ไม่เพียงแต่ลุคที่ดูสมาร์ท มั่นใจ แถมด้วยมุมมองที่เฉียบขาด สมกับเป็นนักบริหารดาวรุ่งที่น่าจับตา “ธัญญ่า-ธัญทิพ เจียรวนนท์” ทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลเจียรวนนท์ และ กล้า-ชวิน อรรถกระวีสุนทร” ก็เติบโตมาในครอบครัวที่เป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ในกรุงเทพฯ และภาคใต้ของไทย มาเป็นเวลาหลายสิบปี ซึ่งทั้งคู่กลายเป็นเพอร์เฟกต์พาร์ตเนอร์ ในการร่วมก่อตั้งอาณาจักรที่เปี่ยมไปด้วยแพสชัน อย่าง บริษัท 1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ จำกัด ได้อย่างไร้ที่ติ พิสูจน์ได้จากผลงานการปลุกปั้น “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ” ลักซ์ชัวรีคอนโดมิเนียมโครงการแรกของบริษัท ที่เปิดตัวมาก็สะท้านวงการอสังหาฯ ไม่เบา ด้วยแนวคิด “The Smart Difference : แตกต่างอย่างชาญฉลาด”
จุดร่วมที่ลงตัวของสมองซีกซ้าย+ขวา
ใครที่ผ่านไปแถวปากซอยทองหล่อ ต้องสะดุดตากับเซลแกลอรีของ “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ” (The Strand Thonglor) ซึ่งห่างจากบีทีเอสเพียงไม่กี่ก้าว วันนี้สองนักบริหารคนเก่งเปิดเซลแกลอรีให้ได้สัมผัสกับไลฟ์สไตล์ของย่านสุดชิค ที่ทั้งคู่นิยามว่า เปรียบดั่งการสร้างสรรค์งานศิลปะและงานฝีมือชั้นสูง
“ธัญญ่าเริ่มสนใจวงการอสังหาฯ ตั้งแต่ตอนทำงานที่ Hong Kong Land เคยคิดอยากจะลงทุนพวกอสังหาฯ ที่ฮ่องกง แต่หลังจากศึกษาตลาดแล้วรู้เลยว่า ไม่ง่าย แถมยังต้องใช้เงินค่อนข้างมาก ประกอบกับช่วงนั้นธัญญ่าได้ปรึกษาคุณอา (บี-ทิพาภรณ์ เจียรวนนท์) ว่าสนใจด้านนี้แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน คุณอาจึงชวนให้มาเรียนรู้งานที่ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) ประมาณ 2-3 เดือน ธัญญ่าเก็บกระเป๋ามากะอยู่ไม่กี่เดือน แต่ถึงวันนี้อยู่ยาวมา 4 ปีแล้วค่ะ (หัวเราะ)” หลานสาวเจ้าสัวธนินท์เล่าถึงเส้นทางที่ราวกับพรหมลิขิต
หลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในวงการอสังหาฯ อยู่ 2 ปี ในฐานะผู้จัดการโครงการ MQDC ซึ่งเป็นประตูแห่งโอกาสบานสำคัญ ที่ทำให้เธอได้เรียนรู้โลกของอสังหาฯ อย่างเจาะลึก ภาพความฝันที่อยากจะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่เมืองไทยก็เริ่มชัดเจนขึ้น
“ธัญญ่าค่อยๆ ฟอร์มทีมเล็กๆ พร้อมๆ กับหาที่ดิน ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากที่สุด ต้องไปคุยกับเจ้าของที่ดิน นายหน้า ถือเป็นโจทย์ยากแต่ยิ่งทำก็ยิ่งสนุก อย่างตอนที่ต้องหาไอเดียในการพัฒนาโครงการให้แตกต่าง ธัญญ่านำประสบการณ์จากการใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมานาน ได้เห็นไอเดียการออกแบบสเปซให้เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย แต่สามารถสร้างคุณค่าในทุกๆ ด้านของชีวิตมาปรับใช้”
ทั้งนี้ เพื่อเสริมความมั่นใจว่าไอเดียที่คิดไม่หลงทาง ด้วยความที่ธัญญ่าเพิ่งกลับมาเมืองไทยไม่นาน เพื่อนคนไทยยังน้อย เธอจึงอาศัยกรุ๊ปไลน์ที่มีเพื่อนคนไทยอยู่ราว 7-8 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีกล้าด้วย เป็นกลุ่มตัวอย่างในการทำมินิเซอร์เวย์ว่า มีความเห็นอย่างไรกับที่ดินแปลงที่เธอหมายตา หรือถ้าจะพัฒนาโครงการแนวนี้ เพื่อนๆ คิดอย่างไร เชื่อไหมว่าถามไป ทั้งกลุ่มไม่มีใครตอบเลย (ยิ้ม) มีกล้าคนเดียวที่ตอบ ซึ่งตอนนั้นเป็นจังหวะที่เขาออกจากงานจะกลับไปช่วยธุรกิจครอบครัว”
“ตอนนั้นธัญญ่าเริ่มมองหาพาร์ตเนอร์ พอเห็นว่าเขาสนใจด้านนี้เลยลองชวนดู ปรากฏว่าเขาปฏิเสธ (ยิ้ม) ธัญญ่าก็โอเค ไม่เป็นไร เพราะตอนนั้นก็ทาบทามอยู่หลายคน แต่สุดท้ายก็พบว่า ไม่มีใครที่จะเป็นพาร์ตเนอร์ที่ลงตัวเท่ากับกล้า ธัญญ่าเลยตัดสินใจชวนเขาอีกครั้ง ปรากฏว่าครั้งนี้เขาตอบตกลง”
กล้าจึงถือโอกาสชี้แจงเหตุผลที่ทำให้เปลี่ยนใจมาสวมบทแม่ทัพเคียงบ่าเคียงไหล่ธัญญ่าว่า “ครั้งแรกที่ผมปฏิเสธ เพราะตั้งใจกลับมาช่วยสานต่อธุรกิจครอบครัวจริงๆ แต่ปรากฏว่าคุยไปคุยมา ด้วยความที่ตอนนั้นผมกำลังไฟแรง อยากจะปลุกปั้นโปรเจกต์ของตัวเอง แต่ธุรกิจครอบครัวค่อนข้างคอนเซอร์เวทีฟ จึงยังไม่ค่อยลงตัว พอธัญญ่ามาทาบทามอีกครั้ง ผมจึงตอบตกลง เพราะนอกจากจะเห็นถึงความมุ่งมั่นของเขาในการทำโปรเจกต์ เรายังเห็นภาพเดียวกับสิ่งที่เขากำลังจะทำ ที่สำคัญเรามีพื้นฐานเป็นเพื่อนกันมาก่อน รู้นิสัยใจคอกันดี น่าจะทำโปรเจกต์ที่สนุกๆ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้เลยตกลงมาทำงานด้วยกัน”
กล้ายังบอกด้วยว่า เขาและธัญญ่าร่วมกันสร้างบริษัทแบบค่อยเป็นค่อยไป จากทีมงานไม่กี่คน ทำงานในออฟฟิศเล็กๆ ซึ่งกล้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า เหมือนกับห้องเก็บของขนาดกะทัดรัดเพียง 20 ตร.ม. จนวันนี้ทีมงานใหญ่ขึ้นออฟฟิศก็ขยับขยายตาม แต่ทั้งคู่ยังให้ความสำคัญกับทุกฟันเฟืองในบริษัท มีการประชุมทุกเช้าวันจันทร์เพื่ออัปเดตความคืบหน้าของแต่ละแผนก ซึ่งทั้งคู่เห็นพ้องว่า ธุรกิจที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เปรียบเหมือนการเรียนปริญญาโทในห้องเรียนธุรกิจจริง จนไม่คิดว่าชีวิตนี้ต้องขอเบรกจากธุรกิจไปเรียนต่ออีกแล้ว ถามถึงในแง่การทำงานร่วมกันของสองหัวเรือใหญ่ เป็นอีกครั้งที่ทั้งธัญญ่าและกล้าตอบตรงกันราวกับนัดกันว่า ทั้งคู่เป็นจิกซอว์คนละรูปทรงแต่ต่อกันได้ลงล็อก
“ถึงธัญญ่าจะมาสายอาร์ต สายดีไซน์ ผมมาสายการเงิน สายรัฐศาสตร์ จนเหมือนเราเป็นสมองซีกซ้ายและขวาที่ตรงข้ามกัน แต่พอมาทำงานด้วยกันกลับส่งเสริมกันได้ดี ซึ่งผมมองว่าความต่างของเราเป็นเรื่องที่ดี เพราะถ้าเหมือนกันหมดคงทำงานด้วยกันยาก ที่ผ่านมาเราแบ่งงานกันชัดเจน ผมจะดูแลเรื่องกฎหมาย การเงิน เรื่องคน ส่วนธัญญ่าจะดูแลด้านดีไซน์ และคอนเซ็ปต์ต่างๆ แต่เรามีวิชั่นที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายเดียวกัน”
ขณะที่ ธัญญ่าเสริมว่า “กล้าเติมเต็มส่วนที่ธัญญ่าไม่ถนัดได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ เรื่องตัวเลข ไฟแนนซ์ ซึ่งสำคัญมากในการทำธุรกิจ เขาเป็นบาลานซ์ที่ดีในการทำงานร่วมกัน ที่สำคัญเรายังเป็นพวกคิดและคุยเรื่องงานได้ตลอดเวลาเหมือนกัน คือเห็นอะไรก็ดึงเข้ามาเชื่อมโยงได้หมด หลังจากทำงานกันมา 2 ปี ธัญญ่าคิดว่าตัวเองเลือกไม่ผิด ถึงบางครั้งเราจะเห็นไม่ตรงกัน แต่สุดท้ายก็กลับมาอยู่ในจุดที่ว่า เราต่างรักองค์กรเหมือนกัน อยากทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด อารมณ์เหมือนพ่อแม่ทะเลาะกันเรื่องลูก เพราะฉะนั้น เราต้องพยายามบาลานซ์และเข้าใจอีกฝ่ายให้มากที่สุด และหาวิธีรวมสมองซีกซ้ายและขวาให้เป็นสมองที่ใหญ่ขึ้นแทน”
ฟังมาถึงตรงนี้ ไม่ต้องสงสัยแล้วว่า ทั้งคู่ทำงานเข้าขากันเบอร์ไหน งานนี้จึงลองให้ทั้งคู่เปรียบเปรยความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอะไรสักอย่าง ที่เป็นรูปธรรม งานนี้ธัญญ่าชิงตอบก่อนว่า เราเหมือนหมากับแมว ที่บางครั้งเราก็อยากฆ่ากันให้ตายไปข้าง แต่บางครั้งก็ไฮไฟว์กัน ส่วนใครจะเป็นหมาน้อยหรือแมวผู้น่ารัก ธัญญ่าตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดว่า เธอขอเป็นแมว เพราะคาแรกเตอร์ของแมวบางครั้งก็นิ่งๆ บางครั้งก็ขี้เล่น ผิดกับหมาที่เฟรนด์ลีตลอดเวลา
ขณะที่ กล้าเลือกเปรียบเทียบทั้งคู่เป็นเหมือนผู้เล่นในเกมที่ต้องจับมือกันผจญภัยฝ่าด่านต่างๆ ไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ผ่านด่านใหม่ๆ ก็จะได้สะสมอาวุธและประสบการณ์มากขึ้น
:: เปิดใจผู้บริหารหนุ่มหัวก้าวหน้า
มารู้จักตัวตนของสองผู้บริหารให้ลึกซึ้งขึ้น เริ่มจากหนุ่มกล้า ที่โปรไฟล์เริ่ดไม่เบา แถมยังเรียนเก่งจนคว้าเกียรตินิยมจาก London School of Economics and Political Sciences (LSE) มาแล้ว
“ผมไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่ 10 ขวบ ตอนที่ไปภาษาอังกฤษผมแย่มาก ช่วงสัปดาห์แรกโฮมซิก ร้องไห้ทุกวัน จำได้ว่าครูถามว่าร้องไห้เพราะอะไร ผมก็ไม่ได้ตอบ เพราะไม่รู้ต้องตอบอย่างไร (ยิ้ม)”
“ผมเลือกเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะฝันอยากรับราชการ อยากเป็นทูต แต่พอได้ศึกษาลงลึกถึงเส้นทางสู่อาชีพในฝันที่ต้องอาศัยเวลาและหลากหลายปัจจัย ทำให้ผมตัดสินใจเบนเข็มมาโฟกัสสายการเงินแทน เพราะมองว่าจะเป็นประโยชน์กับการทำธุรกิจมากกว่า”
พอเรียนจบ กล้าเริ่มงานแรกด้วยการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินชั่วคราว (สัญญา 6 เดือน) ให้กับ JP Morgan ประเทศไทย และได้รับโอกาสให้ไปประจำที่นิวยอร์กช่วงสั้นๆ แต่พอกลับมาทำงานที่เมืองไทยได้เพียง 2-3 เดือน ก็เป็นจังหวะที่องค์กรต้องการลดต้นทุนเพื่อฝ่าวิกฤต มีการเลย์ออฟพนักงานทั่วเอเชีย ซึ่งกล้าก็เป็นหนึ่งในนั้น
กล้ายอมรับว่าช่วงนั้นเขาก็เขวเหมือนกัน แต่ก็ตัดสินใจเริ่มงานใหม่ในฐานะผู้ดูแลจัดการการลงทุนกลุ่มในเอเชียและญี่ปุ่น ที่ โรงแรมดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ทำได้ 8 เดือนก็ได้รับการทาบทามให้กลับมาร่วมงานกับ JP Morgan อีกครั้งในฐานะพนักงานประจำ
“ผมตัดสินใจกลับมาเพราะชอบงานนี้ และอยากแก้ปมคลายความรู้สึกที่ยังติดค้างอยู่ในใจ ครั้งนี้ผมอยู่นาน 4 ปี จนวันหนึ่งอยากกลับมาช่วยธุรกิจครอบครัว แต่จังหวะไม่ลงตัว เลยได้มีโอกาสมาร่วมก่อตั้ง บริษัท 1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ จำกัดแทน”
แต่ถึงจะยุ่งแค่ไหน กล้าก็ไม่ลืมดูแลตัวเอง เพราะสองกิจกรรมที่เขาชื่นชอบ นอกจากการเล่นกีฬาคือ การพบปะสังสรรค์ “ผมเล่นกีฬาหลายอย่าง ถ้าเป็นฤดูหนาว ผมจะไปเล่นสโนว์บอร์ด ถ้าอยู่ไทยเข้ายิมตลอด หรือไม่ไปทะเลก็ไปเล่นไคท์เซิร์ฟ ส่วนเวลาว่างที่เหลือชอบพบปะเพื่อนฝูง ไปหาที่แฮงก์เอาต์ร้านอาหารใหม่ๆ ขยายเครือข่าย ขยายความรู้” กล้าทิ้งท้าย
:: ผู้บริหารสายอาร์ต ลูกไม้หล่นใต้ต้น
ขณะที่ ธัญญ่า สาวสวยมากความสามารถ ลูกสาวสุดที่รักของ “ศุภกิต กับมาริษา เจียรวนนท์” และยังเป็นหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าสัวซีพี เธอเติบโตที่ฮ่องกง อาศัยเรียนภาษาไทยจากแม่บ้าน ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่อายุ 15 ปี และจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการออกแบบสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ศิลปะ จาก The University of Pennsylvania ธัญญ่าเคยฝึกงานที่ Ogilvy & Mathers ที่นิวยอร์ก และทำงานเป็นนักออกแบบจิวเวลรีให้กับสถาบันการประมูล Sotheby's ก่อนจะเปิดโลกอสังหาริมทรัพย์ที่ฮ่องกง แลนด์
“ธัญญ่าชอบศิลปะตั้งแต่เด็ก ฝันอยากเป็นศิลปิน จนเข้ามหาวิทยาลัยถึงเริ่มเบนเข็มมาชิมลางสายงานสถาปนิก เพราะธัญญ่ามองว่าเป็นศิลปะอีกแขนงที่ก่อให้เกิดประโยชน์ที่จับต้องได้ มากกว่าความสวยงาม แต่ว่าหลังจากได้มีโอกาสไปฝึกงานที่บริษัทสถาปนิกจริงๆ กลับพบว่า สถาปนิกเองไม่ได้สามารถออกแบบทุกอย่างได้ตามใจ แต่ต้องออกแบบตามโจทย์ของลูกค้า ทำให้ธัญญ่าเริ่มเขวอีกครั้งว่า อยากทำอะไรกันแน่ จึงไปลองฝึกงานด้านการตลาด แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่งานในฝัน จนกระทั่ง มาทำงานที่ฮ่องกง แลนด์ และจุดประกายให้สนใจแวดวงอสังหาฯ”
อย่างไรก็ตาม ทิ้งท้ายด้วยวันว่างของทายาทเจ้าสัวซีพี ที่อาจทำให้หลายคนแปลกใจ เพราะวันว่างของธัญญ่า คือความสุขที่หาได้ง่ายๆ จากการออกไปเดินเล่นตามตลาดดอกไม้ หรืองานเทรดโชว์ ที่จัดแสดงผลงานศิลปะ งานดีไซน์ และงานที่เกี่ยวข้องกับสัตว์โลกที่แสนน่ารัก อีกหนึ่งกิจกรรมคือ การเดินทาง เพื่อเติมเต็มแรงบันดาลใจในการทำงานให้กับตัวเอง” สาวสวยทายาทตระกูลดังกล่าวทิ้งท้าย