ถึงจะไม่ได้ร่ำเรียนมาด้านไวน์เหมือนพี่สาวคนเก่ง “นิกกี้-วิสุตา โลหิตนาวี” ไวน์เมกเกอร์หญิงชื่อดังของไทย แต่ “มีมี่-สุวิสุทธิ์” ลูกสาวคนเล็กของคุณพ่อวิสุทธิ์ และคุณแม่สกุณา โลหิตนาวี เจ้าของไร่องุ่นไวน์กราน มอนเต้ ก็พกพาความสามารถด้านภาษาและความรู้เรื่องไวน์ ในฐานะคนรักไวน์และคลุกคลีกับธุรกิจไร่องุ่นไวน์มาตั้งแต่เด็ก จนเหมือนไวน์ที่บ่มเพาะจนได้รสกลมกล่อม เพื่อเข้ามาเป็นอีกหนึ่งกำลังเสริมสำคัญ ในการขับเคลื่อนไร่กราน มอนเต้ของครอบครัว ให้ก้าวไปอีกขั้นอย่างลงตัว
“ปัจจุบันมี่รับหน้าที่เป็น Director of Marketing and PR ดูแลด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ แต่หน้างานจริงๆ คือ ช่วยดูทุกส่วน (หัวเราะ) จะมีที่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ดูแล้ว คือไม่ได้ลงไปที่ไร่ ไปเก็บองุ่นเหมือนแต่ก่อน นานๆ จะแวะไปให้กำลังใจที่ไวน์เนอรี่บ้าง” มีมี่เล่าถึงบทบาทที่เข้ามารับหน้าที่แบบฟูลไทมส์เมื่อ 2 ปีก่อน
จากนั้นพาย้อนวันวานไปถึงเส้นทางชีวิต ก่อนหน้าที่จะกลับมาช่วยบริหารธุรกิจไร่องุ่นไวน์ของครอบครัว ซึ่งเริ่มต้นปลูกองุ่นต้นแรกตั้งแต่อายุเพียง 10 ขวบว่า เธอและพี่สาวย้ายไปเรียนมัธยมที่ออสเตรเลียพร้อมกัน เธอเลือกเข้าโรงเรียน Tintern Girls’ Grammar School โดยสองปีสุดท้ายก่อนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เธอยังสอบผ่านหลักสูตรการศึกษาระดับประกาศนียบัตรนานาชาติ (IB Diploma) ซึ่งเป็นใบเบิกทางที่ทำให้เธอสามารถเลือกสอบเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยที่ไหนบนโลกก็ได้
“มี่ไม่ได้มีอาชีพในฝันว่าอยากทำอะไร ไม่เหมือนนิกกี้เขาเลือกเรียนปริญญาตรีด้านไวน์โดยตรง ตอนนั้นถามว่าคิดจะกลับมาทำงานที่ไร่ไหม ก็คิดแค่ว่าเป็นไปได้ แตเพราะมี่เองก็ไม่ได้มีอาชีพในฝัน ตอนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย พอดีมี่สอบชิงทุนจาก Wheaton College ที่สหรัฐอเมริกาได้ เลยตัดสินใจมาเรียนต่อด้าน Liberal Arts เอกเศรษฐศาสตร์พัฒนา ที่เลือกเรียนด้านนี้ เพราะเป็นสาขาที่เปิดกว้าง ได้เรียนพื้นฐานของหลากหลายสาขาวิชา ทั้งสังคม เลข ประวัติศาสตร์ ฯลฯ ซึ่งการเรียนกว้างๆ แบบนี้ เหมือนการฝึกให้เรามีความยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเจอศาสตร์วิชาการด้านไหนก็เรียนได้ เพราะเรามีพื้นฐานของทุกอย่าง สามารถเปลี่ยนวิธีการคิดและเรียนได้เร็ว”
ระหว่างที่สนุกกับการเรียนในมหาวิทยาลัย พอขึ้นปี 3 มีมี่ยังได้มีโอกาสไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ Waseda University ประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะกลับมาเรียนต่อจนจบ และเดินทางกลับมาเมืองไทย โดยเธอเริ่มต้นงานแรกด้วยการเป็นพนักงานในทีมวางแผนธุรกิจของ บีอีซี เทโร ซึ่งในช่วงเวลานั้น บริษัทเริ่มบุกตลาดในพม่า เธอจึงได้เข้าไปมีส่วนร่วมเล็กๆ น้อยๆ แต่หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้ 1 ปี เธอตัดสินใจลาออก เพราะได้รับการทาบทามจาก มีชัย วีระไวทยะ ให้ไปร่วมงานกับ มูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ ซึ่งต่อยอดมาจากสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (PDA) หันมาโฟกัสเรื่องการศึกษา ใช้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางการพัฒนาชุมชน
ตลอดเวลา 3 ปีที่ทำงานประจำนอกบ้าน มีมี่ย้ำว่า ภารกิจช่วยดูแลไร่กราน มอนเต้ยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเสมอ “งานบ้านเราไม่ได้หายไปไหน เราอยู่กับงานของที่บ้านตลอด ไม่ว่างานฟูลไทมส์คืออะไร เราก็ยังเป็นส่วนหนึ่ง (หัวเราะ) ธุรกิจไร่องุ่นไวน์ของเราเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เราเห็นคุณพ่อคุณแม่ทำงานเต็มที่มาตลอด จนวันหนึ่งมี่คิดว่าถึงเวลามาช่วยท่าน แต่ที่น่าแปลกก็คือ พอเข้ามาแล้ว ตอนนี้ทุกคนก็ยังงานยุ่งอยู่ดี” มีมี่เล่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนเสริมว่า
“ตั้งแต่จำความได้คุณพ่อก็ชื่นชอบไวน์มาตลอด คุณพ่อชอบเล่าให้ฟังว่าไปเรียนวิศวะที่เยอรมนี ซึ่งเป็นเมืองเบียร์แต่กลับชอบไวน์ (หัวเราะ) ตั้งแต่เด็ก มี่เห็นคุณพ่อคุณแม่ดื่มไวน์ในมื้ออาหารเย็นมาตลอด ตอนเด็กๆก็มีแอบชิมบ้าง จนตอนนี้ไม่รู้แล้วว่า เส้นแบ่งระหว่างช่วงที่ดื่มไวน์กับไม่ดื่มอยู่ตรงไหน (ยิ้ม) จนกระทั่งวันหนึ่งที่ครอบครัวเราตัดสินใจซื้อบ้านตากอากาศที่เขาใหญ่ ตอนแรกไม่ได้ตั้งต้นว่าจะปลูกองุ่นไวน์ ทำธุรกิจไวน์ แต่เพราะที่ดินที่เราซื้อมาผืนใหญ่มาก เราเลยคิดว่าจะปลูกอะไรดี คิดไปคิดมาก็มาลงตัวที่องุ่นไวน์ เพราะบ้านเราชอบไวน์ ทีนี้พอเริ่มต้นปลูกแล้วก็ต้องคิดต่อว่าปลูกแล้วไปไหน ก็ต้องเอามาทำไวน์ (หัวเราะ)“
บทสรุปที่ได้นั้นเป็นสิ่งที่สมาชิกในบ้านทุกคนแฮปปี้ ถือเป็นโปรเจกต์หลังเกษียณของคุณพ่อ แต่ทำไปทำมา ปรากฏว่าหลังจากเกษียณกลายเป็นว่า คุณพ่อต้องมาบริหารไร่เต็มตัว กลายเป็นฟูลไทมส์จ็อบส์แบบ 24 ชั่วโมง เพราะอย่างที่รู้ว่า การทำเกษตรเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน จุกจิก เป็นความรู้แบบเฉพาะทางมากๆ ซึ่งจากการศึกษาและเรียนรู้แบบจริงจัง ทำให้มีมี่กล้าพูดว่า ในประเทศไทยเธอเชื่อว่าไม่มีใครที่มีความรู้เรื่องการปลูกองุ่นไวน์ และการทำไวน์แบบจริงจังเท่าครอบครัวของเธอ
จากวันแรกที่เริ่มต้นมาจนถึงวันที่ธุรกิจเริ่มเติบโต ทำให้ทายาทลุคแสนหวานแห่งไร่กราน มอนเต้ เริ่มเห็นช่องว่างของธุรกิจที่ต้องการกำลังพลเข้ามาเติมเต็ม “ตอนที่กลับมาทำงานที่ไร่ มี่ไม่ได้เลือกว่าจะมาอยู่ส่วนไหน แต่รู้อยู่แล้วว่าด้วยธรรมชาติของธุรกิจเรา ที่เฉพาะทางมากๆ การจะหาคนที่ภาษาดี เข้าใจเรื่องไวน์มาดีลกับพาร์ตเนอร์รายใหญ่ของเรา ไม่ใช่เรื่องง่าย มี่เลยตัดสินใจเข้ามาเป็นตัวหลักในด้านนี้ เพราะเราไม่ใช่ธุรกิจที่แปรรูปองุ่นไวน์แล้วขายหน้าไร่ แต่เราดีลกับโรงแรม ร้านอาหารระดับ 5 ดาวขึ้นไป ทั้งในกรุงเทพฯ และภูเก็ต โดยไม่ผ่านตัวกลาง ซึ่งแม้ตอนนี้แบรนด์ของเราจะเป็นที่รู้จักประมาณหนึ่ง แต่เราก็ต้องทำให้แข็งแรง พยายามดึงเอาตัวตนของเราออกมา เพื่อสื่อถึงตลาดของเราหรือในวงกว้างให้ได้มากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามีมี่จะทำงาน 7 วัน แต่ก็ยังเรียนปริญญาโทที่ศศินทร์ด้วย ฉะนั้น ทุกนาทีที่เหลือเธอเลือกชาร์จพลังอยู่ที่บ้าน
“เดี๋ยวนี้มี่ประจำการอยู่ออฟฟิศที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก จะไปเขาใหญ่เฉพาะเวลามีกรุ๊ปใหญ่ๆ แล้วก็ช่วงไฮซีซัน อย่างทุกปี ช่วงเดือนธันวาคมก็ต้องไป แต่พอดีปีนี้มี่เรียนโทเลยไม่ได้ไป เหตุผลที่มาเรียนปริญญาโท เพราะมองว่าถึงจะเรียนพื้นฐานวิชาที่หลากหลาย แต่ไม่มีด้านธุรกิจเลย มี่ไม่รู้ว่าบัญชีหรือไฟแนนซ์คืออะไร จึงอยากมาต่อยอดตรงนี้ ส่วนวันว่างของมี่อยากนอนอยู่บ้านมากกว่า ทั้งที่แต่ก่อนมีกิจกรรมที่ชอบและอยากทำหลายอย่าง เช่น การไปดูหนัง ดูละครเวที เข้าพิพิธภัณฑ์ พยายามหาศิลปะเข้าตัว คือมี่ไม่ได้รู้ลึกนะคะ แต่คิดว่าศิลปะสำคัญ ทำให้เราเป็นคนมีมิติ เข้าใจความคิดของคนอื่นและเข้าใจชีวิตมากขึ้น”
อีกกิจกรรมที่เธอชอบมากและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคือ การดื่มไวน์ “มี่มองว่าไวน์เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง การดื่มไวน์เป็นเรื่องของประสาทการรับรู้รสชาติ เทกซ์เจอร์ กลิ่น สนุกกับมัน มี่อาจไม่ได้รู้ลึกขนาดดื่มแล้วรู้ว่าไวน์นี้ปลูกจากองุ่นพันธุ์ไหน ซึ่งนิกกี้เองก็เคยบอกมี่ว่าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือ แค่ตอบตัวเองให้ได้ว่าชอบไวน์นี้ไหม แล้วเอ็นจอยกับสิ่งที่ตัวเองชอบ สำหรับมี่ การดื่มไวน์ก็เหมือนกับการอ่านหนังสือ หรือไปเดินดูงานศิลปะ บางครั้งเราก็บอกได้ว่า เบื้องหลังศิลปะนั้นเจ้าของผลงานกำลังสื่ออะไร แต่บางครั้งก็ต้องเดาเอง ซึ่งคำตอบไม่มีถูกหรือผิด 100% เป็นเหมือนการสนทนาระหว่างคนดูกับศิลปะชิ้นนั้น เรากับไวน์หนึ่งขวดที่วางอยู่ตรงหน้าก็เช่นเดียวกัน ความสนุกมันอยู่ตรงนี้” มีมี่ทิ้งท้าย