xs
xsm
sm
md
lg

พาเพลินในโลกแฟชั่นของ “ภริสา บุนนาค”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แวบแรกที่เห็นสไตล์การแต่งตัวที่โฉบเฉี่ยวของนักการตลาดสาวรุ่นใหม่ ที่มีหัวใจรักแฟชั่นอันแรงกล้าอย่าง “เบ็บ-ภริสา บุนนาค” ก็รู้แล้วว่าเธอเป็นสาวเก๋ที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง สมกับที่เป็นลูกสาวคนเดียวของ “ปู-พนิตนุช บุนนาค” ออแกไนเซอร์ชื่อดัง ที่ดีกรีความแซ่บและฮิปสเตอร์ไม่เป็นสองรองใคร

ปัจจุบันสาวสวยผันตัวเองจากนักเขียนสายแฟชั่นมาสวมบท Marketing Section Manager – Fashion & Luxury ของ ดิ เอ็มควอเทียร์ และดิ เอ็มโพเรียม ซึ่งเบ็บนิยามว่าเป็นงานที่ครบรส ทั้งรัก ทั้งเหนื่อย แต่ก็สนุกที่ได้ทำ จนนาทีนี้ต่อให้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม

“หน้าที่หลักๆ ของตอนนี้คือ รับผิดชอบด้านการตลาดให้กับแบรนด์แฟชั่นของ ดิ เอ็มควอเทียร์ และดิ เอ็มโพเรียม ซึ่งจะมีทีมช่วยดูแลแคมเปญการตลาดของแต่ละแบรนด์ พร้อมจัดอีเวนต์เพื่อช่วยโปรโมตและขอบคุณลูกค้าไปในตัว ไม่ว่าจะเป็นการจัดแฟชั่นโชว์เปิดคอลเลกชันตามซีซันส์ อย่าง สปริง-ซัมเมอร์, ออทัม-วินเทอร์ หรืออย่างงาน Fierce Fashion ที่เพิ่งผ่านไป”


ข้อดีของการทำงานในองค์กรที่เจนฯ วายคนเก่งเล่าได้อย่างไม่ติดขัด แถมออกจะมีแนวคิดที่นอกกรอบกว่าแนวคิดคนรุ่นใหม่หลายๆ คน ที่หันมาสนใจงานฟรีแลนซ์ คือโอกาสที่จะได้เปิดประสบการณ์การทำงานที่เป็นระบบ ได้เรียนรู้ขั้นตอนการทำงานด้านการตลาดที่ครบลูปอย่างแท้จริง

“กว่าจะคิดแต่ละโปรโมชัน แคมเปญการตลาด หรือจัดแต่ละอีเวนต์ออกมานั้น ต้องมีขั้นตอนอย่างไร ตั้งแต่การประสานงานกับแบรนด์ต่างประเทศ ซึ่งพอมาทำจริงๆ ถึงได้รู้ว่า มีหลายเรื่องที่ตอนยืนอยู่ในมุมลูกค้าไม่เคยรู้มาก่อน“ เบ็บเล่าอย่างออกรส ก่อนจะพาย้อนวันวานไปถึงจุดพลิกผัน ที่นำพาให้บัณทิตสาวอักษรฯ (อินเตอร์) จากรั้วจามจุรี หันมาโลดแล่นในแวดวงการตลาด

“เบ็บชอบแฟชั่นอยู่แล้ว ตั้งแต่เรียนจบก็ทำงานเกี่ยวกับแฟชั่นมาตลอด เริ่มจากฝึกงานเป็นนักเขียนที่นิตยสารทู (2 magazine) และมีโอกาสฝากผลงานเขียนให้กับนิตยสารและสื่อออนไลน์ต่างๆ ซึ่งทักษะการเขียนนี้เบ็บได้มาจากการบ้านที่คุณตา (ร.อ. ผจญ อินทฤทธิ์) ซึ่งเป็นคอลัมนิสต์ที่คู่สร้างคู่สมเป็นเทรนเนอร์ช่วยบ่มเพาะ เพราะสมัยก่อนคุณตาชอบให้เบ็บแปลและเรียบเรียงบทความจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยให้ ทำให้ได้ฝึกการเขียนโดยไม่รู้ตัว ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังชอบเขียนเลยทำเว็บไซต์ของตัวเอง เพื่อรวบรวมความคิดและความสนใจของเบ๊บอย่างจริงจัง ชื่อว่า moreBABEmore”

นอกจากนี้ ยังเคยทำงานเป็น Content Writer ที่เว็บไซต์แฟชั่นชอปปิ้งออนไลน์ “Zalora” 1 ปี ก่อนจะตัดสินใจไปเรียนต่อคอร์สแฟชั่นโปรโมชัน ที่ สถาบันมารังโกนี ที่มิลาน อิตาลี 1 ปี เพราะเบ็บไม่ได้วาพภาพตัวเองว่าจะเป็นดีไซเนอร์ ด้วยเบ็บเองก็ไม่ได้ถนัดงานออกแบบวาดรูป ที่ผ่านมา เบ็บจะมาสายงานเขียนเกี่ยวกับแฟชั่นมากกว่า จนกระทั่งพอไปเรียนต่อที่อิตาลีอย่างที่บอก เลยได้ต่อยอดความรู้ด้านการตลาด แต่ยังอยู่ในแวดวงแฟชั่นที่รักอยู่

ถามว่าแรงบันดาลใจที่ทำให้หลงใหลในแฟชั่นมาจากไหน เบ็บยอมรับอย่างไม่เขินว่า ได้รับอิทธิพลมาจากคุณพ่อคุณแม่ ที่ตัวเลขแห่งวัยไม่เคยเป็นอุปสรรคทำให้ความสนุกในการแต่งตัวลดน้อยถอยลง

“ที่บ้านเบ็บทุกคนชอบแฟชั่น ชอบแต่งตัว ในฐานะลูกสาวคนเดียว เบ็บเลยได้อิทธิพลจากคุณพ่อและคุณแม่มาเต็มๆ อาจเพราะความที่บ้านเราค่อนข้างสนิทกัน คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูกเหมือนเป็นเพื่อน ถ้ารู้ว่าลูกชอบอะไรก็สนับสนุนเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้สปอยนะ อย่างช่วงที่เบ็บไปเรียนต่อปริญญาโท ก็เหมือนส่งไปเผชิญโลกกว้าง ให้อยู่ด้วยตัวเองให้ได้ เพราะคุณแม่ไปอยู่ด้วย 1 เดือนแล้วก็กลับ เจอกันอีกทีตอนเรียนจบ เราก็โอเค แถมยังได้เรียนสิ่งที่ชอบ ยิ่งสนุก ได้ทำโปรเจกต์กับแบรนด์ลักชัวรีที่เป็นมืออาชีพจริงๆ เลยเหมือนเรียนไปด้วยฝึกงานไปด้วย มีโปรเจกต์ใหม่ๆ มาให้ทำตลอด ที่สำคัญยังได้เรียนรู้การทำงานกับคนหลากหลายชาติ หลายภาษา ต่างวัฒนธรรม พอเรียนจบกลับมาก็เลยมาทำงานที่นี่ ที่บ้านก็สนับสนุน บางครั้งเบ็บบอกว่าเหนื่อย คุณแม่ก็ให้กำลังใจและผลักดันให้เราทำต่อไป ไม่มีคำว่าเหนื่อยแล้วไม่ต้องทำ คุณแม่อยากให้ทำงานหนัก ตั้งแต่ตอนที่อายุยังน้อย”

1 ปีเต็มที่มาชิมลางในบทบาทใหม่ ซึ่งเป็นงานที่เบ็บบอกว่า “รักและอยากทำ” เบ็บเล่าอย่างออกรสว่า การทำงานในธุรกิจรีเทล ทำให้เห็นภาพกว้าง ได้เรียนรู้เบื้องหลังกลยุทธ์ในการบริหารของแบรนด์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ไฮสตรีทไปจนถึงลักชัวรีแบรนด์ ต้องคอยคิดและหาไอเดียใหม่ๆ ตลอดเวลา เพื่อต่อยอดสำหรับทำแคมเปญการตลาดและอีเวนต์

“ตอนนี้เบ็บสนุกกับงานที่ทำ ยังมีอีกหลายอย่างให้เรียนรู้ แต่ในอนาคตเบ็บคิดว่าจะกลับไปทำงานกับคุณแม่ ซึ่งเบ็บยังไม่ได้มีภาพในหัวชัดเจนว่าจะทำอะไร รู้แต่ว่าอยากทำในสิ่งที่เรียนมา เรื่องแฟชั่น อีเวนต์ ไลฟ์สไตล์ เบ็บมองว่าวงการแฟชั่นยังมีอีกหลายแง่มุมให้ Explore เป็นธุรกิจที่อยู่ได้ตลอด เพราะไทยเองก็บูมเรื่องไทยดีไซเนอร์อยู่แล้ว

สำหรับแบรนด์นอกก็มีทยอยเข้ามาเปิดตัวในไทยเรื่อยๆ ทั้งที่เป็นแบรน์ไฮสตรีทและลักชัวรี แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าทุกวันนี้โลกหมุนไว เราก็ต้องไม่หยุดนิ่ง ยิ่งมาอยู่ในธุรกิจรีเทล ยิ่งต้องพัฒนาตัวเองตลอด อัปเดตเทรนด์จากอินเตอร์เน็ต แมกกาซีน เพราะด้วยงานเราทำให้ต้องเร็วกว่าคนอื่น เวลามีแฟชั่นวีกต้องดูไลฟ์ ศึกษาว่าเทรนด์ไหนมา ดูในแง่การทำการตลาด เพราะเอาจริงๆ เราก็ยังใหม่กับงานนี้มาก แต่เบ็บอาศัยลูกอึดและใจที่สู้มากๆ เราไม่ท้อและคิดเสมอว่า ถ้าเราอยู่กับสิ่งที่เราชอบ ต่อให้ยากหรือเหนื่อยก็ยังโอเค บางทีกลับบ้านดึก เหนื่อย แต่ได้อยู่กับแบรนด์ที่เราชอบ แฟชั่น มันก็อิ่มใจ”

สำหรับผลงานที่ภาคภูมิใจจนอยากบอกต่อ เบ็บเลือกย้อนไปสมัยทำโปรเจกต์ตอนเรียนปริญญาโท แล้วได้รับโจทย์จากทีมงานของแบรนด์แฟชั่นระดับโลก มิสโซนิ (Missoni) จากอิตาลี ให้วางแผนการตลาดสำหรับพาแบรนด์ไปบุกตลาดเอเชีย

“ปีที่เบ็บเรียนเขาแบ่งกลุ่มให้เด็กเอเชียอยู่ด้วยกัน โดยโจทย์คือวางแผนการตลาดให้กับแบรนด์มิสโซนิ ในการเข้ามาบุกตลาดเอเชีย ซึ่งเขายังไม่เคยเปิดตลาดมาก่อน แต่ให้เราวางแผนว่าถ้าสมมติจะมาเปิดตลาดที่จีน ต้องใช้ใครเป็นอินฟลูเอนเซอร์ แผนการตลาดจะเป็นอย่างไร ซึ่งความภูมิใจคือ แผนของกลุ่มเบ็บเป็น1ใน 2 ทีมที่ชนะ และได้รางวัลให้ไปร่วมงานมิลานแฟชั่นวีก เพื่อดูโชว์ของเขา”

ชวนคุยเรื่องงานแฟชั่นที่ดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมาพอสมควร จนหมดข้อสงสัยในความหลงใหลในแฟชั่น ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาชวนคุยเรื่องเบาๆ กับไลฟ์สไตล์วันว่างของแฟชั่นนิสต้าสุดแนว ที่มีความสุดขั้วในตัว เพราะบางโมเมนต์เธอก็มีความสุขกับโลกส่วนตัวที่รายล้อมด้วยหนังสือ โดยเฉพาะ ผลงานของนักเขียนคนโปรด อย่าง มูราคามิ แต่ในบางโมเมนต์เธอก็ชอบไลฟ์สไตล์ที่มีสีสัน อย่าง การชอปปิ้ง ซึ่งคู่ซี้ขาชอปของเธอไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณแม่ที่ชอบสไตล์วินเทจเหมือนกัน ควงกันไปชอปปิ้งตั้งแต่ตลาดนัดจตุจักร จนลักชัวรี บางครั้งก็ฟินสุดๆ กับการได้ชื่นชมศิลปินโปรด

“เบ็บชั่งใจอยู่นานว่าจะบอกดีมั้ย แต่คิดว่าบอกดีกว่า คือเบ็บเป็นติ่งไอดอลเกาหลี ไม่ว่าจะเป็น วงบีทีเอส (BTS) แบล็กพิงค์ (Blackpink) ซึ่งไม่ได้ชอบแค่ผลงานเขา แต่ยังศึกษาไปถึงแฟชั่นของกลุ่มศิลปินเคป็อบ จะเห็นว่าปัจจุบันมีลักชัวรีแบรนด์ที่มาใช้ไอดอลเกาหลีมากขึ้น อย่าง ชาแนล เลือกแบล็กพิงค์เป็นเฟรนด์ คนอาจจะงงว่า เคป็อบจะเข้ากับลักชัวรีไหม แต่ตอนนี้เทรนด์เปลี่ยน หลายแบรนด์หันมาเลือกไอคอลจากเกาหลี เหมือนเป็นแนวการตลาดใหม่ เรียกว่าเป็นงานอดิเรกที่ได้งานไปด้วย (หัวเราะ)”

ตลอดเวลาที่ได้คุยกับเบ็บจะเห็นแววตาที่เป็นประกายทุกครั้ง เมื่อเธอพูดถึงแฟชั่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอมีแพสชันอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว อีกพลังบวกที่สาวสวยส่งมาให้ตลอดคือ แนวคิดที่เป็นพลังของชีวิตที่ใครๆ ก็นำไปใช้ได้ นั่นคือ การหมั่นชื่นชมตัวเองว่า ชีวิตนี้โชคดีเหลือเกินที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ


กำลังโหลดความคิดเห็น