บรรยากาศของการถ่าย Celeb Style ของเราในวันนี้ คึกคักเป็นพิเศษ เพราะเราได้รับเกียรติจากสองสาวเพื่อนซี้ที่คุยเก่งทั้งคู่ มานั่งพูดคุยกันในหลายๆ เรื่องทั้งเรื่องงาน ความสนิทสนมและเรื่องราวกุ๊กกิ๊กตามประสาผู้หญิง ที่อย่างไรเรื่องแฟชั่นก็อยู่ในสายเลือด กับ สองสาว “จอย-สุนันท์ษา นิธิวาสิน & บีม-รุสนันท์ ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม” คู่ซี้ที่ดูแรกๆ ก็งงว่าทำไมถึงมาสนิทกันได้ เพราะบุคลิกภายนอกคุณจอยนั้นแสนหวาน ส่วนคุณบีมก็ห้าวซะ!
เราเริ่มพูดคุยกันด้วยเรื่องการอัปเดตสิ่งที่แต่ละคนนั้นดูแลรับผิดชอบอยู่ เริ่มจาก สาวจอย-สุนันท์ษา ที่หลายคนคงคุ้นหน้าเธอจากพิธีการสาวหน้าหวาน ที่พักหลังเธอหายหน้าหายตาไปจากแวดวงบันเทิงบ้านเรา เพราะต้องการใช้ชีวิตครอบครัวกับสามีที่น่ารัก “ป๊อบ-ศุภชล นิธิวาสิน” แฟนหนุ่มนอกวงการ ทายาทธุรกิจโรงแรมและบริษัทปิโตรเคมี โดยเธอก็ผันตัวเองไปเป็นเทรนเนอร์ทางด้านการใช้ทักษะ การจัดการกับอารมณ์ และการแก้ปัญหา โดยหลังจากที่ค้นหาทางที่ชอบอยู่นานตอนนี้เธอเอนจอยมาก
“สิ่งที่จอยทำคือการจัดฝึกอบรมพนักงานให้กับบริษัทต่างๆ อาจจะเป็นการเทรนเรื่องทักษะ กระบวนการความคิดให้กับพนักงาน ตั้งแต่ระดับผู้จัดการไปจนถึงผู้อำนวยการ โดยจุดเริ่มต้นที่เข้ามาสู่การทำงานตรงนี้ เริ่มมาจากความต้องการพัฒนาตัวเอง เหมือนกับอยากหาคำตอบอะไรบางอย่างให้กับชีวิต คิดว่าถ้าเราไม่ได้เป็นนักแสดง ดารา แล้วเราอยากเป็นอะไร? ก็เลยเริ่มต้นจากการเทคคอร์สต่างๆ หาตัวเอง เป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของเราหลังจากที่แต่งงาน ซึ่งก็พูดได้เลยว่าคุ้มค่า อาจจะเหนื่อยหน่อยกับการปรับตัวช่วงแรกของชีวิตคู่ แต่ทุกวันนี้จอยแต่งงานมา 9 ปีแล้ว ยังตกหลุมรักกันทุกวัน เพราะเรายอมปรับตัวเข้าหากัน โดยที่จอยเองก็ยอมเสียสละชีวิตในวงการบันเทิง ทุกวันนี้กลายเป็นอาจารย์ (หัวเราะ)”
นอกจากนี้ เธอยังเป็นพาร์ตเนอร์กับบริษัทต่างประเทศ อย่าง สิงคโปร์ เพื่อนำเข้าแบบทดสอบสมอง 4 สี แบบทดสอบลักษณะความคิดของคน ซึ่งก็เป็นการต่อยอดจากสิ่งที่เธอชอบทำ เรียกได้ว่าเป็นการเรียกความภูมิใจในศักยภาพของตัวเอง ให้มีความมั่นใจมากขึ้น “สิ่งที่จอยทำอยู่นี้ อาจเป็นสิ่งเล็กๆ แต่จอยกลับรู้สึกว่าสำเร็จแล้วในชีวิต เพราะว่างานที่เราทำให้ความหมายกับชีวิต ทั้งความหมายกับชีวิตเราเอง และจอยยังได้ใช้สิ่งต่างๆ มอบต่อสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับคนอื่นอีก” สาวจอยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ โดยที่มีเพื่อนซี้รุ่นพี่นั่งปรบมือให้กับความสำเร็จของเธอ นั่นก็คือ “บีม-รุสนันท์ ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม” สาวคล่องแคล่วที่บอกเลยว่าพาวเวอร์ของเธอเกินร้อยจริงๆ เพราะโดยส่วนตัวหน้าที่การงานที่อัดแน่นแล้ว แต่เธอก็ยังมีเวลาเพื่อเป็นกำลังใจให้กับน้องสาวแสนสนิทคนนี้
“รุสนันท์ ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม” สาวเก่งคนนี้เธอเป็นทายาทของ “ณภัทร ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม” เจ้าของค่ายหนังชื่อดัง บีมจบปริญญาตรีด้านนิเทศศาสตร์ ภาควิชาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ และต่อปริญญาโทในคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ บุคลิกของเธอจึงเป็นทั้งนักสื่อสาร หัวครีเอทีฟ และนักบริหารในตัว ปัจจุบันบีมเป็นซีอีโอ บริษัท ดรีมไฮ เอเจนซี บริษัทที่ให้บริการงานโฆษณา เป็นตัวแทนผลิต วางแผนการใช้ จำหน่ายสื่อโฆษณา และผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท มีเดีย คอนเวอร์เจนซ์ และบริษัท ดีเอชเอ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท ทูแฮนด์ โดยมีเดีย คอนเวอร์เจนซ์ ทำเกี่ยวกับการตลาดและประชาสัมพันธ์ โอ้โห ธุรกิจที่เธอต้องดูแลนั้นอัดแน่นจริงๆ!
“ครอบครัวบีมทำธุรกิจเอนเตอร์เทนฯ ตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็เกิดประสบการณ์ในการเรียนรู้กระบวนการการทำงานต่างๆ ไม่ว่าจะทำละคร ทำรายการทีวี ทำภาพยนตร์ ซึ่งด้วยความที่เราเป็นคนชอบคิดอะไรใหม่ๆ พอคิดออกมาแล้วปุ๊บ มีโอกาสทำได้ งานของบีมก็คือผู้สร้างนั่นเอง แต่ก็ดูจังหวะว่าเราเจออะไรที่น่าสนใจหรือเปล่า เช่น ปีนี้เจอบทละครหรือบทหนังดีๆ เราสร้างละคร เจอคนน่าสนใจเราก็สร้างเขาขึ้นมาเป็นดารา มีโปรเจกต์ที่ใหม่ยังไม่เคยมีใครทำ เราก็ Make it happen เป็นผู้สร้าง สำเร็จไม่สำเร็จว่ากัน แต่เราได้ลงมือทำ”
จากการที่ต้องคิดและลองค้นหาสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอนั้น ทำให้บีมได้ไปลองลงเรียนคอร์สต่างๆ เพื่อพัฒนาตัวเองและหาแรงบันดาลใจ ทำให้ได้เจอกับจอยที่ก็ต้องการพัฒนาตัวเองด้วยเหมือนกัน จนเป็นจุดเริ่มต้นของสองสาวคู่ซี้ที่กลายเป็นปาท่องโก๋กันอยู่ทุกวันนี้
“วันแรกที่บีมเจอจอย บีมไม่รู้ว่าจอยคือดารา แค่รู้สึกว่าหน้าคุ้นๆ วันนั้นจำได้เลยว่าจอยดูเป็นเด็กเรียนมาก รู้สึกว่าคนคนนี้มีพลัง บีมก็เลยไปนั่งกับจอย แล้วไม่จดเลกเชอร์ แต่บอกให้จอยจดแทน (หัวเราะ) เพราะเราอยากเรียนรู้จากคนๆ นี้” นั่นคือความคิดแรกของบีม เพื่อนสาวรุ่นพี่
ฝั่งสาวจอยก็เกิดอาการงงๆ ที่รุ่นพี่คนนี้เข้ามาตีสนิทกับเธอ “เชื่อไหมว่าคนในคลาสอยากเข้าหาพี่บีมเยอะมาก คือทุกคนอยากรู้จักเพราะพี่บีมเป็นผู้อำนวยการสร้าง มีพาวเวอร์ ปั้นดารา แต่จอยเฉยๆ เพราะตอนนั้นแค่ต้องการหาตัวเอง โฟกัสแค่ตัวเอง คนมีตั้งเยอะแยะพี่บีมไม่จับคู่กับใครเลย จับคู่ทำรายงานทำกิจกรรมกับจอยทุกครั้ง”
และสิ่งที่บีมสารภาพถึงสาเหตุที่อยากสนิทกับจอยก็คือ เธออยากเห็นจอยยิ้มให้กับตัวเองอย่างมีความสุข “ในวันนั้นจอยไม่ได้ยิ้มร่าเริงแบบนี้นะ เขาดูมีความสับสนในตัวเขา ทุกครั้งที่นั่งมองเขาเรียนอย่างตั้งใจเพื่อหาคำตอบ เราก็จะคอยช่วยให้เขาค้นพบสิ่งที่เขาอยากจะทำ ถามเขาบ่อยมากว่า หนูจะเป็นอะไร หนูจะทำอะไร อะไรทำให้จอยมีความสุข แต่มีคีย์หนึ่งที่สัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนที่อยากทำให้คนอื่นมีความสุข”
และแม้ว่าจะจบคลาสเรียนไปแล้ว แต่ความสัมพันธ์ของสองสาวคู่ซี้ต่างวัยก็ยังไม่จบ เพราะยังมีการติดต่อไปมาหาสู่กันอยู่ตลอด แต่ก็เป็นคู่ซี้ที่มีความแตกต่างกันคนละขั้ว เช่น บีมจะเป็นคนที่ชอบปาร์ตี้ ห้าว ห้วน ตรงไปตรงมาแฮงก์เอาต์ได้ทุกวัน ส่วนจอยนั้นจะนุ่มนวล ไม่ชอบปาร์ตี้ มีโลกส่วนตัว แต่มาสนิทกันได้
“บีมกับจอยเหมือนสมองคนละซีก จอยเป็นฝั่งตรรกะ เหตุผล ทฤษฎี ส่วนบีมเป็นพวกเพียวอาร์ต จะเรียกความสมดุลก็คือขั้วบวก ขั้วลบ เป็นบาลานซ์ของเคมีที่เชื่อมต่อกัน” บีมอธิบายให้เห็นภาพถึงความลงตัวของการสนิทกันของเธอและจอย
กิจกรรมที่ทั้งสองสาวชอบทำด้วยกันนั้น บีมรีบออกตัวก่อนว่าเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่างเพียงแค่เพื่อนซี้รีเควสมา พี่จัดให้! ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นกิจกรรมทานข้าว เล่นกีฬา และชอปปิ้ง
“เราไปชอปปิ้งด้วยกันได้นะ เดินเข้าไปร้านเดียวกัน แต่เราแยกกันคนละมุม จอยจะแนวฟรุ้งฟริ้ง กุ๊กกิ๊ก ส่วนบีมก็ไปอยู่มุมสูท เสร็จแล้วบีมจะเป็นคนรอน้อง พอเปลี่ยนร้านก็เหมือนเดิมอีก แต่เราก็รอกันไปด้วยกัน แล้วแต่จอย อยากซื้ออยากดูอะไร”
แต่หากจะให้พูดถึงสไตล์ของแต่ละคน แม้บุคลิกและสไตล์การแต่งตัวจะดูแตกต่างกัน แต่เมื่อพูดเรื่องแฟชั่นก็ดูเหมือนจะเป็นภาษาเดียวกัน เพราะทั้งคู่ก็มีการแนะนำกันบ้าง
เริ่มจากสไตล์ของสาวบีม ที่นอกจากจะมีมาดลุยๆ เวลาทำงานโปรดักชันแล้ว แต่บางทีก็มีมาดของผู้บริหารอยู่ด้วยเหมือนกัน “สไตล์การแต่งตัวของบีมคือเรียบๆ บีมเป็นคนขี้เกียจแต่งตัว แต่งหน้า แต่บางครั้งด้วยความที่เป็นเป็นผู้บริหาร เวลาออกสื่อ หรือต้องแถลงโปรเจกต์ต่างๆ ก็ต้องมีกันบ้าง ก็จะเน้นเป็นเสื้อเชิ้ตกางเกง หรือสูทกับกางเกงบ้างกระโปรงบ้าง มีสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ รองเท้าส้นสูง เห็นห้าวๆ อย่างนี้รองเท้าต้อง 4 นิ้วขึ้นไปนะคะ (หัวเราะ) แต่ว่าถ้าเทียบกับจอย จอยจะมีความเยอะกว่า”
ส่วนสาวจอยแสนหวานนั้น พูดเลยว่าเธอก็เป็นแฟชั่นนิสต้าคนหนึ่ง เพราะแต่ละไอเทมที่เธอขนมาถ่าย Celeb Style ในครั้งนี้ เป็นไอเทมเด็ดของแต่ละแบรนด์เลยทีเดียว “จอยจะเป็นคนดูแลตัวเอง ชอบแต่งตัวสวย ในการแต่งตัวจอยจะต้องมีไอเทมที่เป็นที่เป็นจุดพักสายตาให้คนอื่นมอง แบบสมมุติใส่เสื้อเรียบๆ แต่เข็มขัดจะต้องใหญ่ ต่างหูจะต้องใหญ่ เหมือนมีคีย์ไอเทม ต้องมีความวิบวับในตัว แล้วจอยเป็นคนเนี้ยบรองเท้าขาดนิดหนึ่ง กระเป๋าเป็นรอยนิดหนึ่ง หรือเสื้อเป็นรอยหลุดไม่ได้นะ!(หัวเราะ)”
เมาท์ยาวกันมาถึงจุดนี้ อยากรู้ว่ามีสิ่งไหนที่สองสาวเพื่อนซี้เป็นห่วงกันบ้าง สาวรุ่นน้อง จอย-สุนันท์ษา รีบชิงบอกถึงความห่วงใยต่อเพื่อนสาวรุ่นพี่ว่า
“พี่บีมทำงานหลายโปรเจกต์ ห่วงว่าเขาหลุดโฟกัส จอยว่าสามีจอยทำงานเยอะแล้วนะ สามีจอยทำ 10 บริษัท พี่บีมทำเยอะกว่า 10 บริษัทอีก จอยกังวลว่าเขาได้มีเวลาจัดการตัวเองบ้างไหม เพราะจอยให้เวลากับจิตใจตัวเองเยอะมาก จอยบอกพี่บีมบนโลกใบนี้นะจอยทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ถ้าใจจอยกระสับกระส่ายเมื่อไหร่ จอยจะดีลกับปัญหาไม่ได้ พี่บีมคุยกับคนเยอะมากต้องจัดการหลายอย่าง เป็นห่วงว่าเขาจะไม่ค่อยดูแลตัวเอง
พี่บีมเคยถามจอยอยากได้อะไรในชีวิตนี้อีก จอยบอกไม่ได้อยากได้อะไรอีกแล้ว ในชีวิตนี้พอใจแล้ว อยากตายพร้อมกับอาชีพนี้ สามีก็ดี พ่อแม่ก็แข็งแรง บ้านก็มี หนี้ก็ไม่มี เหลืออย่างเดียวคือ จอยอยากมีลูกซึ่งกำลังพยายามอยู่ค่ะ (ยิ้ม)”
ทางฟากรุ่นพี่ที่รู้เห็นความเป็นมาเป็นไปของชีวิตน้องสาวคนนี้ ก็บอกเล่าถึงความเป็นห่วงด้วยเช่นกันว่า “สิ่งเดียวที่ห่วงคือจอยเป็นคนเครียดง่าย ก็จะพยายามบอกเขาว่า อยากทำอะไร ไปทำ แฮปปี้มีความสุข อย่าไปเครียด เพราะว่าเขานอยด์นะ นอยด์จนบีมงง เขามีอารมณ์ศิลปินสูงมาก ก็อยากจะให้เขามีความมั่นคงทางอารมณ์มากขึ้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่ค่อยห่วงเพราะครอบครัวเขาแข็งแรงอยู่แล้ว”
จุดนี้พาให้เราอดยิ้มไม่ได้กับมิตรภาพดีๆ ความสนิทและความห่วงใยของทั้งสองสาว ที่แม้จะมีความต่าง ทั้งต่างวัย ต่างสไตล์ แต่เมื่ออยู่ด้วยกันแล้ว ช่างลงตัวดีแท้!
Credit