ใช้บริการ Booking.com ทั่วโลกต่างแบ่งปันความคิดเห็นถึงสิ่งธรรมดาๆ ที่สร้างความสุขได้อย่างง่ายดายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่า (94%) อากาศบริสุทธิ์ (50%) ธรรมชาติ (44%) และการผ่อนคลาย (33%)** ซึ่งคล้ายคลึงกับความต้องการของผู้เดินทางชาวไทยกว่า 4 ใน 5 (85%) ที่วางแผนจะดื่มด่ำกับประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบเรียบง่ายมากขึ้น เช่น การทำกิจกรรมกลางแจ้งกับครอบครัวระหว่างทริปพักผ่อน นอกจากนี้ นักเดินทางชาวไทยจำนวนใกล้เคียงกัน (80%) ยังอยากมองหาประสบการณ์ท่องเที่ยวในชนบทหรือที่ท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยมีใครไป เพื่อดื่มด่ำกับประสบการณ์ท่ามกลางธรรมชาติให้เต็มที่
พฤติกรรมการท่องเที่ยวยุคใหม่ที่ผู้คนให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว พื้นที่เว้นระยะห่างทางสังคม รวมถึงความสะอาดและสุขอนามัยที่ควบคุมได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นผู้เดินทางชาวไทยต่างมองหาที่พักที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านตัวเอง โดย 55% ของนักเดินทางชาวไทยเลือกมองหาที่พักประเภทบ้านพักตากอากาศหรืออพาร์ตเมนต์มากกว่าโรงแรม และ 63% จะเลือกทานอาหารในที่พักมากขึ้นแทนที่จะออกไปร้านอาหาร นอกจากนี้ ประเภทของทริปที่นักเดินทางชาวไทยยุค “นิวนอร์มอล” อยากไปเที่ยวมากที่สุดได้แก่ ทริปเที่ยวริมทะเล (51%) ตามมาด้วยทริปพักผ่อนหย่อนใจ (48%) และทริปเที่ยวในเมือง (27%)
9. เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกระตุ้นการเดินทาง
เราจะเห็นนวัตกรรมเทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับผู้เดินทางอีกครั้งในโลกหลังการระบาดใหญ่ โดย 81% ของผู้เดินทางชาวไทยเห็นด้วยว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพระหว่างเดินทาง นอกจากนั้น 80% ยังเห็นตรงกันว่าผู้ให้บริการที่พักจะต้องประยุกต์ใช้เทคโนโลยีล่าสุดเพื่อสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้แก่ผู้เข้าพัก
โดย 7 ใน 10 ของนักเดินทางชาวไทย (70%) ต้องการให้มีตัวเลือกเทคโนโลยีที่สามารถใช้จองร้านอาหารแบบกระชั้นชิดได้ และนักเดินทางชาวไทยจำนวน 3 ใน 4 (75%) ต้องการให้มีเครื่องมือแบบบริการตนเองมากขึ้นแทนที่จะผ่านเคาน์เตอร์ให้บริการเพื่อลดการสัมผัส นอกจากนี้คนไทย 80% ยังรู้สึกตื่นเต้นกับศักยภาพของเทคโนโลยีที่ช่วยปรับเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางให้เข้ากับความต้องการเฉพาะบุคคลได้มากขึ้นในอนาคต โดยเทคโนโลยีจะเข้ามาเพิ่มประโยชน์และเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวของผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ
มิเชล เกา ผู้จัดการประจำภูมิภาคประจำกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงของ Booking.com กล่าวว่า “เหตุการณ์ใหญ่ตลอดปีนี้เป็นปีที่ท้าทายเป็นพิเศษ และทำให้เห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวตั้งแต่ระดับประเทศไปจนถึงระดับโลก ผู้เดินทางจะเปลี่ยนไปมองหาระดับความปลอดภัยในการเดินทางที่สูงขึ้น ข้อเสนอด้านการเดินทางที่ยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงนิยามใหม่ของการท่องเที่ยวที่รวมเอาการทำงานจากทางไกลเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง ดิฉันเชื่อว่าแวดวงการท่องเที่ยวมีศักยภาพพิเศษที่จะกลับมาแข็งแกร่งกว่าที่เคยในอีกหลายปีข้างหน้า ผ่านการเสริมสร้างความเข้าใจและความปรารถนาร่วมกันของเราในการออกเดินทาง และด้วยภารกิจของ Booking.com ที่มุ่งมั่นเพื่อทำให้ผู้เดินทางทุกคนออกไปสัมผัสโลกกว้างได้ง่ายขึ้นอยู่เสมอมา ในช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้เราจึงยืนหยัดที่จะเสนอตัวเลือกที่หลากหลาย มาพร้อมกับความคุ้มค่า และประสบการณ์การใช้งานที่ง่ายดายที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใด ผู้เดินทางก็สามารถเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์อันน่าจดจำที่ได้จากการออกเดินทางท่องเที่ยว”