แวดวงแฟชั่นทั่วโลกต่างโศกศัลย์ถึงการจากไปของ “เคนโซ ทาคาดะ” ที่ต้องจบชีวิตลงด้วยโรคร้ายจากไวรัสโควิด-19 เพราะแม้เขาจะก้าวเข้าสู่วัยเลข 8 แล้ว แต่เขากับไม่เคยหยุดยั้งในการสร้างสรรค์ผลงาน และได้ฝากฝีไม้ลายมือไว้ประดับวงการแฟชั่นมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปี จนกล่าวได้ว่าเขาจะกลายเป็นตำนานบทหนึ่งที่เหล่าบุคคลากรแฟชั่นต้องจดจำไว้ไปอย่างยาวนาน
“เคนโซ ทาคาดะ” เป็นชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นแท้ๆ แต่จุดเริ่มต้นสร้างชื่อในวงการแฟชั่นของเขากลับไปดินแดนที่ห่างไกลออกไปหลายพันกิโลเมตรอย่าง “กรุงปารีส” ที่ซึ่งเขาสร้างแบรนด์ “KENZO” ให้เป็นที่รู้จักและโด่งดังไปทั่วโลก โดยเส้นทางโลกแฟชั่นของเขาเริ่มในฤดูหนาวปี 1964 ขณะที่ชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ กำลังเฉลิมฉลองในโอกาสที่โตเกียวได้เป็นเจ้าภาพ จัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเป็นครั้งแรก
แต่ดีไซเนอร์หนุ่มวัย 25 ปีคนหนึ่งหอบเกียรติประวัติด้านงานออกแบบจากญี่ปุ่น ในฐานะเจ้าของรางวัลดีไซเนอร์ ที่ชนะเลิศการประกวดของห้างสรรพสินค้าชื่อดังของญี่ปุ่น เลือกที่จะทิ้งบ้านเกิด ถอดคราบความเป็นทายาทนักธุรกิจเจ้าของโรงแรม ลงเรือเดินทางยาวนานกว่า 6 สัปดาห์มุ่งหน้าสู่กรุงปารีส ดินแดนต้นกำเนิดแฟชั่นชั้นสูง เพื่อสร้างชื่อตามรอยต้นแบบดีไซเนอร์ในดวงใจอย่าง อีฟ แซงต์ โลรองต์ หรือ คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์
การตามฝันของทาคาดะ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขาตระเวนนำเสนอผลงานการออกแบบ ที่อยู่ในสมุดสเก็ตช์งาน ให้ทั้งบรรดาห้างสรรพสินค้า หรือสถาบันแฟชั่นต่างๆ ทั่วปารีส แต่ก็ถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า จนเวลาล่วงเลยเป็นหลักปี เขาจึงตัดสินใจเดิมพันครั้งสุดท้าย ด้วยการลงมือเปิดร้านของตัวเองเสียเลย ในปี 1970 “KENZO” บูทีคเล็กๆ ของทาคาดะจึงได้เริ่มต้นขึ้น
หลังจากได้โชว์ผลงานคอลเลกชั่นเปิดตัว ที่เขานำเอาแรงบันดาลใจของชุดกิโมโนแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น มาผสมลวดลายดอกไม้สีสันสดใส ตามแบบฉบับของสาวฝรั่งเศส ทำให้ชื่อเสียงของแบรนด์ KENZO เริ่มเป็นที่รู้จัก และซิกเนอเจอร์เด่นในการผสมผสานศิลปะและแฟชั่นแห่งโลกตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกันได้อย่างแปลกใหม่ ทำให้ Kenzo ได้รับการพูดถึงในวงกว้างขึ้น ซึ่งมิใช่เพียงแต่ในกรุงปารีสเท่านั้น แต่กระแสตอบรับยังข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังหัวเมืองแฟชั่นอื่นๆ อย่างนิวยอร์กอีกด้วย ถือได้ว่าเขาเป็นดีไซเนอร์ญี่ปุ่นคนแรกที่สร้างชื่อในระดับสากลได้อย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร ก่อนที่ อิซเซ มิยาเกะ หรือโยจิ ยามาโมโตะ จะก้าวตามรอยเท้ามา
ทำให้ Kenzo กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นที่จัดจ้าน และโดดเด่นที่สุดแบรนด์หนึ่งตลอดช่วงยุค 80’s จนในที่สุด ยักษ์ใหญ่แห่งโลกแฟชั่นอย่างกลุ่ม LVMH ขอเจรจาเข้าซื้อกิจการของทาคาดะ และสำเร็จลุล่วงในปี 1993 ก่อนที่ เคนโซ ทาคาดะ จะโบกมือลาแบรนด์ที่เขาให้กำเนิดในวันครบรอบ 30 ปีของ Kenzo เมื่อปี 1999
แม้จะเกษียณจาก Kenzo แต่ตลอดระยะ 20 ปีที่ผ่านมา ทาคาดะไม่เคยหยุดการสร้างงานดีไซน์เลย จนกระทั่ง เมื่อปี 2016 รัฐบาลฝรั่งเศสได้มอบเครื่องราชย์ยศอัศวินให้กับทาคาดะ ในฐานะที่ผลงานของขาเป็นที่ประจักษ์ในปารีสมายาวนานหลายสิบปี
แม้จะโด่งดังไปทั่วโลก แต่ เคนโซ ทาคาดะ ก็ยังไม่ลืมจุดกำเนิดของตัวเอง เขาได้กลับมาสร้างผลงานสุดพิเศษที่ญี่ปุ่น ด้วยการร่วมงานกับ สมาคม โตเกียว นิคิคาอิ โอเปร่า ออกแบบชุดที่ตัวละครของเรื่อง “Madama Butterfly” โอเปร่าเรื่องดังระดับตำนาน โดยเขาได้ออกแบบชุดกิโมโนในรูปแบบร่วมสมัยลายดอกไม้ เฉกเช่นเดียวกับลายเซ็นของเขาที่อยู่ในแบรนด์ Kenzo ยุคเฟื่องฟูนั่นเอง
นอกจากเรื่องของแฟชั่นเสื้อผ้าแล้ว ทาคาดะ ยังมีความหลงใหลในโลกแห่งกลิ่น และได้ลงมือผลิตน้ำหอมออกมาหลายต่อหลายรุ่น รวมไปถึงงานการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ โดยในปี 2004 เขาเปิดตัวแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ของตนเองเป็นครั้งแรก และยังมีผลงานการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ให้กับหลายแบรนด์ดังๆ ในฝรั่งเศสอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเขาก็เพิ่งจะเปิดตัวแบรนด์ผลิตภัณฑ์ไลฟสไตล์แบรนด์ใหม่ K3 ที่กรุงปารีส ในงาน Maison et Objet ที่ถือเป็นงานแฟชั่นสินค้าและของตกแต่งบ้านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก