ชื่อของ “เจ-จักษวัชร์ อรรถสกุลชัย” กลายเป็นที่รู้จักในโลกโซเชียลขึ้นมาในบัดดล หลังจากที่มีคนขับกระบะขับรถมาด้วยความเร็ว และไม่สามารถหยุดรถได้ทัน จึงชนเข้ากับ McLaren (แมคลาเรน) 720S ซูเปอร์คาร์ราคา 30 ล้าน ซึ่งว่ากันว่ามีเพียง 3 คันเท่านั้นในประเทศไทย เข้าอย่างจัง แน่นอนว่า ถึงจะไม่ได้เป็นคนขับ แต่หลายคนก็ตามลุ้นกันตัวโก่งเลยว่า คู่กรณีจะเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ แต่ปรากฏว่า เจ้าของรถหรูกลับสปอร์ตแถมใจดีสุดๆ บอกเลยว่าไม่ขอเอาความใดๆ ทั้งสิ้นด้วย
จากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่จบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้งนี้ จุดกระแสให้หลายคนอยากรู้จักเจ้าของรถคันนี้ขึ้นมาทันใด งานนี้ นอกจากเบาะแสที่ชาวเน็ตสืบค้นกันจนเจอว่า หนุ่มหล่อคนนี้คือ “เจ-จักษวัชร์ อรรถสกุลชัย” เป็นทายาทบริษัทนมเปรี้ยวชื่อดังอย่าง บีทาเก้น เขายังนั่งแท่นเป็นผู้บริหาร Instawash แอปพลิเคชั่นล้างรถที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนรักรถ ซึ่งมองหาความสะดวกสบาย และมาพร้อมมาตรฐานในการให้บริการแบบตรงใจ โดยเขาร่วมแรงแข็งขันกับเพื่อนซี้อย่าง “เอ็ม-เมหราน ซาห์รออี” อีกด้วย
ล้ม…แต่ไม่ท้อ
เห็นมาดนักธุรกิจนักไฟแรงทั้งคู่แบบนี้ ใครจะคิดว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ทั้งคู่ล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหน แต่ด้วยความฝันว่า อยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง สองหนุ่มนักเรียนนอกจึงมุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตอย่างไม่ลดละ แม้จะต้องลิ้มรสชาติของความล้มเหลวก็ไม่ท้อ
“ผมเรียนมาด้านการเงินการลงทุน ตั้งแต่อยู่ออสเตรเลียผมก็ทำงานมาตลอด ยอมไปเป็นลูกจ้าง เพราะอยากออกไปเรียนรู้โลกภายนอก ได้มีโอกาสลองทำโปรเจกต์หลายอย่าง ค่อนข้างประสบความสำเร็จ จนพอกลับมาเมืองไทยเลยคิดต่อยอดธุรกิจ เปิดบริษัทของตัวเองแต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร” เจเล่าพร้อมกลั้วหัวเราะก่อนเสริมว่า “อาจเพราะผมยังศึกษาตลาดไม่ดีพอ และไม่เข้าใจธรรมชาติของตลาดไทยเท่าที่ควร ไม่เหมือนตอนอยู่ออสเตรเลีย ซึ่งผมใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมานานถึง 13 ปี”
เจอเพื่อนซี้เปิดฉากมาแบบนี้ เอ็ม หนุ่มลูกครึ่งไทย-อิหร่าน ซึ่งผ่านประสบการณ์ช้ำๆ มาไม่ต่างกัน เลยถือโอกาสเสริมว่า “ครอบครัวผมย้ายไปทำธุรกิจที่เดนมาร์กตั้งแต่ยังเด็ก พอ 10 ขวบผมก็เริ่มช่วยงานที่บ้านจนอายุ 16 ปี ก็เริ่มทำงานพาร์ทไทม์ ตั้งแต่เป็นพนักงานในร้านเช่าวิดีโอ พนักงานเสิร์ฟ ผู้ช่วยดูแลผู้สูงอายุ พอสะสมเงินได้ประมาณหนึ่ง ก็ไปเปิดร้านอาหารเล็กๆ ค่อนข้างประสบความสำเร็จ แต่ตอนหลังผมตัดสินใจขายไป เพราะไม่ได้มีแพสชั่นกับธุรกิจนี้ พอตัดสินใจกลับมาเมืองไทย เป็นช่วงอีคอมเมิร์ซเริ่มบูม ผมก็มาเปิดธุรกิจด้านอีคอมเมิร์ซ แต่เหมือนมาเร็วไป ตลาดยังไม่อินกับสิ่งที่ทำ ธุรกิจที่ทำเลยไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร”
บาดแผลในใจที่โลกธุรกิจฝากไว้ให้อาจจะเจ็บปวด แต่ไม่ได้ทำให้สองหนุ่มหมดหวัง หากแต่เมื่อสองคู่หูธุรกิจโคจรมาเจอกัน เลยทำให้ไฟแห่งความฝันลุกโชติช่วงขึ้นอีกครั้ง และกลายเป็นที่มาของธุรกิจ Instawash ผู้ให้บริการล้างรถเดลิเวอรี่ นำเสนอบริการล้างรถรูปแบบใหม่ ที่เราเชื่อว่าน่าจะตอบโจทย์ปัญหาการล้างรถของคนเมือง จากนี้ไม่ต้องเสียเวลารอคิวและฝ่ารถติดขับรถไปล้างที่คาร์แคร์ แถมยังมาพร้อมนวัตกรรม ไม่ใช้สายยางฉีดน้ำ ช่วยประหยัดน้ำล้างรถได้หลายเท่า แถมยังมีเทคโนโลยีที่ทำให้การทำความสะอาดที่เคยยุ่งยาก เป็นเรื่องง่าย ไม่เลอะเทอะ จึงสามารถให้บริการได้ทุกที่ แม้แต่ลานจอดรถ
ถามว่าทำงานด้วยกันได้อย่างไร เจชิงตอบว่า “เราเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่เราต่างคนต่างทำธุรกิจ เราเห็นตรงกันว่าจากนี้เทรนด์ AI จะมาแรง เลยคุยกันว่าอยากมาต่อยอดทำธุรกิจ โดยเริ่มจากแพสชั่นของเรา ซึ่งเป็นคนรักรถเหมือนกัน มาผสานกับการใช้เทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อน เพื่อแก้ปัญหาให้กับคนเมือง”
ด้านเอ็มเสริมว่า “ช่วงที่เฟลเป็นจังหวะที่ผมไปเรียนต่อเอ็มบีเอ ที่ศศินทร์ ทำให้ผมเข้าใจโลกธุรกิจมากขึ้นว่า บางครั้งความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับคอนเนกชั่น ประสบการณ์ ช่วงที่ท้อหนักๆ ผมก็ปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ ท่านก็ให้กำลังใจว่ามาถึงขั้นนี้ ความรู้ก็มี อายุก็น้อย ทำไมจะลุกขึ้นอีกครั้งไม่ได้ ไม่มีอะไรเหนือกว่าความพยายาม จากตรงนั้นเลยเป็นที่มาให้ผมและเจคิดจะเริ่มต้นธุรกิจใหม่ เราบอกกับตัวเองว่า เราต้องศึกษาเยอะมาก อย่าง ธุรกิจคาร์แคร์ ถึงจะชอบรถ แต่เราไม่เคยอยู่ในธุรกิจนี้มาก่อน ดังนั้น เราต้องเริ่มตั้งแต่ศึกษาทุกอย่างเกี่ยวกับการดูแลรถ ค่อยๆ วางแผนธุรกิจ โดยเริ่มต้นโฟกัสที่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทนที่จะเป็นยุโรปหรืออเมริกา เพราะเรามองว่าตลาดตรงนั้นเต็มแล้ว”
จากคนรักรถสู่ธุรกิจคาร์แคร์
เจเสริมว่า เราเริ่มต้นธุรกิจจากการมองหา Pain Point ของคนเมืองที่รักรถ แต่ไลฟ์สไตล์ค่อนข้างยุ่ง ดังนั้น ถ้าการที่ต้องเสียเวลาฝ่ารถติดไปคาร์แคร์ เป็นเรื่องยาก “อย่างผมเองมีรถมากกว่า 1 คัน ถ้าจะขับรถไปคาร์แคร์ก็ต้องใช้เวลา 2 เท่า เพื่อแก้ปัญหาที่ไร้ทางออกนี้ พอดีตอนนั้นผมมีเพื่อนชาวเกาหลี ที่กำลังคิดแอปพลิเคชันบริการล้างรถนี้ขึ้นมา เลยคุยกันว่าปัญหาล้างรถเป็น Pain Point ของคนทั้งโลก ผมอยากจะนำธุรกิจนี้เข้ามาในเมืองไทย มาทำให้ทันสมัยขึ้นและมีระบบชัดเจน เพราะเห็นโอกาสที่จะเติบโต ด้วยการพัฒนาบริการของเราให้เป็นมากกว่าการล้างรถที่ได้มาตรฐาน ไม่ต้องเสี่ยงดวง ตอบโจทย์คุณผู้หญิงที่อาจจะรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่อยากไปนั่งรอล้างรถในปั๊มน้ำมัน หรือบางครั้งไม่อยากเก็บของในรถแต่ก็กลัวของหาย บริการของเราพร้อมตอบโจทย์”
เล่ามาถึงตรงนี้กลัวไม่เห็นภาพ เจถือโอกาสแนะนำบริการของ Instawash ว่า “เราคิดถึงตั้งแต่การรับพนักงานเข้ามาร่วมงาน เราตรวจสอบประวัติพนักงานทุกคนอย่างละเอียด ก่อนเริ่มงานล้างรถ พวกเขาจะได้รับการฝึกอบรม เพื่อสร้างมาตรฐานการบริการ เรามองว่าพนักงานทุกคนคือผู้เชี่ยวชาญการดูแลรถ ไม่ใช่แค่เด็กล้างรถ พนักงานต้องรู้ว่ารถแบบไหนควรทำความสะอาดอย่างไร และเมื่อทำงานจริง ทุกคนจะมีกล้อง Go Pro ติดที่ศีรษะ เพื่อบันทึกภาพตลอดเวลาการทำงาน นอกจากนี้ ระหว่างปฏิบัติงานพนักงานทุกคนจะสวมถุงมือ อย่างไรก็ตาม แม้จะวางกลยุทธ์ธุรกิจมาอย่างดี แต่พอต้องมาปฏิบัติงานจริง กลับไม่หมูอย่างที่คิด เพราะลูกค้ายังไม่คุ้นกับบริการที่เอ็มและเจเคลมว่า ตอบโจทย์ชีวิตคนยุคใหม่
“ช่วงแรกเราตั้งเป้าไว้ว่าขอแค่ได้ลูกค้า 10 คันต่อวันพอ แต่บอกเลยไม่ง่าย ตอนนั้นเครียดมาก คิดไปไกลถึงขั้นว่า ถ้าสุดท้ายไม่ได้จริงๆ ถึงต้องปิดตัวก็ต้องยอม จน 6 เดือนผ่านไป เราเปลี่ยนกลยุทธ์ดึงคนเก่งเข้ามาช่วยดูแลในเรื่องที่เราไม่เก่ง เช่น เรื่องการตลาด ทำให้ธุรกิจที่เริ่มไปได้สวยเริ่มดีขึ้น มีลูกค้ามากขึ้นในระดับที่น่าพอใจ แต่ก็ยังไม่ได้ชิล เพราะธุรกิจเราค่อนข้างใหม่ ยังไม่มีข้อมูลในเชิงการตลาดมาพิสูจน์ หรือเปรียบเทียบให้นักลงทุนเห็น เวลาที่เราต้องการระดมทุน แต่อย่างน้อยข้อดีคือ เราก็ไม่ได้มีคู่แข่งโดยตรง ส่วนคู่แข่งทางอ้อม เขาก็ไม่ได้มองว่าเราเป็นคู่แข่ง แต่มองว่าเรามาอุดช่องว่าง ช่วยยกมาตรฐานสูงขึ้น”
สำหรับเป้าหมายต่อไป เจย้ำว่า นอกจากจะมีตัวเลขในใจว่าอยากให้มีลูกค้า 100 คันต่อวัน ยังอยากพาธุรกิจโกอินเตอร์ เติบโตไปไกลถึงในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเอาแพลตฟอร์ม นวัตกรรมที่เรามี ไปปรับให้เข้ากับบริบทของแต่ละประเทศ โดยหวังอยากเป็นสตาร์ทอัพไทยที่เติบโตได้โลดแล่นอยู่บนเวทีโลก อยากพิสูจน์ให้เห็นว่า คนไทยก็ทำได้ ไปจนถึงพวกเราไปสู่จุดยูนิคอร์นสักวันหนึ่ง
“เรามาทำธุรกิจนี้ ใช้เงินของเราเอง ถ้าให้เปรียบเทียบว่าขอเงินทุนจากที่บ้านหรือระดมทุนง่ายกว่า ผมว่ายากพอๆ กัน เพราะบางทีครอบครัวก็ไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่เราทำ อยากให้เรากลับไปทำธุรกิจที่บ้าน แต่เราก็อยากทำอะไรที่อยากทำ การมาเป็นสตาร์ทอัพ ผมไม่ได้มองว่าเป็นการพิสูจน์ตัวเองหรืออะไร แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ได้ทำในสิ่งที่เราเชื่อมากกว่า” เจตอบชัด
ด้านเอ็มเสริมว่า “การที่เราอยู่ตรงนี้ ถึงบางครั้งทำงานมาเหนื่อยหรือท้อ ผมก็มีความสุขที่ได้ทำ ถ้าไปทำงานบริษัทใหญ่ เงินเดือนดี แต่ไม่มีความสุข ผมเลือกอันนี้ดีกว่า เพราะแพสชั่นเราอยู่ตรงนี้ เราเริ่มต้นด้วยทีมงาน 8 คน บางครั้งมีออเดอร์เข้ามา ช่วงแรกๆ ถ้าคนไม่พอ ผมก็ไปล้างรถเอง เจก็เคยไป เราก็ใส่ยูนิฟอร์มแล้วก็ไป การที่เราลงมาลุยกันจริงๆ ทั้งใช้แรงงาน ล้างรถ ทำให้เราเห็นปัญหาของการทำงานมากกว่าอยู่บนหอคอย วันนี้ถ้าน้องๆ มีปัญหาอะไร โทร.หาเราได้ 24 ชั่วโมง”
ปิดท้ายด้วยคำแนะนำสำหรับสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ เจแนะนำว่า “ก่อนอื่นต้องถามตัวเองก่อนว่า ไอเดียของเราแก้ปัญหาให้คนส่วนใหญ่ได้หรือเปล่า เป็นสินค้าหรือบริการที่คนอยากได้มั้ย เพราะต่อให้มีสินค้าหรือบริการ แต่ไม่แก้ปัญหาก็ไม่เกิดประโยชน์ สิ่งที่เราผิดพลาดมา เกิดจากการมโน คิดว่าทำการบ้านมาดี แต่จริงๆ อาจยังไม่ดีพอ”