หลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตา “เพ็บ-นัยน์ชนก ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา” สาวสวยผมบลอนด์ ในลุคสุดเปรี้ยวและถูกใจสาย ฝ.สุดๆ มาบ้าง จากหน้าสังคมและรายการเรียลลิตีสุดฮอต This is me VATANIKA น้องสาวคนเล็กของ “แพร-วทานิกา ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา” เจ้าของแบรนด์วทานิกา (VATANIKA) เจ้าของวลีเด็ด “สาจ๋า” หนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของรายการดังกล่าว เพราะนอกจากจะคุมงานเบื้องหลัง บางอีพีเธอยังแวะเวียนมาโชว์ความแซ่บที่ไม่แพ้พี่สาว ให้ได้เห็นหน้าค่าตากันบ้าง
เพ็บเล่าให้ฟังว่าเธอและพี่สาวมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกัน โดยเฉพาะ หน้าตา ที่หลายคนทักว่าละม้ายคล้ายคลึงกัน ยังไม่รวมคาแรกเตอร์ และมุมมองในการใช้ชีวิต ที่ค่อนข้างคล้ายกันมาก เลยทำให้เป็นคู่พี่น้องสุดซี้ที่แค่มองตาก็รู้ใจ
“เพ็บเรียนจบจากคณะศิลปศาสตร์ (ภาคภาษาอังกฤษ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจบเพ็บก็มาฝึกงานกับพี่แพร เริ่มจากงานทั่วๆ ไป เช่น ตามพี่แพรไปถ่ายรายการ ถ่ายแฟชั่น จนเข้ามาเป็นฟูลไทมส์ เพราะมาช่วยพี่แพรทำรายการเรียลลิตี This is me VATANIKA หน้าที่หลักคือเป็นผู้กำกับภาพ ดูภาพรวมของรายการทั้งหมด จริงๆ ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเป็นโปรเจกต์ใหญ่ หรือมาได้ไกลขนาดนี้ แต่พอทำๆ ไป ปรากฏว่ากระแสตอบรับดี ประสบความสำเร็จกว่าที่คิดไว้” เพ็บอัปเดตถึงโปรเจกต์ที่ทุ่มสุดตัวอย่างออกรส ก่อนเสริมว่า
“ตั้งแต่ปลายเมษายนถึงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เป็นช่วงที่เพ็บทุ่มเทเวลาให้กับการทำรายการอย่างเต็มที่ มาช่วงนี้ถึงเริ่มได้พัก เพราะเป็นช่วงเบรกซีซันส์ ส่วนจะมีซีซันส์ต่อมาหรือไม่ และเมื่อไหร่ต้องรอติดตาม” สาวสวยทิ้งปริศนาไว้ให้ชวนคิด ก่อนจะย้อนกลับไปเล่าถึงความสนุก ที่ได้ทำรายการเรียลลิตีเต็มตัวเป็นครั้งแรกด้วยแววตาเป็นประกาย
“ช่วงนั้นเพ็บต้องตามพี่แพรไปทำงานแทบจะทุกที่ เก็บทุกรายละเอียด เพราะรายการเราไม่ได้เตรี๊ยมล่วงหน้า เราไม่รู้ว่าโมเมนต์สำคัญๆ จะเกิดขึ้นตอนไหน เราก็ต้องถ่ายเก็บไปก่อน โชคดีที่เพ็บเป็นน้องสาวของพี่แพร ทำให้การทำงานตรงนี้ค่อนข้างคล่องตัว นอกจากเพ็บจะรู้ตารางงานพี่แพรทั้งหมดอยู่แล้ว เพ็บยังพอจะจับได้ว่า งานไหนควรตามพี่แพรไป หรืองานไหนไม่ต้องตาม”
ถามว่าทำไมเพ็บถึงจับผลัดจับผลู มาเป็นกำลังสำคัญในการทำรายการกับพี่สาวคนเก่ง ทั้งที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาสายตรง เพ็บตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า อาจเพราะงานอดิเรกที่เธอรักเป็นชีวิตจิตใจ คือการดูหนัง ทำให้มีไอเดียเกี่ยวกับการลำดับภาพค่อนข้างดี บวกกับพี่สาวเห็นแววจากการตามไปถ่ายแบบ ถ่ายรายการว่าพอจะรู้มุมภาพแบบไหนสวย ไม่สวย เข้าใจการจัดองค์ประกอบภาพ
“จริงๆ ตอนที่เลือกเรียนศิลปศาสตร์ เพ็บก็ไม่ได้มีเป้าหมายชัดเจนว่า เรียนมาแล้วจะไปทำอะไร แต่เลือกเรียนคณะที่ได้ใช้ภาษาไว้ก่อน เพราะตอนแรกคุณแม่อยากให้ไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่เพ็บไม่อยากไป เพ็บใช้เวลาเรียนแค่ 3ปีครึ่งก็จบ เพราะเพ็บเป็นคนที่ถ้าไม่เอ็นจอยอะไรจะรีบทำให้เสร็จ (หัวเราะ) พอรู้ว่าเส้นทางที่เลือกไม่ใช่สิ่งที่ชอบ เพ็บเลยขยันลงเรียนทุกซัมเมอร์เพื่อให้จบเร็วที่สุด เลยเหมือนกับว่าช่วงเรียนมหาวิทยาลัยเราไม่ได้พักเลย ไม่มีปิดเทอม”
หลังจากผ่านการทำงานอย่างเข้มข้นมา 1 ซีซันส์ เพ็บยอมรับว่าชอบงานนี้ไม่น้อย และถ้ามีโอกาสย้อนเวลากลับไปได้คงเลือกเรียนในสายวิชาที่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะด้วยความเป็นคอหนังตัวยง ถึงขั้นเพ็บกล้าการันตีว่า ดูมาเยอะมากกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันแน่นอน เธอจึงสามารถงัดเอาความชอบมาแปลงเป็นทักษะที่เกิดประโยชน์
“เพ็บชอบดูหนังมาก ดูตั้งแต่หนังขาวดำไปจนถึงหนังสมัยใหม่ ดูเยอะ จนเดาทางหนังได้ แต่มีหนังประเภทเดียวที่เพ็บไม่ดูคือ หนังผี ยกเว้นเรื่องไหนดีจริงๆ แบบคอหนังพลาดไม่ได้ ก็ต้องข่มความกลัวเพื่อดูจนจบ (หัวเราะ) อยู่ดี ซึ่งด้วยความชอบนี่เองกลายเป็นแต้มต่อที่ทำให้เพ็บสามารถนำมาใช้ทำเรียลลิตีได้อย่างดี”
สาวสวยยังบอกด้วยว่ารายการเรียลลิตี This is me VATANIKA ยังเป็นใบเบิกทางสำคัญ ที่เปิดประตูให้ค้นพบเป้าหมายของชีวิตว่า นอกจากงานเบื้องหลังที่สนุกเมื่อได้ลองทำแล้ว เธอยังสนใจงานเบื้องหน้าไม่น้อย
“พอมาลองทำงานตรงนี้ ทำให้เพ็บสนใจงานเบื้องหน้า หลังจากได้ชิมลางในเรียลลิตีบ้างแล้ว คิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากร่วมงานกับทีมงานที่ไม่คุ้นเคยดูบ้าง เพราะเพ็บเองก็เป็นสายชอบถ่ายรูปอยู่แล้ว เพื่อนๆ จะรู้เลยถ้าอยากลองกล้องใหม่ให้บอก รู้มุมหน้าตัวเอง“ เพ็บเล่าไปขำไปอย่างอารมณ์ดีก่อนเสริมว่า “ช่วงนี้เพ็บเริ่มออกงานอีเวนต์ รับงานบ้าง ที่สำคัญตอนนี้กำลังพยายามฟิตหุ่น เพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมที่สุด”
จากโลกของวัยทีนเมื่อเข้ามาสู่โลกแห่งการทำงาน ถามว่าเธอได้เรียนรู้อะไรบ้าง คำถามนี้เพ็บไม่ต้องคิดนาน แถมยังสะท้อนมุมมองที่น่าสนใจว่า งานตรงนี้ทำให้เป็นผู้ใหญ่และเข้มแข็งขึ้น
“ช่วงที่มาทำรายการแรกๆ แล้วเจอคอมเมนต์แรงๆ เพ็บรับไม่ได้เลย เคยท้อถึงขั้นคิดจะเลิกทำ แต่พี่แพรก็สอนว่าเราทำให้ทุกคนมาชอบเราไม่ได้ ไม่ว่าทำอะไรต้องมีทั้งคนที่รักและเกลียด สำคัญคือ เราต้องพัฒนาตัวเอง ถามว่าคอมเมนต์ไหนที่เจอแล้วเจ็บสุด เป็นคอมเมนต์รับน้องจากอีพีแรก มีคอมเมนต์ประมาณว่า ‘ลุคคุณเพ็บดูโง่ ไม่มีสมอง’ เราก็งง ทำไมคนที่ไม่เคยรู้จักกันถึงมาตัดสินเราแบบนี้ ตอนนั้นก็เสียใจ แต่ก็ได้มุมมองจากพี่แพรช่วยให้ลุคขึ้นสู้”
ไม่เพียงคอมเมนต์แรงๆ จะเป็นครูชั้นดี การมายืนอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์ เป็นบุคคลสาธารณะยังสอนให้เพ็บบอกตัวเองว่าต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติ
“ทุกวันนี้จะทำอะไรเพ็บมองไปถึงครอบครัว ไม่ใช่แค่พี่แพร แต่รวมถึงคุณพ่อคุณแม่ด้วย จะทำอะไรต้องคิดมากขึ้น แต่ก่อนเพ็บอาจจะเป็นสายปาร์ตี้ แต่พอโตขึ้น เราก็คงเที่ยวสนุกเหมือนเก่าไม่ได้ ยิ่งเราเริ่มเป็นที่รู้จัก ยิ่งต้องมีสติในการใช้ชีวิตมากขึ้น” เพ็บตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
หลังจากชวนคุยถึงเรื่องเครียดๆ มาหอมปากหอมคอ ถึงเวลาถอดรหัสความเหมือนของสองพี่น้องสุดซี้แพรและเพ็บกันบ้าง
“เพ็บห่างกับพี่แพร 10 ปี แถมไม่ได้โตมาแบบอยู่ด้วยกันตลอด เพราะตอนเพ็บ 8 ขวบพี่แพรก็ไปเรียนที่อังกฤษนาน 7 ปีถึงกลับมา แต่เรากลับมีหลายอย่างคล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งการแต่งตัว บุคลิก แต่สิ่งที่ต่าง คือ พี่แพรจะออกแนวเด็ดขาดกว่า เพ็บจะเป็นสายซอฟต์กว่าเยอะ (หัวเราะ) แต่เราเข้าใจกันมาก เพราะอย่างที่บอกเราคิดอะไรคล้ายๆ กัน เพราะฉะนั้น บางครั้งแค่มองตาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่” เพ็บค่อยๆ ถอดรหัสความเหมือนและความต่างอย่างออกรส ก่อนที่จะออกอาการเขินไม่เบา เมื่อถูกถามถึงมุมมองแห่งความรักของสาวเปรี้ยวและแซ่บเวอร์
“เพ็บชอบผู้ชายที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ ที่สำคัญเขาต้องไมใช่ผู้ชายที่เข้ามาเป็นฝ่ายจีบเพ็บก่อน แต่ต้องเป็นผู้ชายที่เพ็บรู้สึกว่าถูกใจ หรือชอบก่อน เพราะไม่อย่างนั้นต่อให้มาจีบก็ไม่ติด แฟนเพ็บที่ผ่านมาทุกคน เป็นคนที่เพ็บชอบเขาก่อนหมด แต่ไม่ได้หมายความว่าเพ็บเป็นฝ่ายจีบเขาก่อนนะ แต่เพ็บเป็นประเภทไม่ชอบไม่เริ่ม ไม่มีลองคุยก่อนมั้ย อีกอย่างเพ็บชอบคนฉลาด เขาอาจจะไม่ต้องเก่งเรื่องอะไรเป็นพิเศษก็ได้ แต่เก่งในแบบของเขาเพ็บก็ว่ามีเสน่ห์แล้ว ที่สำคัญต้องมีแพสชั่นของตัวเอง ส่วนจะเป็นหนุ่มฝรั่งหรือหนุ่มไทยเพ็บไม่เกี่ยง ขอแค่ตาโต เพราะชอบมีอายส์คอนแทคเวลาสื่อสารกัน”
แม้จะดูเป็นสายมั่นแห่งยุค แต่เพ็บยอมรับว่า ยังไม่ปฏิเสธชีวิตคู่และการแต่งงาน “เพ็บไม่ได้วางเป้าหมายสูงสุดของชีวิตว่าต้องแต่งงานมีครอบครัว ไม่ได้กำหนดว่าอายุเท่าไหร่แต่งงาน เพราะเพ็บคิดว่าการแต่งงานเป็นเรื่องของความรู้สึก ถ้าจังหวะและเวลาที่เหมาะสมมาถึงค่อยคิด แต่ตอนนี้เพ็บเพิ่งอายุ 24 ปี เลยเลือกปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามความรู้สึก ส่วนอนาคตเรื่องความรักค่อยว่ากัน”