xs
xsm
sm
md
lg

4 ทายาทธุรกิจร้อยล้านเคยผ่านงานบริการ! ก่อนทำงานที่ตรงกับไลฟ์สไตล์

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

เห็นหนุ่มสาวสังคมไฮโซใช้ชีวิตสุดหรู จนหลายคนต่างอิจฉาในความสวยหล่อ รวยตระกูลดี โปรไฟล์เริ่ด บางคนเป็นทายาทธุรกิจใหญ่โต แต่ในชีวิตจริงนั้นกลับไม่ได้เดินบนพรมแดงอันโก้หรู เพราะหลายคนเลือกที่จะไม่เสวยสุขบนกองเงินกองทอง แต่เลือกที่จะทำงานบริการที่หลายคนไม่อยากทำ เพราะต้องใช้ความอดทนสูง แต่เขาเหล่านั้นกลับทำอย่างตั้งใจ เพื่อพิสูจน์ตัวเอง


เริ่มที่ พีอาร์สาวไฮโซหน้าหวานแห่ง SAVANGA ทายาทซอยราชครูอันโด่งดัง “มิ้งค์-ณัฏฐิ์ประภา ชุณหะวัณ” อดีตคุณครูนักเรียนเตรียมอนุบาลเล่าว่า ตั้งแต่รับอาชีพเรือจ้างชีวิตก็เปลี่ยนไป ต้องตื่นตี 5 เพื่อไปให้ถึง 7 โมงเช้า เหนื่อยสุดๆ แต่ก็ได้ประสบการณ์ชีวิตที่ดี

“มิ้งค์เรียนครุศาสตร์ สาขาวิชาการศึกษา ดังนั้น ช่วงที่ต้องออกไปฝึกสอนที่โรงเรียนต่างๆ ซึ่งตอนนั้นเลือกสอนเด็กนักเรียนช่วงเตรียมอนุบาล อายุ 2-3 ขวบ ที่โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง และพอเรียนจบก็เป็นครูสอนเด็กเตรียมอนุบาลอีก 3 ปี ช่วงที่ฝึกสอนและเป็นครูเต็มรูปแบบ ชีวิตของมิ้งค์เปลี่ยนไปเลยค่ะ ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปให้ทันโรงเรียนเข้า และจากที่เคยงอแงก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เพราะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ”

สำหรับเหตุผลที่เลือกสอนเด็กอนุบาล ทั้งๆ ที่หินและโหดกว่าสอนเด็กโต มิ้งค์บอกว่า “ทุกอาชีพเหนื่อยเหมือนกันหมดแต่เหนื่อยคนละแบบ ที่เลือกสอนเด็กวัยนี้เพราะเขาอยู่ในวัยเรียนรู้ รู้จักจำเพื่อพร้อมก้าวต่อไป ถ้าเราเอาสิ่งดีๆ ไปสอนเขาก็จะจดจำแต่สิ่งดีๆ ฉะนั้น คนเป็นครูจึงมีบทบาทสำคัญที่สุดที่จะทำให้เด็กๆ พร้อมที่จะก้าวต่อไปเป็นคนดีของสังคมและประเทศชาติ”

ตลอดเวลาที่เป็นครูสอนเด็กเตรียมอนุบาลนั้น ชีวิตเต็มไปด้วยสีสัน อะไรที่ไม่เคยทำก็ต้องทำ

“กิจกรรมของการเป็นคุณครูในหนึ่งวันคือ สอนเด็กให้ทำกิจกรรมทั้งอินดอร์และเอาต์ดอร์ อย่าง การว่ายน้ำ บางทีครูผู้ช่วยเปลี่ยนชุดว่ายน้ำให้เด็กไม่ทัน เราก็ต้องช่วยเปลี่ยน ว่ายน้ำเสร็จเราก็ต้องเปลี่ยนชุดนักเรียนกลับคืนให้อีก หรือแม้แต่เด็กฉี่ราดก็ต้องเช็ดให้ เรียกว่าเหนื่อยสุดๆ แต่ก็สนุกมากค่ะ”

ด้านอดีตสาวเดบูตองส์ ทายาทศรีทองพาณิชย์ และธุรกิจโรงแรมสวิส โซเทล “ริน-ศรินญา มหาดำรงค์กุล” หลังคว้าปริญญาโทด้านการตลาดจาก Les Roches International School of Hotel Management เธอก็ยื่นใบสมัครทำงานกับโรงแรมชั้นนำต่างๆ โดยวางตำแหน่งลูกสาวเจ้าของโรงแรมและธุรกิจนาฬิกาไว้เบื้องหลังกว่า 5 ปี

รินเล่าว่าไม่เคยคิดจะทำงานบริการเลย เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเธอเป็นตัวของตัวเองสูงมาก แล้ววันหนึ่งเมื่อได้มาฝึกงานในโรงแรมกว่า 5 ปี ความคิดก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

“ก่อนที่จะบินไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ รินว่างยาว1ปีเต็ม จึงไปขอฝึกงานการโรงแรมที่ โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท ตอนนั้นมีหน้าที่ดูแลด้านการตลาด คิดโปรโมชั่นต่างๆ แต่บางครั้งก็มาช่วยแผนกอื่นด้วย อย่าง แผนกห้องพัก ต้องดูแลลูกค้าที่มาเข้าพัก สปา ร้านอาหาร เรียกว่าได้เรียนรู้งานทุกอย่าง และเมื่อเรียนจบก็กลับมาสมัครงานโรงแรมในเครืออินเตอร์แบรนด์อยู่อีก5ปี ช่วงแรกก็เหนื่อยกับการทำงานพิสูจน์ฝีมือตัวเอง เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าแม้จะเกิดในตระกูลดัง แต่ก็ไม่ได้เป็นคุณหนูหยิบจับทำอะไรไม่เป็น และสุดท้ายทุกคนก็ยอมรับในความเป็นตัวเรามากกว่านามสกุลค่ะ”

การทำงานทุกอย่างล้วนมีปัญหา โดยเฉพาะ งานบริการ ซึ่งต้องเจอลูกค้าหลายรูปแบบ แต่รินก็มีวิธีรับมือ ด้วยความคิดที่ว่า ถ้าลูกค้าจ่ายเงินเพื่อซื้อความสะดวกสบายจากเรา ถ้าเขาโวยวายแสดงว่าเขายังไม่ได้รับบริการในสิ่งที่เขาคาดหวัง

“การทำงานโรงแรมจะมีปัญหาหลายเคสมาก ทั้งที่เราผิดจริงๆ และเจอลูกค้าหัวหมอ แต่เราจะคิดเสมอว่าลูกค้าชาวต่างชาติเขาสู้อุตส่าห์เก็บเงินตลอดทั้งปี เพื่อมาเที่ยวมาพักที่โรงแรมของเรา ดังนั้น เขาควรจะได้รับการบริการสมกับที่คาดหวัง ถ้าลูกค้ามีปัญหาหรือโวยวาย สิ่งแรกที่จะทำคือ เป็นผู้ฟังที่ดีไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายผิดหรือถูก เพราะลูกค้าย่อมต้องการให้มีคนรับฟังปัญหามากกว่าโต้แย้ง จากนั้นก็หาวิธีช่วยเหลือเขาเท่าที่เราจะทำได้ เพราะตราบใดที่ลูกค้ายังอยู่กับเรา เรายังสามารถแก้ไขสถานการณ์ให้ผ่อนคลายลงได้ หากถ้าเราปล่อยให้เขาเช็กเอาต์ออกไป และไปโพสต์ในโซเชียลว่าเรา ตอนนั้นแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”

หลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์งานด้านโรงแรมมาพอสมควร เธอจึงกลับมาสานต่อธุรกิจโรงแรมของครอบครัวในตำแหน่ง เอ็กเซ็กคิวทีฟ ไดเรกเตอร์

“ตอนนี้รินดูแลโรงแรมในเครือของครอบครัว 3 แห่งคือ สวิส โซเทล กรุงเทพฯ รัชดาฯ, เรเนซองส์ พัทยา และโรงแรมน้องใหม่ที่หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างผู้บริหารกับพนักงาน สนุกและท้าทายมาก การทำงานโรงแรมทำให้นิสัยของเราเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย อย่างแรกที่เห็นคือ ใจเย็นและยอมฟังเหตุผลของคนอื่นมากขึ้น”

ส่วนราชนิกูลสาวสวย “โม-ม.ล. รังษิอาภา ภาณุพันธุ์” เห็นเป็นสาวสังคมแสนโก้แบบนี้ แต่เมื่อหลายปีก่อนเคยเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินกาตาร์ เกือบ3ปีเต็ม ซึ่งโมยอมรับว่า ไม่ง่ายเลยกับการที่ต้องมาดูแลชีวิตผู้โดยสารหลายร้อยคนบนเที่ยวบิน แต่ก็ทำให้เธอได้ประสบการณ์ชีวิตไม่น้อยเช่นกัน

“สมัยนั้นโมเรียนอยู่ที่อังกฤษ และอยากเที่ยวไปเรื่อยๆ พร้อมกับทำงานไปด้วย จึงสมัครเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ที่สายการบินกาตาร์ มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยภายในเครื่องบิน เสิร์ฟอาหาร และดูแลผู้โดยสาร โดยเฉพาะ เด็กสตรี ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ”

หลายคนอาจมองว่า การเป็นนางฟ้าบนเครื่องบินนั้นจะสวยหรู แต่สาวโมยอมรับว่าเหนื่อยและหินสุดๆ เพราะผู้โดยสารที่ใช้ชีวิตอยู่บนเครื่องบินครั้งละประมาณ8-12 ชม. ย่อมเครียดเป็นธรรมดา และพนักงานต้อนรับก็ต้องดูแลและรองรับอารมณ์ อันเป็นหน้าที่ที่ปฏิเสธไม่ได้

“ตลอด 3ปีที่ทำงาน โมเจอผู้โดยสารหลายรูปแบบมาก ทั้งที่เมาแล้วทะเลาะกันบนเครื่อง หรือเมาสุราแล้วอาเจียนบนเครื่อง เราก็ต้องทำความสะอาด บางครั้งเจอคนที่ตะบันจิกใช้ด้วยน้ำเสียงไม่ดี ตะคอกใส่ แต่เราก็ได้แค่ส่งยิ้มให้ ไม่สามารถแสดงกิริยาที่ไม่ดีต่อลูกค้าได้ ทำได้ก็เพียงเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ เพราะเราทำงานให้บริการ สิ่งสำคัญคือลูกค้าต้องมาก่อนเสมอ”

โมบอกว่าอาชีพต้อนรับบนเครื่องบิน ทำให้เธอโตขึ้นมากและเรียนรู้ที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง

“อยู่บนเครื่องบินโมต้องทำทุกอย่าง สมัยก่อนนี่เห็นคนอาเจียนไม่ได้เลย แต่หลังจากที่ไปเช็ดอ้วกให้ลูกค้าแล้ว ทุกวันนี้เฉยๆ กับสิ่งนี้มาก หรือแม้แต่เมื่อก่อนจานสักใบยังล้างไม่เป็น แต่เดี๋ยวนี้ทำเป็นทุกอย่าง ชีวิตงานบริการ ทำให้เราฝึกทำงานบ้านบางอย่างเป็นแล้ว ยังทำให้เป็นคนมีเหตุผลยอมรับและอดทนฟังคนอื่นมากขึ้นด้วยค่ะ”

ปิดท้ายที่ลูกไม้หล่นไกลต้นซอยราชครู “เจตน์ เชี่ยวสกุล” ทายาทเจ้าของสนามมวยลุมพินี ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานตาของ พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ก่อนหน้านี้บินไปเรียนทำอาหารอย่างจริงจังที่ Le Cordon Bleu ซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา มาแล้ว เจตน์ยอมรับว่าตอนเรียนเป็นเชฟว่ายากแล้ว แต่ตอนไปฝึกหัดงานในซานฟรานซิสโกนั้น ยากกว่าหลายเท่า

“พอจะจบหลักสูตรของการเป็นเชฟที่ Le Cordon Bleu ได้ ผมต้องออกไปฝึกเป็นเชฟตามร้านอาหารในเมือง ซึ่งพอไปถึงที่ร้านผมต้องเตรียมวัตถุดิบในการปรุงอาหารเองทั้งหมด ตั้งแต่แกะผักมาล้าง หั่นซอยผัก ไปจนถึงเตรียมเครื่องปรุง และพอผ่านขั้นตอนนี้แล้ว ทางร้านก็จะให้เราลองทำสลัดผักก่อน และตามด้วยการไปเป็นผู้ช่วยเชฟ และขยับขึ้นมาเป็นเชฟเอง”

ใครเลยจะรู้ว่า ทายาทแห่งซอยราชครู ซึ่งเป็นคุณหนูมาตลอด แต่ต้องมายืนหน้าเตาวันละกว่า 3-4 ชม.เป็นประจำ

“ผมต้องทำงานที่ร้านอาหารทุกวันตั้งแต่ 08.00-20.00น. ตลอดหนึ่งเดือน และต้องยืนปิ้งไก่ที่หน้าเตาไฟวันละ4 ชม. ความร้อนทำให้ผมต้องดื่มน้ำครั้งละหลายลิตรตลอดเวลา เพื่อดับกระหาย ซึ่งช่วงฝึกงานเหนื่อยมากเพราะต้องทำแบบนี้วันละ12 ชม. พอกลับบ้านหัวถึงหมอนก็หลับเลย แต่ก็สนุกและมีความสุขมากเช่นกัน เพราะการฝึกงานเชฟทำให้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง”

หลังจากฝึกเป็นเชฟจากสถาบันสอนทำอาหารชื่อก้องโลกแล้ว ชายหนุ่มก็กลับมาสานต่อธุรกิจร้านอาหารของครอบครัว และอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเขาจะมีโปรเจกต์เปิดร้านอาหารสไตล์เท่ๆ เหมือนกับตัวเองแถวถนนกรุงเทพกรีฑา เพื่อรองรับผู้พักอาศัยย่านนั้น ที่มีหมู่บ้านเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

“ความสุขของการเป็นเชฟของผมคือ การที่เราปรุงอาหารทุกจานแล้วลูกค้ารับประทานอย่างมีความสุข และผมอยากจะส่งต่อความสุขนี้ ผ่านมื้ออาหารแสนอร่อยให้ทุกคนได้รับประทานกันครับ”


กำลังโหลดความคิดเห็น